นี่ไม่ใช่รีวิว...มันคือ 'บันทึกระหว่างทาง'
วันที่27ธันวาคม2558
ฉันได้บันทึกถ้อยคำหนึ่งไว้ก่อนวันเดินทางจริงจะมาถึง
“เ ก็ บ เ กี่ ย ว ก า ร เ ดิ น ท า ง ใ ห้ ไ ด้ ม า ก ก ว่ า ค ว า ม เ ห นื่ อ ย”

วันที่ 29ธันวาคม2558 เวลา 16.02 น.
กลุ่มชีพจรลงเท้าเหยียบพื้นสถานีผู้โดยสารขนส่งกรุงเทพ(หมอชิต)อย่างสั่นเทาเข่าสะท้าน(เพราะของหนัก) ใครในที่นี้หลายคนคงคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับบ้านเกิด... ฉันมองเงาของพวกเราที่สะท้อนจากประตูกระจกใสแล้วก็คิดไม่ต่างกัน ตั๋วกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ในราคาใบละ 500 บาท 6 ใบที่จองด่วนหน้าเคาน์เตอร์ของ 6 เพิ้ง จะเป็นใบเบิกทางสำคัญสำหรับภารกิจสิ้นปีนี้ ตอนนี้บรรยากาศของที่นี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนร้อยพ่อพันแม่ ทุกคนที่นี่มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ความทรงจำสิ้นปีนั้นมีค่า
เวลา 17.34 น. ชั้นล่างของรถทัวร์กรุงเทพ-เชียงใหม่ในวันเดียวกัน
ล้อรถทัวร์เริ่มหมุนไปข้างหน้าและดูท่าจะหมุนไปอีกนานเลยทีเดียว 6 เพิ้งจับจองและจัดแจงความพะรุงพะรังให้เข้าที่ ภายในรถทัวร์สายเหนือนั้นเย็นสบายดี ไม่ใช่แค่เพราะแอร์แต่เป็นเพราะบริการที่สุภาพเรียบร้อยของพี่พนักงานเดินรถ เราได้กระเป้าหูรูดแบรนด์บางกอกบัสไลน์เป็นของที่ระลึกจากพี่พนักงานที่ดูแลเราด้วยภาษาที่เรายากจะได้ยิน เพราะท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ผสมกับเสียงประกอบภาพยนตร์กับตันอเมริกา(ซึ่งดุเดือดมาก) 2 อย่างนี้ดูดเสียงพี่พนักงานไปจนหมดสิ้น รู้สึกเหมือนกำลังเล่นMVกันอย่างไรอย่างนั้น
บ๊ายบายวิภาวดี
**การอ่านอัซกัรบนรถทัวร์ที่กำลังเปิดหนังทำให้เราต้องใช้ความอดทนสูงจูนโสตประสาทกันพัลวัน
คือหิวหนักมาก...อะไรจะโหยหิวไส้ระบำขนาดนั้น 3 ทุ่มครึ่งคือเวลาที่รถทัวร์แวะพักให้ทานข้าวแต่เพิ้งทั้ง 6 หิวมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น การแทะเล็มเสบียงอบกรอบทั้งหลายไม่ได้ช่วยให้อการซอมบี้รับประทานทุเลาลง
ที่จุดพักรถ(ซึ่งคือที่ไหนก็ไม่รู้) ไม่ได้มีกับข้าวให้เลือกมากนักแต่ก็พอจะหลากหลายอยู่ ราดหน้า ข้าวราดแกง ฯลฯ เราตรงเข้าไปสั่งทันที
“ข้าวเปล่า 6 จานค่ะ”
พี่พนักงานพยายามซ่อนหน้าอึ้งเอาไว้เพราะคงไม่เคยเจอใครสั่งแต่ข้าวเปล่าพลางชี้ไปที่แกงเมนูไก่
“ไก่ก็มีนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพอดีพากับข้าวมา” หัวหน้าเพิ้งตอบยิ้มๆ
แหงแซะ...ที่นี่ไม่มีอาหารฮาลาลอย่างเป็นทางการเราจึงได้ข้าวเปล่ามาคนละจานพร้อมกับข้าว(ที่พกมาเอง)ในปริมาณจำกัดคือไข่ต้ม2ใบ แกงส้ม(ที่ตักปลามาแค่1ชิ้น) และผัดคะน้า (ทั้งหมดอยู่ในปริมาณพอกินสำหรับ2คน) เรายิ้มสู้เปิดถุงน้ำพริกนรก(อันเป็นของสมนาคุณพิเศษ)ขึ้นมาสกัดความน้อยเนื้อต่ำใจ
อัลฮำดุลิลลาฮ. อิ่มอร่อย
**ที่นี่เราประทับใจในความเอาใจใส่ของพี่พนักงานจุดพักรถ “เอายาดมมั้ย ยืมได้นะ” บอกพลางจะควักมาจากกระเป๋าเสื้อ อืม...พี่ก็ใจดีปั๊ยยย^^!

