Cr.ภาพ www.facebook.com/pages/category/Community/โลกคู่ขนาน-

มีใครเชื่อเรื่องจักรวาลคู่ขนานหรือโลกอีกมิติที่ซ้อนทับกับของเราบ้างมั้ย หลายคนเชื่อว่ามีหลายจักรวาลหลายมิติที่ซ้อนกับมิติของเราอยู่ อาจมีตัวเราอยู่ในอีกมิติที่มีนิสัยต่างออกไปอยู่ก็ได้ นี่คือการรวบรวมเรื่องราวของคนที่อ้างว่าเคยเห็นมิติที่ต่างออกไปเอามาฝากให้อ่านกัน
หนุ่มทะลุมิติกับถนนหกเลน
เวลาประมาณห้าทุ่มของคืนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนปี 1986 วิศวกรชื่อ Pedro Oliva Ramirez ขับรถจากเมืองเซบียา ประเทศสเปน เพื่อกลับบ้านที่เมืองอัลกาลาเดกวาดาอีราที่อยู่ห่างไปเพียง 10 กิโลเมตร เขาขับเส้นทางนี้ประจำจนไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว แต่คืนนี้กลับมีบางอย่างที่ไม่เหมือนทุกครั้ง หลังขับผ่านโค้งหนึ่งเขาก็พบว่าตัวเองกำลังขับรถอยู่บนทางหลวงขนาด 6 เลนที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาเริ่มตกใจว่าตัวเองเลี้ยวผิดที่ไหนรึเปล่า และเริ่มตั้งใจมองสองข้างทาง
แต่ก็เจอแต่อาคารรูปทรงแปลกๆ มีโรงงานขนาดใหญ่มากมายและมีตึกสูงกว่า 20 ชั้นเรียงรายเต็มข้างทาง ทั้งที่ปกติไม่ควรมีของอย่างนั้นอยู่แถวนี้เลย
ไม่นานนักเขาก็รู้สึกว่ามีความร้อนเข้ามาในรถของเขาเยอะ และมีเสียงพูดของคนหลายคนดังเข้ามา เสียงหนึ่งบอกกับเขาว่าเขาถูกเอเลี่ยนพามาโผล่ที่ประเทศอื่นในซีกโลกอื่น เมื่อเปโดรขับตรงต่อไปเรื่อยๆ ซักพักเขาก็เห็นรถร่วมทางที่เป็นรถคาดิลแลครุ่นโบราณที่มีสีขาวหรือสีเบจ และมีป้ายทะเบียนรูปทรงแปลกๆ เขาจึงหยุดรถและลงไปยืนคิดข้างทางอยู่พักหนึ่ง และสังเกตว่ารถร่วมทางคันอื่นๆ จะผ่านเขาไปทุกๆ 8 นาทีเท่าๆ กัน จากนั้นเขาก็ขับรถต่ออีก 1 ชั่วโมงก่อนจะจอดแวะพักอีกรอบ
ในที่สุดเขาก็ขับไปเจอทางแยกที่มีป้ายชี้ไปทางออกซ้ายมือเขียนว่าอัลกาบาล่า, มาลากา และเซบีย่า เขาจึงเลือกขับตามป้ายเซบีย่าไป ไม่นานนักเขาก็จอดรถอีกครั้ง แต่เมื่อลงจากรถก็พบว่าเขาอยู่หน้าบ้านตัวเองที่อัลกาลาเดกวาดาอีราเรียบร้อยแล้ว ด้วยความโมโห เรารีบขับรถย้อนกลับทางเดิมเพื่อจะไปดูป้ายบอกทาง 3 เมืองแต่ก็ไม่เจออะไร และไม่เจอถนน 6 เลนที่ว่าด้วย ถนนหนทางทุกอย่างปกติเหมือนทุกวัน เมื่อตรวจสอบระยะทางและปริมาณน้ำมันที่เสียไป
ทุกอย่างก็ชี้ว่ารถของเขาถูกขับมาเป็นเวลา 3 ชั่วโมง 5 นาที และเป็นระยะทาง 200 กว่ากิโลเมตร ทั้งที่ปกติเส้นทางจากที่ทำงานมาบ้านใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคืนนั้นเขาขับไปไหนมาบ้างเนี่ย
สตรีหลงยุคกับรถที่หายไป
เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ในนิตยสาร Strange ในปี 1988 แต่เหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในปี 1969 ค่ะ สองหนุ่มที่เดินทางมาติดต่องานในเมืองแอบบีวิลล์ รัฐหลุยเซียน่ากำลังขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 167 เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองลาฟาเย็ตต์ ทั้งคู่พูดคุยเรื่องงานและเรื่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนมาเจอรถคันหน้าที่ขับช้ามากกกกกกกคันนึง ตอนนั้นถนนโล่งมาก ไม่มีรถสวนมาด้วย แต่กลับมีรถเก่าคันนึงขับช้าๆ อยู่กลางถนน รถคันนั้นเป็นรุ่นที่ออกมาสิบกว่าปีแล้วแต่อยู่ในสภาพสวยกิ๊งเหมือนเพิ่งออกจากโชว์รูมไม่กี่วัน สองหนุ่มจึงตัดสินใจว่าก่อนจะแซงก็ขอชะลอดูความงามของรถก่อนละกัน เพราะไม่เคยเห็นรถเก่าที่สภาพสวยแบบนี้มาก่อน
เมื่อขับเข้าไปใกล้จนเกือบตีคู่ หนึ่งหนุ่มก็สังเกตว่าป้ายทะเบียนรถมีเลขปี 1940 ติดไว้ ทั้งคู่ก็คุยกันว่าแบบนี้ไม่ผิดกฎหมายหรอเพราะเหมือนไม่ได้ต่อทะเบียนมาเกือบ 30 ปีแล้ว และเมื่อขับไปเพื่อดูหน้าคนขับ
ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าเหมือนยุคปี 1940 กำลังขับรถอยู่ โดยเธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ นอกจากนี้ก็มีเด็กอีกคนในรถที่แต่งตัวเหมือนยุค 1940 เช่นกัน ทั้งสองหนุ่มเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามตะโกนถามว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการให้ช่วยเหลืออะไรมั้ย แต่กว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่องก็พักหนึ่ง ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้ารับความช่วยเหลือ
ชายหนุ่มที่นั่งข้างคนขับจึงส่งสัญญาณให้ผู้หญิงคนนั้นจอดข้างทางเพื่อที่พวกเขาจะได้ลงไปคุยและให้ความช่วยเหลือได้ เมื่อผู้หญิงคนนั้นเข้าข้างทาง สองหนุ่มก็ขับมาจอดด้านหน้าและเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะไปให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อพวกเขาหันไปก็พบกับความว่างเปล่า รถทะเบียนปี 1940 หายไปแบบไร้ร่องรอยทั้งที่ตรงนั้นเป็นทางหลวงว่างเปล่าที่ไม่มีทางออกข้างนอกไปไหนเลย ไม่นานนักก็มีรถอีกคันขับตามมาจอดหลังรถของสองหนุ่ม ผู้ชายที่ขับรถคันนั้นรีบวิ่งมาถามสองหนุ่มว่าพวกเขาทำอะไรกับรถคันหลัง
