จูเลียส ซีซาร์ 2 เส้นทางสร้างความยิ่งใหญ่ (พันธมิตรสามเสือล่มสลาย พิชิตตอนเหนือ เพื่อหนทางกุมอำนาจ)

จูเลียส ซีซาร์ 2/5 เส้นทางสร้างความยิ่งใหญ่ (พันธมิตรสามเสือล่มสลาย พิชิตตอนเหนือ เพื่อหนทางกุมอำนาจ)
เนื้อหายาวไปมีคลิปเสียงเล่าให้ฟังครับ
https://youtu.be/0wqFtVOFM90
ที่มาเนื้อหา : จักรวรรดิโรมัน Netfilx
หลังจากการร่วมมือของพันธมิตรทั้งสาม จูเลียส ซีซาร์จึงได้รับเลือกตั้งเป็น “กงสุล” ตำแหน่งปกครองที่สูงสุดในกรุงโรม อำนาจปกครองมีอาณาเขตมากกว่าหนึ่งล้านตารางไมล์ และมีกองกำลังทหารมากกว่า 150,000 นาย และสิ่งแรกที่ซีซาร์ต้องทำก็คือ การตอบแทนคนที่พาเขาขึ้นสู่อำนาจในครั้งนี้ ด้วยการผ่านกฎหมายเอื้อประโยชน์แก่ ปอมปีย์ และแครสซัสผ่านทางรัฐสภา

ซีซาร์เสนอการแจกจ่ายที่ดิน ให้แก่เหล่าทหารที่เคยผ่านศึกสงคราม แต่ว่าทางรัฐสภาต่างก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งทุกคนในรัฐสภาต่างก็ดูออกว่า การเสนอในครั้งนี้ ของซีซาร์นั้น  ทำเพื่อเอื้อประโยชน์ ต่อปอมปีย์และแครสซัส ซึ่งในขณะนั้น ซีซาร์ก็ถูกแรงกดดันจากปอมปีย์และแครสซัสเป็นอย่างมาก  ซึ่งซีซาร์รู้ดีว่าหากทำให้รัฐสภาผ่านกฎหมายของปอมปีย์และแครสซัสไม่ได้ เขาก็อาจจะสูญเสียตำแหน่งกงสุลไป

ดังนั้นกับปัญหานี้ ซีซาร์จึงใช้ยุทธวิธีความรุนแรง  ส่งนักเลงข้างถนนข่มขู่เหล่าสมาชิกรัฐสภาทุกคนที่ต่อต้านเขา โดยบอกเป้าหมายชัดเจนว่า ในการโหวตครั้งหน้า ต้องไม่เหมือนเดิม ด้วยยุทธวิธีใช้ความรุนแรงนี้ ผลโหวตก็กลายเป็นเอกฉันท์ แต่ก็มีผลลบต่อชื่อเสียงของซีซาร์ในโรม โดยคู่แข่งทางการเมืองของซีซาร์ต่างก็เห็นตรงกันว่า ซีซาร์คือบุคคลอันตรายและพร้อมที่จะใช้ทุกวิธีการ เพื่อให้เป้าหมายบรรลุความสำเร็จ  จากการผ่านร่างกฎหมายครั้งนี้ แครสซัสได้รับการลดภาษีในธุรกิจอย่างมากมาย ปอมปีย์ก็ได้รับการจัดสรรที่ดินเพิ่มให้อย่างมาก และซีซาร์ก็กลายเป็นคนที่ร่ำรวยมหาศาล  