วันที่ 29ธันวาคม2558 เวลา 16.02 น.
กลุ่มชีพจรลงเท้าเหยียบพื้นสถานีผู้โดยสารขนส่งกรุงเทพ(หมอชิต)อย่างสั่นเทาเข่าสะท้าน(เพราะของหนัก) ใครในที่นี้หลายคนคงคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับบ้านเกิด... ฉันมองเงาของพวกเราที่สะท้อนจากประตูกระจกใสแล้วก็คิดไม่ต่างกัน ตั๋วกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ในราคาใบละ 500 บาท 6 ใบที่จองด่วนหน้าเคาน์เตอร์ของ 6 เพิ้ง จะเป็นใบเบิกทางสำคัญสำหรับภารกิจสิ้นปีนี้ ตอนนี้บรรยากาศของที่นี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนร้อยพ่อพันแม่ ทุกคนที่นี่มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ความทรงจำสิ้นปีนั้นมีค่า
เวลา 17.34 น. ชั้นล่างของรถทัวร์กรุงเทพ-เชียงใหม่ในวันเดียวกัน
ล้อรถทัวร์เริ่มหมุนไปข้างหน้าและดูท่าจะหมุนไปอีกนานเลยทีเดียว 6 เพิ้งจับจองและจัดแจงความพะรุงพะรังให้เข้าที่ ภายในรถทัวร์สายเหนือนั้นเย็นสบายดี ไม่ใช่แค่เพราะแอร์แต่เป็นเพราะบริการที่สุภาพเรียบร้อยของพี่พนักงานเดินรถ เราได้กระเป้าหูรูดแบรนด์บางกอกบัสไลน์เป็นของที่ระลึกจากพี่พนักงานที่ดูแลเราด้วยภาษาที่เรายากจะได้ยิน เพราะท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ผสมกับเสียงประกอบภาพยนตร์กับตันอเมริกา(ซึ่งดุเดือดมาก) 2 อย่างนี้ดูดเสียงพี่พนักงานไปจนหมดสิ้น รู้สึกเหมือนกำลังเล่นMVกันอย่างไรอย่างนั้น
บ๊ายบายวิภาวดี
**การอ่านอัซกัรบนรถทัวร์ที่กำลังเปิดหนังทำให้เราต้องใช้ความอดทนสูงจูนโสตประสาทกันพัลวัน
คือหิวหนักมาก...อะไรจะโหยหิวไส้ระบำขนาดนั้น 3 ทุ่มครึ่งคือเวลาที่รถทัวร์แวะพักให้ทานข้าวแต่เพิ้งทั้ง 6 หิวมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น การแทะเล็มเสบียงอบกรอบทั้งหลายไม่ได้ช่วยให้อการซอมบี้รับประทานทุเลาลง
ที่จุดพักรถ(ซึ่งคือที่ไหนก็ไม่รู้) ไม่ได้มีกับข้าวให้เลือกมากนักแต่ก็พอจะหลากหลายอยู่ ราดหน้า ข้าวราดแกง ฯลฯ เราตรงเข้าไปสั่งทันที
“ข้าวเปล่า 6 จานค่ะ”
พี่พนักงานพยายามซ่อนหน้าอึ้งเอาไว้เพราะคงไม่เคยเจอใครสั่งแต่ข้าวเปล่าพลางชี้ไปที่แกงเมนูไก่
“ไก่ก็มีนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพอดีพากับข้าวมา” หัวหน้าเพิ้งตอบยิ้มๆ
แหงแซะ...ที่นี่ไม่มีอาหารฮาลาลอย่างเป็นทางการเราจึงได้ข้าวเปล่ามาคนละจานพร้อมกับข้าว(ที่พกมาเอง)ในปริมาณจำกัดคือไข่ต้ม2ใบ แกงส้ม(ที่ตักปลามาแค่1ชิ้น) และผัดคะน้า (ทั้งหมดอยู่ในปริมาณพอกินสำหรับ2คน) เรายิ้มสู้เปิดถุงน้ำพริกนรก(อันเป็นของสมนาคุณพิเศษ)ขึ้นมาสกัดความน้อยเนื้อต่ำใจ
อัลฮำดุลิลลาฮ. อิ่มอร่อย
**ที่นี่เราประทับใจในความเอาใจใส่ของพี่พนักงานจุดพักรถ “เอายาดมมั้ย ยืมได้นะ” บอกพลางจะควักมาจากกระเป๋าเสื้อ อืม...พี่ก็ใจดีปั๊ยยย^^!