ชายคนนั้นเล่าว่าเขาขับตามหลังห่างๆ มาระยะหนึ่งแล้ว เขาเห็นรถรุ่นใหม่คันหนึ่งอยู่ๆ ก็ไปขับตีคู่กับรถโบราณที่ขับช้ามากๆ จากนั้นรถทั้ง 2 คันก็เริ่มเอียงเข้าข้างทางเพื่อจอด แล้วทันใดนั้นรถโบราณก็หายแว้บไปในพริบตา เหลือเพียงรถรุ่นใหม่ของสองหนุ่มที่จอดอยู่ข้างทาง ในทีแรกเขารีบจอดเพื่อมาตรวจสอบดูว่ามีอุบัติเหตุหรือมีเรื่องอะไรกันรึเปล่า แต่เมื่อมองไปรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นอะไรเลย เหมือนรถโบราณหายไปเฉยๆ ซะอย่างนั้น ชายทั้ง 3 เดินตรวจสอบแถวนั้นเกือบชั่วโมงและคุยกันว่าจะแจ้งความดีมั้ย แต่ถึงยังไงก็ไม่มีอะไรจะบอกตำรวจ ดีไม่ดีจะถูกมองว่าบ้าอีก จึงตกลงกันว่าจะไม่แจ้งความ แต่ทั้ง 3 ก็แลกที่อยู่และเบอร์โทรกันและติดต่อกันอีกหลายปีเพื่อพูดถึงเหตุการณ์นี้
เมื่อบ้านเกิดไม่ใช่เมืองเดิมอีกต่อไป
Carol Chase McElheney ขับรถจากเมืองเพอร์ริส รัฐแคลิฟอร์เนียเพื่อกลับบ้านที่เมืองซานเบอร์นาร์ดิโน่ ระหว่างทางจะต้องผ่านเมืองที่เป็นบ้านเกิดสมัยเด็กๆ ชื่อ Riverside เธอจึงตัดสินใจขับแวะเข้าไปในริเวอร์ไซด์เผื่อจะได้ไปรำลึกความหลัง
แต่ในทันทีที่ไปถึงริเวอร์ไซด์มันกลับเหมือนไม่ใช่เมืองที่เธอรู้จักมาตั้งแต่เกิด แม้ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองจะถูกต้องแต่เธอกลับไม่เจอบ้านที่เธออยู่สมัยเด็กๆ บ้านญาติและเพื่อนๆ ก็หายไปหมด แม้จะมีบ้านและเลขที่บ้านตามเดิมแต่เธอกลับไม่คุ้นหน้าตาบ้านเลยแม้แต่หลังเดียว สุสานที่ฝังศพปู่ย่าของเธอก็กลายเป็นเพียงที่รกร้างที่เต็มไปด้วยวัชพืช
แต่ในขณะเดียวกันเธอยังเจอสถานที่สำคัญของเมืองในที่เดิมของมัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือวิทยาลัยที่เธอเคยเรียนก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม เพียงแต่ทุกอย่างดูดาร์กกว่าที่ควรเป็น ผู้คนที่เดินอยู่ข้างทางก็ดูน่ากลัวและทุกคนเหมือนมีรัศมีความดำมืดแผ่ออกมาจนทำให้เธอไม่กล้าพูดคุยถามทางด้วยเลย หลังพ้นจากเขตเมืองริเวอร์ไซด์เวอร์ชั่นดาร์ก ทุกอย่างก็ดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
แต่เมื่อเธอกลับไปที่ริเวอร์ไซด์อีกครั้งในหลายปีต่อมา ทุกอย่างในริเวอร์ไซด์เป็นเหมือนที่เธอจำได้ตอนเด็ก บ้านหลังเก่ายังอยู่ เพื่อนๆ ญาติๆ ก็ยังอยู่ สุสานก็ยังอยู่ และทุกอย่างก็ดูสดใสไม่มีอะไรน่ากลัวเลย จึงสงสัยกันว่าเมืองริเวอร์ไซด์แบบดาร์กๆ ที่เธอเคยเห็นน่าจะเป็นเมืองในโลกคู่ขนาน
ชายปริศนาจากประเทศที่ไม่มีในแผนที่
ชายปริศนาคนหนึ่งมาถึงกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1954