ขณะที่ “กงสุลซีซาร์” ร่ำรวยเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่า ทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญในกลุ่มชนชั้นสูงของโรม เขาซื้อปราสาทหรูหราหลายหลัง จัดงานเลี้ยงฟุ่มเฟือย และก็ต้องได้ผู้หญิงทุกคนที่เขาต้องการ  ซีซาร์เริ่มมีความสัมพันธ์กับหญิงชนชั้นสูงที่แต่งงานแล้วคนนึง เธอชื่อ “เซอร์วิเลีย” โดยเซอร์วิเลียคนนี้ เป็นสตรีชนชั้นสูง มีฐานะค่อยข้างดีและมีเส้นสายทางการเมืองอยู่มาก เซอร์วิเลียมีบุตรชายคนนึง ชื่อ “บลูตัส” ซึ่งต่อไป “บรูตัส” คนนี้ จะมีผลอย่างมากต่อความเปลี่ยนแปลงของกรุงโรม 
ต่อมากับนโยบายการใช้ความรุนแรงของซีซาร์ ทำให้รัฐสภาต่อต้านและกลายเป็นศัตรูกับเขาอย่างมาก และปอมปีย์กับแครสซัส ก็กังวลว่าจะมีผลถึงอนาคตของตนเอง ทั้งสองจึงคิดหาคนมาแทนซีซาร์ โดยแผนของปอมปีย์ต้องการให้ซีซาร์นั้นออกไปจากกรุงโรม  ปอมปีย์จึงเสนอให้ซีซาร์รับตำแหน่งผู้ปกครองแคว้นตามแนวเขตชายแดนของโรม โดยให้ซีซาร์สามารถเลือกเขตปกครองเองได้ ว่าจะปกครองที่ใด แต่ซีซาร์ไม่เห็นและแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน 
“เซอร์วิเลีย” ชู้รักผู้มีเส้นสายในชนชั้นสูง จึงแนะนำซีซาร์ว่า ทั้งปอมปีย์และแครสซัส ต่างร่ำรวยและมีอำนาจมาจากความสำเร็จจากกองทัพ แล้วเหตุใดซีซาร์จึงไม่หาประโยชน์จากตอนนี้ เพื่อสร้างกองทัพยึดดินแดน และหาประโยชน์ให้กับตนเอง  
และเพื่อรักษาอาชีพทางการเมือง หลังจากหมดอำนาจในตำแหน่ง “กงสุล” ซีซาร์ตระหนักว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะปกครองโรมได้ คือการได้เป็น “จักรพรรดิ” กลุ่มอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่จะเป็นเช่นนั้นได้ เขาจำเป็นต้องมีกองทัพและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ซีซาร์จึงเลือกแคว้นทางเหนือสุดของสาธารณรัฐ  ซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่เคยมี ผู้นำของโรมคนใดเคยพิชิตมาก่อน รู้จักกันดีในชื่อของ “โกล” (GAUL)
โกลอาณาเขตมากกว่า 200,000 ตารางไมล์ ประกอบด้วย ฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมในปัจจุบัน รวมถึงบางส่วนของ สวิสเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี ซึ่งในอดีต ชาวโกล คือ กลุ่มคนเถื่อนที่เคยโจมตีกรุงโรมเมื่อครั้งหลังจากการก่อตั้งสาธารณรัฐได้ไม่นาน ชาวโรมันส่วนใหญ่จึงมีความเกรงกลัวต่อชาวโกลอย่างมากและฝังลึกในจิตใจมายาวนาน

ดังนั้นเพื่อทวงคืนตำแหน่งและอำนาจในกรุงโรม ซีซาร์จึงต้องพิชิต ดินแดนของ “โกล” และกลับไปอย่างวีรบุรุษให้ได้ แต่ถ้าหากล้มเหลว ซีซาร์อาจตายในสนามรบหรือไม่ก็อาจถูกตั้งข้อหาร้ายแรง จากการบุกรุก ดินแดนต่างชาติ โดยไม่ได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา และโทษนั้นถึงตาย

การพิชิตโกล (The Conquest of Gaul) 

58 ปีก่อนคริสตกาล ซีซาร์นำกองทหารสี่กอง จำนวน 20,000 นาย ข้ามพรมแดนและบุกโกล ซึ่งการบุก “โกล” ครั้งนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ทำให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของซีซาร์ ในการแสวงหาอำนาจ และเกียรติยศให้กับตนเอง 
โดยชาวโกลนั้นมีมากมายหลายเผ่า  ซีซาร์ใช้แผนการเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วและทีละเผ่า ทีละส่วน เพื่อไม่ให้ชาวโกลรวมตัวกันได้ และด้วยความทะเยอทะยานของซีซาร์นี้ เขานำกองทัพขึ้นเหนือจนห่างจากเส้นทางลำเลียงเสบียง และหาเสบียงเพิ่มจากพื้นที่ ที่ตนเองยึดมาได้ โดยหวังพิชิตดินแดน “โกล” ให้ได้ทั้งหมด 