30ธันวาคม2558 เวลา 3.34 น.
เราอยู่นี่สถานีขนส่งผู้โดยสารอาเขตเชียงใหม่ 6 เพิ้งเข้าสู่เมืองเงียบๆ (เงียบสิ่ นี่ตี3) ที่ขึ้นชื่อว่ามีร้านกาแฟเยอะมากและปีนี้ก็ดูเหมือนจะมีคนรู้จักมากมายขึ้นมาเที่ยวเยอะมากอีกเหมือนกัน เราพบว่าอากาศก็ไม่ได้หนาวมากอย่างที่ร่างกายเตรียมตั้งรับ แม้จะเป็นเวลาตีสามกว่าแต่ผู้คนที่นี่ก็ยังแสดงความเป็นมิตรต่อเพิ้งต่างถิ่นอย่างเรา เขาเข้ามาถามไถ่อย่างเป็นห่วงไม่ขาดสายแม้เราเพิ่งรู้จักกัน
“ไปไหนครับ” , “รถแดงมั้ยครับ?” สัญญานแห่งความสุขนั้นอุบัติขึ้น บอกเลยว่าอิ่มเอมใจ หากแต่เราจำต้องบอกปัดเพราะนัดพี่รถแดงส่วนตัวไว้แล้ว... แต่เรานัดพี่รถแดงไว้ตอนตี 5 นะแกรรรร
แปลกดียิ่งใกล้เวลาตะวันขึ้นอากาศยิ่งเย็น
**แพลนวันนี้คือไปอิ่มเช้าที่ช้างคลาน
**เวลา 5.20 น.ยังอยู่ท่ารถ รอเข้าห้องน้ำ รอชาร์ตแบตเพื่อรถแดงที่จะเจอกันในเวลา 6.00 น.
ไม่รู้เป็นเวลานานเท่าไหร่หลังจากได้ขึ้นรถแดงและแวะรับรุ่นพี่ผู้หลวมตัวมาเป็นไกด์มื้อเช้าให้เรา แต่ตอนนี้มื้อเช้าของร้านสภากาแฟกำลังวางอยู่ตรงหน้า และใครจะคาดคิดว่ามื้อเช้าของเราจะอิ่มจังตังค์อยู่ครบ อัลฮำดุลินลาฮ.และญาซากิลลาฮ.ฯนิซะสปอร์ตช้างคลาน
**ช้างคลานมีถิ่นอาหารมุสลิม มีตั้งแต่อาหารจำพวกโรงตียันอาหารพื้นเมืองซึ่งอร่อยหนักมากอย่างไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม และข้าวเหนียวร้อนๆนุ่มๆ
**ช้างคลานมีมัสยิด ‘เฮดายาตุ้ลอิสลาม’ (มัสยิดบ้านฮ่อ) ที่เมื่อก่อนคุตบะฮ.กันด้วยภาษาจีน
**ช้างคลานคือถนนแห่งการแห่แหนตามเทศกาลต่างๆ
**อากาศที่ช้างคลาน(ช่วงเวลานี้)เหมือนบ้านเรา
แห่งที่สาม ‘สวนพฤกษศาสตร์’ ที่แม้เราจะเปลี่ยนที่เที่ยวกันแล้วผู้คนก็ยังเนืองแน่นเหมือนเดิม...ยิ้มอ่อน
ที่นี่เป็นสวนดอกไม้จัดสรรและสวนป่าที่สร้างทางเดินเป็นสะพานเหล็กสูงเทียมยอดไม้อายุมากกว่า 20 ปีได้อารมณ์เหมมือนกำลังหลุดไปในหนังไดโนเสาร์ชื่อดังภาคสองแต่คงเป็นหนังที่กำลังดูแล้วจู่ๆแผ่นก็ติดเพราะยังสร้างไม่เสร็จ ที่นี่เก็บค่าเข้าคนละ 40 บาท แต่ด้วยบริเวรกว้างขวางที่เพิ่งเห็นตอนขากลับ(ขาไปหลับระเนระนาด)ทำให้เพิ่งเห็นว่ามีมุมน่าสนใจหลายมุมโดยเฉพาะ น้ำตกตรงใกล้ทางเข้า