เขาถือพาสปอร์ตประเทศ Taured มา เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจึงกักตัวเขาไว้เพราะโลกเราไม่มีประเทศ Taured แต่ถึงอย่างนั้นพาสปอร์ตเล่มนั้นก็เป็นของจริงแถมยังมีตราประทับเข้าประเทศญี่ปุ่นคราวก่อนประทับอยู่แล้วด้วย ชายคนนั้นบอกว่าประเทศ Taured ตั้งอยู่ในทวีปยุโรปและเป็นประเทศมากว่าพันปีแล้ว เมื่อนำแผนที่มาให้ชี้ว่าประเทศนั้นตั้งอยู่ตรงไหน เขาก็ชี้ไปบริเวณที่อยู่ระหว่างสเปนและฝรั่งเศส ตรงบริเวณประเทศอันดอร์ร่า โดยแย้งว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อประเทศอันดอร์ร่ามาก่อนเลย แถมในตัวชายคนนั้นยังมีเอกสารอื่นๆ ที่ออกโดยประเทศ Taured ไม่ว่าจะสเตทเมนท์รับรองจำนวนเงินจากธนาคารในประเทศ Taured หรือใบขับขี่ของประเทศ Taured
หลังการสอบสวนที่ทำให้มึนงงกันไปทั้ง 2 ฝ่าย เจ้าหน้าที่ก็ส่งเขาไปพักโรงแรมใกล้ๆ ระหว่างรอการตรวจสอบเอกสารอีกที โดยจัดให้มีเวรยามเฝ้าหน้าประตูห้องพักเขาตลอดเวลา แต่ในตอนเช้าเขากลับไม่อยู่ในห้องแล้ว และไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลย ทั้งที่ห้องนั้นอยู่บนชั้น 15 และถ้ากระโดดลงไปก็น่าจะเห็นศพอยู่บนพื้นที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะตามหายังไงก็ไม่พบชายคนนั้นอีกเลย บางทีเขาอาจจะกลับบ้านที่ Taured ไปแล้วก็ได้
สตรีจากโลกมิติอื่น
เรื่องนี้แปลกที่สุด เพราะเธอบอกว่าเธอตื่นขึ้นมาแล้วเจอโลกของเราที่ไม่ใช่ของเธอ Lerina Garcia Gordo เป็นผู้หญิงวัย 40 กว่าที่มีการศึกษาดีและมีหน้าที่การงานที่ดีมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ระบายความคับข้องใจลงในอินเทอร์เน็ตว่าวันหนึ่งเธอตื่นขึ้นมาในห้องของเธอ บนเตียงของเธอ แต่มีผ้าปูเตียงคนละลายกับที่เธอจำได้ แถมชุดนอนที่เธอใส่ยังเป็นคนละชุดกับที่เธอจำได้ว่าใส่เข้านอนด้วย ในทีแรกเธอก็ไม่สงสัยอะไรมาก พอลงมาทานอาหารเช้าก็พบว่าของใช้บางอย่างหายไป และมีของบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นหรือจำไม่ได้ว่าตัวเองซื้อมาวางอยู่ในครัวหลายชิ้น เธอพยายามไม่คิดอะไรมากแล้วก็รีบขับรถออกไปทำงานตามปกติ
เธอจอดที่ช่องจอดรถเดิม ณ ตึกเดิมที่เธอทำงานมากว่า 20 ปี แต่เมื่อขึ้นไปถึงห้องทำงานตัวเองปรากฏว่ามีชื่อของคนอื่นติดอยู่แทน เธอคิดว่าขึ้นมาผิดชั้นรึเปล่าแต่ก็ไม่ใช่ นั่นคือชั้นที่เธอทำงานจริงๆ เธอจึงรีบไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลเพื่อหาชื่อตัวเอง และเธอก็พบว่าเธอยังคงทำงานอยู่ที่ตึกเดิม แต่เธออยู่แผนกอื่นที่ตั้งอยู่อีกฟากของตึก แถมทุกคนก็บอกว่าเธอทำงานแผนกนั้นมาตั้งนานแล้วด้วย เมื่อเธอเช็คของในกระเป๋าส่วนตัวก็เห็นว่าทุกอย่างอยู่ครบเหมือนเดิม ทั้งบัตรประชาชนหรือบัตรเครดิตก็เป็นชื่อเธอเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เธอจึงขอลางานวันนั้นแล้วรีบไปหาหมอเพื่อตรวจสอบว่าเธอโดนมอมยาหรือสารพิษใดๆ รึเปล่า แต่ผลก็ออกมาว่าไม่มีสารใดๆ แปลกปลอมเลย