แห่งที่สี่โปรดให้อภัยแก่ความผิดพลาดที่จำชื่อไร่สตรอเบอร์แห่งนี้ไม่ได้(น่าละอายยิ่งนัก) แต่ที่นี่เป็นไร่ติดริมทางที่ปลูกสตรอเบอร์รี่ไล่ระดับเป็นแถวขึ้นไปเหมือนไร่ชา และเหมือนเดิมเราไม่สามารถแตะต้องพวกนางได้ ที่นี่ไม่ได้ใหญ่มากแต่ดีมากที่มีกระท่อมเล็กๆใต้ร่มไม้ใหญ่อากาศเย็นสบายเหมาะแก่การ...หลับ แต่ก็ไม่เสียเที่ยวเพราะอย่างน้อยน้ำสตรอเบอรี่สดปั่นก็ยันเปลือกตาได้ดี
**ที่นี่มีสตรอเบอรี่พันธุ์๘๐ผลโต๊โตว่างขาย (จะว่าไปสตอรเบอรี่คงเป็นผลไม้แนะนำของเมืองนี้)
สถานีต่อไปคือขนส่ง ‘อามานะฮ.’ ไปให้ถึงที่หมาย ณ ‘ศูนย์มุอัลลัฟแม่ป๋าม’
สำหรับทริปนี้เป้าหมายหลักของเราคือการนำถุงเท้าถุงมือที่ได้รับบริจาคมาส่งมอบแก่ศูนย์มุอัลลัฟทั้ง4ศูนย์ได้แก่ ศูนย์มุอัลลัฟบ้านห้วยมะหินฝน,บ้านปางสา,บ้างเวียงหมอก(จังหวัดเชียงราย)และศูนย์มุอัลลัฟบ้านแม่ป๋ามจังหวัดเชียงใหม่ และเนื่องจากตั้งแต่วันที่29ธันวาคม2558เราทำการส่งพัสดุผ่านไปรษณีย์ไทยตรงไปยังทั้งสามศูนย์ที่เชียงรายแล้ว(ด้วยความกรุณาจากมะและป๋าบ้านศิริปะชะนะ(ผู้ปกครองภาคกลางของพวกเราทุกคน555+)) ส่วนของศูนย์แม่ป๋ามจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องส่งมอบให้ถึงมือ
หลังจากตามเที่ยวตาม ‘สถานที่ท่องเที่ยว’ อันเลื่องชื่อกันมาแล้วจึงได้เวลาต่อรถเพื่อตรงไปยังอำเภอเชียงดาว รถแดงส่วนตัว(ฟังดูหรู) ตรงไปยังท่ารถบัสช้างเผือก ที่นี่เรานัดเพิ้งคนที่ 7 เอาไว้ เราได้ตั๋วรถบัสเชียงใหม่-ท่าตอนกันมาในราคาที่นั่งละ 50 บาทโดยมีจุดหมายคือ 3 แยกปิงโค้ง เมื่อขึ้นรถได้เพิ้งทั้ง 7 จึงโดนรับน้องทันที ด้วยแรงกระชากของรถที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราสั่นคลอน แต่ถึงกระนั้นบนรถก็มีระบบเซฟตี้จากเจ้าถิ่นเซอราวด์รอบทิศทางนั่งอัดกันเนืองแน่นทั้งคันรถ รู้สึกอบอุ่นอีกแล้ว...TT
**บัสสีส้มเชียงใหม่-ท่าตอนมีระบบเพิ่มขนาดเบาะแบบอัตโนมือ เพราะ 1 เบาะยาวต้องนั่งให้ได้ 3 คน พี่กระเป๋ารถบัสจึงทำการดึงเบาะออกมาให้คนที่ 3 นั่งได้... นั่นแปลว่าแก้มก้นหนึ่งข้างของคนแรกต้องตกร่อง อืม...
**นั่งรถบัสส้มเชียงใหม่-ท่าตอนจนมาถึงอำเภอเชียงดาวนั้นระยะทางไกล(มากกกกกกกกก)
**ระยะเวลา 16.00 น. – 19.00 น.โดยประมาณ
(มีต่อค่ะ)
[CR] ก้าวอุ่น I ชีพจรลงเท้า I เชียงดาวทริป
วันที่27ธันวาคม2558
ฉันได้บันทึกถ้อยคำหนึ่งไว้ก่อนวันเดินทางจริงจะมาถึง
“เ ก็ บ เ กี่ ย ว ก า ร เ ดิ น ท า ง ใ ห้ ไ ด้ ม า ก ก ว่ า ค ว า ม เ ห นื่ อ ย”
กลุ่มชีพจรลงเท้าเหยียบพื้นสถานีผู้โดยสารขนส่งกรุงเทพ(หมอชิต)อย่างสั่นเทาเข่าสะท้าน(เพราะของหนัก) ใครในที่นี้หลายคนคงคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับบ้านเกิด... ฉันมองเงาของพวกเราที่สะท้อนจากประตูกระจกใสแล้วก็คิดไม่ต่างกัน ตั๋วกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ในราคาใบละ 500 บาท 6 ใบที่จองด่วนหน้าเคาน์เตอร์ของ 6 เพิ้ง จะเป็นใบเบิกทางสำคัญสำหรับภารกิจสิ้นปีนี้ ตอนนี้บรรยากาศของที่นี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนร้อยพ่อพันแม่ ทุกคนที่นี่มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ความทรงจำสิ้นปีนั้นมีค่า
เวลา 17.34 น. ชั้นล่างของรถทัวร์กรุงเทพ-เชียงใหม่ในวันเดียวกัน
ล้อรถทัวร์เริ่มหมุนไปข้างหน้าและดูท่าจะหมุนไปอีกนานเลยทีเดียว 6 เพิ้งจับจองและจัดแจงความพะรุงพะรังให้เข้าที่ ภายในรถทัวร์สายเหนือนั้นเย็นสบายดี ไม่ใช่แค่เพราะแอร์แต่เป็นเพราะบริการที่สุภาพเรียบร้อยของพี่พนักงานเดินรถ เราได้กระเป้าหูรูดแบรนด์บางกอกบัสไลน์เป็นของที่ระลึกจากพี่พนักงานที่ดูแลเราด้วยภาษาที่เรายากจะได้ยิน เพราะท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ผสมกับเสียงประกอบภาพยนตร์กับตันอเมริกา(ซึ่งดุเดือดมาก) 2 อย่างนี้ดูดเสียงพี่พนักงานไปจนหมดสิ้น รู้สึกเหมือนกำลังเล่นMVกันอย่างไรอย่างนั้น
บ๊ายบายวิภาวดี
**การอ่านอัซกัรบนรถทัวร์ที่กำลังเปิดหนังทำให้เราต้องใช้ความอดทนสูงจูนโสตประสาทกันพัลวัน
คือหิวหนักมาก...อะไรจะโหยหิวไส้ระบำขนาดนั้น 3 ทุ่มครึ่งคือเวลาที่รถทัวร์แวะพักให้ทานข้าวแต่เพิ้งทั้ง 6 หิวมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น การแทะเล็มเสบียงอบกรอบทั้งหลายไม่ได้ช่วยให้อการซอมบี้รับประทานทุเลาลง