เมื่อเธอกลับบ้านก็พบว่าแฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้ว 6 เดือนยังอยู่กับเธอ เธอเล่าว่าหลังเลิกกับแฟนเก่าไป ไม่นานเธอก็คบกับแฟนใหม่เป็นเวลา 4 เดือนแล้วก่อนที่จะถึงวันนี้ เธอรู้ชื่อที่อยู่ของแฟนใหม่ รู้ด้วยว่าลูกชายของแฟนใหม่ชื่ออะไรเรียนที่ไหน แต่พอเธอมาอยู่โลกนี้กลับกลายเป็นว่าเธอยังรักกันดีกับแฟนเก่า ส่วนแฟนใหม่กลับไม่มีตัวตนเลย ไม่ว่าจะค้นข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่เจอหลักฐานว่าแฟนใหม่ของเธอมีตัวตนในโลกใบนี้ ส่วนครอบครัวของเธอเองก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมแต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของญาติพี่น้องแต่ละคนต่างไป เธอจำได้ว่าน้องสาวเธอเพิ่งผ่าตัดไปไม่กี่เดือนก่อน แต่น้องสาวในโลกนี้กลับบอกว่าไม่เคยผ่าตัดอะไรเลย
เธอหาหมอมาหลายแผนก ไม่ว่าจะตรวจดูว่าตัวเองเป็นโรคความจำเสื่อมรึเปล่า หรือไปพบจิตแพทย์ จิตแพทย์ลงความเห็นว่าเธอเห็นภาพหลอนไปเอง แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้น เธอจึงมาหาความช่วยเหลือในอินเทอร์เน็ตว่ามีใครเคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้าง ประสบการณ์ที่เหมือนข้ามมาจากโลกคู่ขนานอีกใบแบบนี้
ที่มา
listverse.com
inexplicata.blogspot.com
www.strangerdimensions.com
beforeitsnews.com/beyond-science/2012/01
www.messagetoeagle.com/timetraveloneway.php
www.ghosttheory.com/2016/01/12/
พี่พิซซ่า - ผู้เขียน
Cr.
https://www.dek-d.com/studyabroad/43658/
เหตุการณ์ประหลาดที่อาจเกี่ยวกับ "โลกคู่ขนาน"
มีใครเชื่อเรื่องจักรวาลคู่ขนานหรือโลกอีกมิติที่ซ้อนทับกับของเราบ้างมั้ย หลายคนเชื่อว่ามีหลายจักรวาลหลายมิติที่ซ้อนกับมิติของเราอยู่ อาจมีตัวเราอยู่ในอีกมิติที่มีนิสัยต่างออกไปอยู่ก็ได้ นี่คือการรวบรวมเรื่องราวของคนที่อ้างว่าเคยเห็นมิติที่ต่างออกไปเอามาฝากให้อ่านกัน
หนุ่มทะลุมิติกับถนนหกเลน
ไม่นานนักเขาก็รู้สึกว่ามีความร้อนเข้ามาในรถของเขาเยอะ และมีเสียงพูดของคนหลายคนดังเข้ามา เสียงหนึ่งบอกกับเขาว่าเขาถูกเอเลี่ยนพามาโผล่ที่ประเทศอื่นในซีกโลกอื่น เมื่อเปโดรขับตรงต่อไปเรื่อยๆ ซักพักเขาก็เห็นรถร่วมทางที่เป็นรถคาดิลแลครุ่นโบราณที่มีสีขาวหรือสีเบจ และมีป้ายทะเบียนรูปทรงแปลกๆ เขาจึงหยุดรถและลงไปยืนคิดข้างทางอยู่พักหนึ่ง และสังเกตว่ารถร่วมทางคันอื่นๆ จะผ่านเขาไปทุกๆ 8 นาทีเท่าๆ กัน จากนั้นเขาก็ขับรถต่ออีก 1 ชั่วโมงก่อนจะจอดแวะพักอีกรอบ