ที่จุดพักรถ(ซึ่งคือที่ไหนก็ไม่รู้) ไม่ได้มีกับข้าวให้เลือกมากนักแต่ก็พอจะหลากหลายอยู่ ราดหน้า ข้าวราดแกง ฯลฯ เราตรงเข้าไปสั่งทันที
“ข้าวเปล่า 6 จานค่ะ”
พี่พนักงานพยายามซ่อนหน้าอึ้งเอาไว้เพราะคงไม่เคยเจอใครสั่งแต่ข้าวเปล่าพลางชี้ไปที่แกงเมนูไก่
“ไก่ก็มีนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพอดีพากับข้าวมา” หัวหน้าเพิ้งตอบยิ้มๆ
แหงแซะ...ที่นี่ไม่มีอาหารฮาลาลอย่างเป็นทางการเราจึงได้ข้าวเปล่ามาคนละจานพร้อมกับข้าว(ที่พกมาเอง)ในปริมาณจำกัดคือไข่ต้ม2ใบ แกงส้ม(ที่ตักปลามาแค่1ชิ้น) และผัดคะน้า (ทั้งหมดอยู่ในปริมาณพอกินสำหรับ2คน) เรายิ้มสู้เปิดถุงน้ำพริกนรก(อันเป็นของสมนาคุณพิเศษ)ขึ้นมาสกัดความน้อยเนื้อต่ำใจ
อัลฮำดุลิลลาฮ. อิ่มอร่อย
**ที่นี่เราประทับใจในความเอาใจใส่ของพี่พนักงานจุดพักรถ “เอายาดมมั้ย ยืมได้นะ” บอกพลางจะควักมาจากกระเป๋าเสื้อ อืม...พี่ก็ใจดีปั๊ยยย^^!
กลุ่มชีพจรลงเท้าเหยียบพื้นสถานีผู้โดยสารขนส่งกรุงเทพ(หมอชิต)อย่างสั่นเทาเข่าสะท้าน(เพราะของหนัก) ใครในที่นี้หลายคนคงคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับบ้านเกิด... ฉันมองเงาของพวกเราที่สะท้อนจากประตูกระจกใสแล้วก็คิดไม่ต่างกัน ตั๋วกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ในราคาใบละ 500 บาท 6 ใบที่จองด่วนหน้าเคาน์เตอร์ของ 6 เพิ้ง จะเป็นใบเบิกทางสำคัญสำหรับภารกิจสิ้นปีนี้ ตอนนี้บรรยากาศของที่นี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนร้อยพ่อพันแม่ ทุกคนที่นี่มีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ความทรงจำสิ้นปีนั้นมีค่า
เวลา 17.34 น. ชั้นล่างของรถทัวร์กรุงเทพ-เชียงใหม่ในวันเดียวกัน
ล้อรถทัวร์เริ่มหมุนไปข้างหน้าและดูท่าจะหมุนไปอีกนานเลยทีเดียว 6 เพิ้งจับจองและจัดแจงความพะรุงพะรังให้เข้าที่ ภายในรถทัวร์สายเหนือนั้นเย็นสบายดี ไม่ใช่แค่เพราะแอร์แต่เป็นเพราะบริการที่สุภาพเรียบร้อยของพี่พนักงานเดินรถ เราได้กระเป้าหูรูดแบรนด์บางกอกบัสไลน์เป็นของที่ระลึกจากพี่พนักงานที่ดูแลเราด้วยภาษาที่เรายากจะได้ยิน เพราะท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์ผสมกับเสียงประกอบภาพยนตร์กับตันอเมริกา(ซึ่งดุเดือดมาก) 2 อย่างนี้ดูดเสียงพี่พนักงานไปจนหมดสิ้น รู้สึกเหมือนกำลังเล่นMVกันอย่างไรอย่างนั้น
บ๊ายบายวิภาวดี
**การอ่านอัซกัรบนรถทัวร์ที่กำลังเปิดหนังทำให้เราต้องใช้ความอดทนสูงจูนโสตประสาทกันพัลวัน
คือหิวหนักมาก...อะไรจะโหยหิวไส้ระบำขนาดนั้น 3 ทุ่มครึ่งคือเวลาที่รถทัวร์แวะพักให้ทานข้าวแต่เพิ้งทั้ง 6 หิวมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น การแทะเล็มเสบียงอบกรอบทั้งหลายไม่ได้ช่วยให้อการซอมบี้รับประทานทุเลาลง
ที่จุดพักรถ(ซึ่งคือที่ไหนก็ไม่รู้) ไม่ได้มีกับข้าวให้เลือกมากนักแต่ก็พอจะหลากหลายอยู่ ราดหน้า ข้าวราดแกง ฯลฯ เราตรงเข้าไปสั่งทันที
“ข้าวเปล่า 6 จานค่ะ”
พี่พนักงานพยายามซ่อนหน้าอึ้งเอาไว้เพราะคงไม่เคยเจอใครสั่งแต่ข้าวเปล่าพลางชี้ไปที่แกงเมนูไก่
“ไก่ก็มีนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะพอดีพากับข้าวมา” หัวหน้าเพิ้งตอบยิ้มๆ
แหงแซะ...ที่นี่ไม่มีอาหารฮาลาลอย่างเป็นทางการเราจึงได้ข้าวเปล่ามาคนละจานพร้อมกับข้าว(ที่พกมาเอง)ในปริมาณจำกัดคือไข่ต้ม2ใบ แกงส้ม(ที่ตักปลามาแค่1ชิ้น) และผัดคะน้า (ทั้งหมดอยู่ในปริมาณพอกินสำหรับ2คน) เรายิ้มสู้เปิดถุงน้ำพริกนรก(อันเป็นของสมนาคุณพิเศษ)ขึ้นมาสกัดความน้อยเนื้อต่ำใจ
อัลฮำดุลิลลาฮ. อิ่มอร่อย
**ที่นี่เราประทับใจในความเอาใจใส่ของพี่พนักงานจุดพักรถ “เอายาดมมั้ย ยืมได้นะ” บอกพลางจะควักมาจากกระเป๋าเสื้อ อืม...พี่ก็ใจดีปั๊ยยย^^!
เราอยู่นี่สถานีขนส่งผู้โดยสารอาเขตเชียงใหม่ 6 เพิ้งเข้าสู่เมืองเงียบๆ (เงียบสิ่ นี่ตี3) ที่ขึ้นชื่อว่ามีร้านกาแฟเยอะมากและปีนี้ก็ดูเหมือนจะมีคนรู้จักมากมายขึ้นมาเที่ยวเยอะมากอีกเหมือนกัน เราพบว่าอากาศก็ไม่ได้หนาวมากอย่างที่ร่างกายเตรียมตั้งรับ แม้จะเป็นเวลาตีสามกว่าแต่ผู้คนที่นี่ก็ยังแสดงความเป็นมิตรต่อเพิ้งต่างถิ่นอย่างเรา เขาเข้ามาถามไถ่อย่างเป็นห่วงไม่ขาดสายแม้เราเพิ่งรู้จักกัน
“ไปไหนครับ” , “รถแดงมั้ยครับ?” สัญญานแห่งความสุขนั้นอุบัติขึ้น บอกเลยว่าอิ่มเอมใจ หากแต่เราจำต้องบอกปัดเพราะนัดพี่รถแดงส่วนตัวไว้แล้ว... แต่เรานัดพี่รถแดงไว้ตอนตี 5 นะแกรรรร