ในที่สุดเขาก็ขับไปเจอทางแยกที่มีป้ายชี้ไปทางออกซ้ายมือเขียนว่าอัลกาบาล่า, มาลากา และเซบีย่า เขาจึงเลือกขับตามป้ายเซบีย่าไป ไม่นานนักเขาก็จอดรถอีกครั้ง แต่เมื่อลงจากรถก็พบว่าเขาอยู่หน้าบ้านตัวเองที่อัลกาลาเดกวาดาอีราเรียบร้อยแล้ว ด้วยความโมโห เรารีบขับรถย้อนกลับทางเดิมเพื่อจะไปดูป้ายบอกทาง 3 เมืองแต่ก็ไม่เจออะไร และไม่เจอถนน 6 เลนที่ว่าด้วย ถนนหนทางทุกอย่างปกติเหมือนทุกวัน เมื่อตรวจสอบระยะทางและปริมาณน้ำมันที่เสียไป ทุกอย่างก็ชี้ว่ารถของเขาถูกขับมาเป็นเวลา 3 ชั่วโมง 5 นาที และเป็นระยะทาง 200 กว่ากิโลเมตร ทั้งที่ปกติเส้นทางจากที่ทำงานมาบ้านใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แล้วคืนนั้นเขาขับไปไหนมาบ้างเนี่ย
สตรีหลงยุคกับรถที่หายไป
เมื่อขับเข้าไปใกล้จนเกือบตีคู่ หนึ่งหนุ่มก็สังเกตว่าป้ายทะเบียนรถมีเลขปี 1940 ติดไว้ ทั้งคู่ก็คุยกันว่าแบบนี้ไม่ผิดกฎหมายหรอเพราะเหมือนไม่ได้ต่อทะเบียนมาเกือบ 30 ปีแล้ว และเมื่อขับไปเพื่อดูหน้าคนขับ ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าเหมือนยุคปี 1940 กำลังขับรถอยู่ โดยเธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ นอกจากนี้ก็มีเด็กอีกคนในรถที่แต่งตัวเหมือนยุค 1940 เช่นกัน ทั้งสองหนุ่มเห็นท่าไม่ดีจึงพยายามตะโกนถามว่าผู้หญิงคนนั้นต้องการให้ช่วยเหลืออะไรมั้ย แต่กว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่องก็พักหนึ่ง ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็พยักหน้ารับความช่วยเหลือ
ชายหนุ่มที่นั่งข้างคนขับจึงส่งสัญญาณให้ผู้หญิงคนนั้นจอดข้างทางเพื่อที่พวกเขาจะได้ลงไปคุยและให้ความช่วยเหลือได้ เมื่อผู้หญิงคนนั้นเข้าข้างทาง สองหนุ่มก็ขับมาจอดด้านหน้าและเปิดประตูลงจากรถเพื่อจะไปให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อพวกเขาหันไปก็พบกับความว่างเปล่า รถทะเบียนปี 1940 หายไปแบบไร้ร่องรอยทั้งที่ตรงนั้นเป็นทางหลวงว่างเปล่าที่ไม่มีทางออกข้างนอกไปไหนเลย ไม่นานนักก็มีรถอีกคันขับตามมาจอดหลังรถของสองหนุ่ม ผู้ชายที่ขับรถคันนั้นรีบวิ่งมาถามสองหนุ่มว่าพวกเขาทำอะไรกับรถคันหลัง