แปลกดียิ่งใกล้เวลาตะวันขึ้นอากาศยิ่งเย็น
**แพลนวันนี้คือไปอิ่มเช้าที่ช้างคลาน
**เวลา 5.20 น.ยังอยู่ท่ารถ รอเข้าห้องน้ำ รอชาร์ตแบตเพื่อรถแดงที่จะเจอกันในเวลา 6.00 น.
ไม่รู้เป็นเวลานานเท่าไหร่หลังจากได้ขึ้นรถแดงและแวะรับรุ่นพี่ผู้หลวมตัวมาเป็นไกด์มื้อเช้าให้เรา แต่ตอนนี้มื้อเช้าของร้านสภากาแฟกำลังวางอยู่ตรงหน้า และใครจะคาดคิดว่ามื้อเช้าของเราจะอิ่มจังตังค์อยู่ครบ อัลฮำดุลินลาฮ.และญาซากิลลาฮ.ฯนิซะสปอร์ตช้างคลาน
**ช้างคลานมีถิ่นอาหารมุสลิม มีตั้งแต่อาหารจำพวกโรงตียันอาหารพื้นเมืองซึ่งอร่อยหนักมากอย่างไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม และข้าวเหนียวร้อนๆนุ่มๆ
**ช้างคลานมีมัสยิด ‘เฮดายาตุ้ลอิสลาม’ (มัสยิดบ้านฮ่อ) ที่เมื่อก่อนคุตบะฮ.กันด้วยภาษาจีน
**ช้างคลานคือถนนแห่งการแห่แหนตามเทศกาลต่างๆ
**อากาศที่ช้างคลาน(ช่วงเวลานี้)เหมือนบ้านเรา
ที่นี่เป็นสวนดอกไม้จัดสรรและสวนป่าที่สร้างทางเดินเป็นสะพานเหล็กสูงเทียมยอดไม้อายุมากกว่า 20 ปีได้อารมณ์เหมมือนกำลังหลุดไปในหนังไดโนเสาร์ชื่อดังภาคสองแต่คงเป็นหนังที่กำลังดูแล้วจู่ๆแผ่นก็ติดเพราะยังสร้างไม่เสร็จ ที่นี่เก็บค่าเข้าคนละ 40 บาท แต่ด้วยบริเวรกว้างขวางที่เพิ่งเห็นตอนขากลับ(ขาไปหลับระเนระนาด)ทำให้เพิ่งเห็นว่ามีมุมน่าสนใจหลายมุมโดยเฉพาะ น้ำตกตรงใกล้ทางเข้า
**ที่นี่มีสตรอเบอรี่พันธุ์๘๐ผลโต๊โตว่างขาย (จะว่าไปสตอรเบอรี่คงเป็นผลไม้แนะนำของเมืองนี้)
สำหรับทริปนี้เป้าหมายหลักของเราคือการนำถุงเท้าถุงมือที่ได้รับบริจาคมาส่งมอบแก่ศูนย์มุอัลลัฟทั้ง4ศูนย์ได้แก่ ศูนย์มุอัลลัฟบ้านห้วยมะหินฝน,บ้านปางสา,บ้างเวียงหมอก(จังหวัดเชียงราย)และศูนย์มุอัลลัฟบ้านแม่ป๋ามจังหวัดเชียงใหม่ และเนื่องจากตั้งแต่วันที่29ธันวาคม2558เราทำการส่งพัสดุผ่านไปรษณีย์ไทยตรงไปยังทั้งสามศูนย์ที่เชียงรายแล้ว(ด้วยความกรุณาจากมะและป๋าบ้านศิริปะชะนะ(ผู้ปกครองภาคกลางของพวกเราทุกคน555+)) ส่วนของศูนย์แม่ป๋ามจึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องส่งมอบให้ถึงมือ
หลังจากตามเที่ยวตาม ‘สถานที่ท่องเที่ยว’ อันเลื่องชื่อกันมาแล้วจึงได้เวลาต่อรถเพื่อตรงไปยังอำเภอเชียงดาว รถแดงส่วนตัว(ฟังดูหรู) ตรงไปยังท่ารถบัสช้างเผือก ที่นี่เรานัดเพิ้งคนที่ 7 เอาไว้ เราได้ตั๋วรถบัสเชียงใหม่-ท่าตอนกันมาในราคาที่นั่งละ 50 บาทโดยมีจุดหมายคือ 3 แยกปิงโค้ง เมื่อขึ้นรถได้เพิ้งทั้ง 7 จึงโดนรับน้องทันที ด้วยแรงกระชากของรถที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราสั่นคลอน แต่ถึงกระนั้นบนรถก็มีระบบเซฟตี้จากเจ้าถิ่นเซอราวด์รอบทิศทางนั่งอัดกันเนืองแน่นทั้งคันรถ รู้สึกอบอุ่นอีกแล้ว...TT
**บัสสีส้มเชียงใหม่-ท่าตอนมีระบบเพิ่มขนาดเบาะแบบอัตโนมือ เพราะ 1 เบาะยาวต้องนั่งให้ได้ 3 คน พี่กระเป๋ารถบัสจึงทำการดึงเบาะออกมาให้คนที่ 3 นั่งได้... นั่นแปลว่าแก้มก้นหนึ่งข้างของคนแรกต้องตกร่อง อืม...
**นั่งรถบัสส้มเชียงใหม่-ท่าตอนจนมาถึงอำเภอเชียงดาวนั้นระยะทางไกล(มากกกกกกกกก)
**ระยะเวลา 16.00 น. – 19.00 น.โดยประมาณ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้