ชายคนนั้นเล่าว่าเขาขับตามหลังห่างๆ มาระยะหนึ่งแล้ว เขาเห็นรถรุ่นใหม่คันหนึ่งอยู่ๆ ก็ไปขับตีคู่กับรถโบราณที่ขับช้ามากๆ จากนั้นรถทั้ง 2 คันก็เริ่มเอียงเข้าข้างทางเพื่อจอด แล้วทันใดนั้นรถโบราณก็หายแว้บไปในพริบตา เหลือเพียงรถรุ่นใหม่ของสองหนุ่มที่จอดอยู่ข้างทาง ในทีแรกเขารีบจอดเพื่อมาตรวจสอบดูว่ามีอุบัติเหตุหรือมีเรื่องอะไรกันรึเปล่า แต่เมื่อมองไปรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นอะไรเลย เหมือนรถโบราณหายไปเฉยๆ ซะอย่างนั้น ชายทั้ง 3 เดินตรวจสอบแถวนั้นเกือบชั่วโมงและคุยกันว่าจะแจ้งความดีมั้ย แต่ถึงยังไงก็ไม่มีอะไรจะบอกตำรวจ ดีไม่ดีจะถูกมองว่าบ้าอีก จึงตกลงกันว่าจะไม่แจ้งความ แต่ทั้ง 3 ก็แลกที่อยู่และเบอร์โทรกันและติดต่อกันอีกหลายปีเพื่อพูดถึงเหตุการณ์นี้
เมื่อบ้านเกิดไม่ใช่เมืองเดิมอีกต่อไป
แต่ในขณะเดียวกันเธอยังเจอสถานที่สำคัญของเมืองในที่เดิมของมัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนหรือวิทยาลัยที่เธอเคยเรียนก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม เพียงแต่ทุกอย่างดูดาร์กกว่าที่ควรเป็น ผู้คนที่เดินอยู่ข้างทางก็ดูน่ากลัวและทุกคนเหมือนมีรัศมีความดำมืดแผ่ออกมาจนทำให้เธอไม่กล้าพูดคุยถามทางด้วยเลย หลังพ้นจากเขตเมืองริเวอร์ไซด์เวอร์ชั่นดาร์ก ทุกอย่างก็ดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
แต่เมื่อเธอกลับไปที่ริเวอร์ไซด์อีกครั้งในหลายปีต่อมา ทุกอย่างในริเวอร์ไซด์เป็นเหมือนที่เธอจำได้ตอนเด็ก บ้านหลังเก่ายังอยู่ เพื่อนๆ ญาติๆ ก็ยังอยู่ สุสานก็ยังอยู่ และทุกอย่างก็ดูสดใสไม่มีอะไรน่ากลัวเลย จึงสงสัยกันว่าเมืองริเวอร์ไซด์แบบดาร์กๆ ที่เธอเคยเห็นน่าจะเป็นเมืองในโลกคู่ขนาน
ชายปริศนาจากประเทศที่ไม่มีในแผนที่
หลังการสอบสวนที่ทำให้มึนงงกันไปทั้ง 2 ฝ่าย เจ้าหน้าที่ก็ส่งเขาไปพักโรงแรมใกล้ๆ ระหว่างรอการตรวจสอบเอกสารอีกที โดยจัดให้มีเวรยามเฝ้าหน้าประตูห้องพักเขาตลอดเวลา แต่ในตอนเช้าเขากลับไม่อยู่ในห้องแล้ว และไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลย ทั้งที่ห้องนั้นอยู่บนชั้น 15 และถ้ากระโดดลงไปก็น่าจะเห็นศพอยู่บนพื้นที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะตามหายังไงก็ไม่พบชายคนนั้นอีกเลย บางทีเขาอาจจะกลับบ้านที่ Taured ไปแล้วก็ได้
สตรีจากโลกมิติอื่น
เรื่องนี้แปลกที่สุด เพราะเธอบอกว่าเธอตื่นขึ้นมาแล้วเจอโลกของเราที่ไม่ใช่ของเธอ Lerina Garcia Gordo เป็นผู้หญิงวัย 40 กว่าที่มีการศึกษาดีและมีหน้าที่การงานที่ดีมาโดยตลอด แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ระบายความคับข้องใจลงในอินเทอร์เน็ตว่าวันหนึ่งเธอตื่นขึ้นมาในห้องของเธอ บนเตียงของเธอ แต่มีผ้าปูเตียงคนละลายกับที่เธอจำได้ แถมชุดนอนที่เธอใส่ยังเป็นคนละชุดกับที่เธอจำได้ว่าใส่เข้านอนด้วย ในทีแรกเธอก็ไม่สงสัยอะไรมาก พอลงมาทานอาหารเช้าก็พบว่าของใช้บางอย่างหายไป และมีของบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นหรือจำไม่ได้ว่าตัวเองซื้อมาวางอยู่ในครัวหลายชิ้น เธอพยายามไม่คิดอะไรมากแล้วก็รีบขับรถออกไปทำงานตามปกติ
เธอจอดที่ช่องจอดรถเดิม ณ ตึกเดิมที่เธอทำงานมากว่า 20 ปี แต่เมื่อขึ้นไปถึงห้องทำงานตัวเองปรากฏว่ามีชื่อของคนอื่นติดอยู่แทน เธอคิดว่าขึ้นมาผิดชั้นรึเปล่าแต่ก็ไม่ใช่ นั่นคือชั้นที่เธอทำงานจริงๆ เธอจึงรีบไปตรวจสอบกับฐานข้อมูลเพื่อหาชื่อตัวเอง และเธอก็พบว่าเธอยังคงทำงานอยู่ที่ตึกเดิม แต่เธออยู่แผนกอื่นที่ตั้งอยู่อีกฟากของตึก แถมทุกคนก็บอกว่าเธอทำงานแผนกนั้นมาตั้งนานแล้วด้วย เมื่อเธอเช็คของในกระเป๋าส่วนตัวก็เห็นว่าทุกอย่างอยู่ครบเหมือนเดิม ทั้งบัตรประชาชนหรือบัตรเครดิตก็เป็นชื่อเธอเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เธอจึงขอลางานวันนั้นแล้วรีบไปหาหมอเพื่อตรวจสอบว่าเธอโดนมอมยาหรือสารพิษใดๆ รึเปล่า แต่ผลก็ออกมาว่าไม่มีสารใดๆ แปลกปลอมเลย เมื่อเธอกลับบ้านก็พบว่าแฟนเก่าที่เลิกกันไปแล้ว 6 เดือนยังอยู่กับเธอ เธอเล่าว่าหลังเลิกกับแฟนเก่าไป ไม่นานเธอก็คบกับแฟนใหม่เป็นเวลา 4 เดือนแล้วก่อนที่จะถึงวันนี้ เธอรู้ชื่อที่อยู่ของแฟนใหม่ รู้ด้วยว่าลูกชายของแฟนใหม่ชื่ออะไรเรียนที่ไหน แต่พอเธอมาอยู่โลกนี้กลับกลายเป็นว่าเธอยังรักกันดีกับแฟนเก่า ส่วนแฟนใหม่กลับไม่มีตัวตนเลย ไม่ว่าจะค้นข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่เจอหลักฐานว่าแฟนใหม่ของเธอมีตัวตนในโลกใบนี้ ส่วนครอบครัวของเธอเองก็ยังมีอยู่เหมือนเดิมแต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของญาติพี่น้องแต่ละคนต่างไป เธอจำได้ว่าน้องสาวเธอเพิ่งผ่าตัดไปไม่กี่เดือนก่อน แต่น้องสาวในโลกนี้กลับบอกว่าไม่เคยผ่าตัดอะไรเลย
เธอหาหมอมาหลายแผนก ไม่ว่าจะตรวจดูว่าตัวเองเป็นโรคความจำเสื่อมรึเปล่า หรือไปพบจิตแพทย์ จิตแพทย์ลงความเห็นว่าเธอเห็นภาพหลอนไปเอง แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้น เธอจึงมาหาความช่วยเหลือในอินเทอร์เน็ตว่ามีใครเคยเจอประสบการณ์แบบนี้บ้าง ประสบการณ์ที่เหมือนข้ามมาจากโลกคู่ขนานอีกใบแบบนี้
ที่มา
listverse.com
inexplicata.blogspot.com
www.strangerdimensions.com
beforeitsnews.com/beyond-science/2012/01
www.messagetoeagle.com/timetraveloneway.php
www.ghosttheory.com/2016/01/12/
พี่พิซซ่า - ผู้เขียน
Cr.https://www.dek-d.com/studyabroad/43658/