56 ปีก่อนคริสตการ กับชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า จนเกือนพิชิตดินแดนได้ทั้งหมด ซีซาร์จึงเริ่มส่งข่าวกลับไปที่โรม รู้จักกันในตอนหลังว่า “คำอธิบายเรื่องโกล” และการเขียนประวัติศาสตร์ให้กับตนเองนี้ ซีซาร์ตั้งใจดึงดูดผู้คนให้สนับสนุนและสร้างความนิยมของตัวเอง ต่อประชาชนเพิ่มมากขึ้น 

ต่อมามีหนึ่งในผู้นำทหารม้าหนุ่ม ที่มากความสามารถและกำลังรุ่งโรจน์ในตอนนั้น เข้าร่วมกับซีซาร์ ชื่อเขาคือ “มาร์ค แอนโทนี่” ซึ่งตลอด 3 ปี กับความทะเยอทะยานที่ไม่สามารถควบคุมได้ของซีซาร์ เขาสามารถพิชิตดินแดนที่ไม่มีผู้ชิตของโรมคนใดทำได้มาก่อน ซีซาร์นำกองทัพพิชิตเลยพรมแดนของ “โกล” ออกไปถึง เจอร์เมเนียและอังกฤษในปัจจุบัน 

ข่าวการพิชิตดินแดนทางตอนเหนือของซีซาร์นับวัน ยิ่งทำให้ความนิยมของประชาชนต่อซีซาร์ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแครสซัสและปอมปีย์ต่างเป็นกังวลว่า หากซีซาร์กับมาพร้อมกับความสำเร็จ อาจทำให้ซีซาร์มีอำนาจ มีกองทัพและมีความนิยมมาก จนไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งก็จะทำให้อำนาจทางการเมืองของทั้งสองสั่นคลอนไปด้วยเช่นกัน  แครสซัสด้วยความริษยา จึงมองหาเกียรติยศ สร้างความสำเร็จผ่านกองทัพ โดยหวังพิชิตดินแดนทางตะวันออกกลาง “อาณาจักรพาร์เธีย” 
53 ปีก่อนคริสตการ ซีซาร์ สามารถพิชิตดินแดนได้เกือบ 150,000 ตารางไมล์ เหลือเพียงแค่ดินแดนเดียว คือ “อลิเซีย” เท่านั้น แต่ดินแดนนี้ ไม่ได้ง่ายอย่างที่หวัง ซีซาร์ต้องพบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่และเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรก นับตั้งแต่บุกโกล เสียทหารไปมากกว่า 700 นาย ด้วยน้ำมือของผู้นำที่มากความสามารถ นามว่า “เวอร์ซินเจเทอริกซ์” (Vercingetorix) 

โดยความพ่ายแพ้ของโกลที่ผ่านมา คือการที่ไม่ร่วมกันต่อต้านทหารโรมันเป็นหนึ่งเดียว และด้วยกอง กำลังที่น้อยกว่า “เวอร์ซินเจเทอริกซ์” จึงส่งทหารสอดแนมไปยังทุกชนเผ่าที่ยังเหลืออยู่ โน้มน้าวให้ร่วมกันต่อต้านพวกโรมัน และระหว่างรอกำลังเสริม “เวอร์ซินเจเทอริกซ์” จึงหาวิธีการชะลอกองทัพโรมัน เป็นวิธีที่แสนจะโหดร้าย และวิธีนั้นคือ “เผาเสบียง” 
เนื่องด้วยกองทัพของซีซาร์บุกขึ้นเหนือ  มาไกลกว่าทางลำเลียงเสบียง และเสบียงที่ซีซาร์หามาได้ในตอนนั้น ได้มาจากพื้นที่ระหว่างทางที่ยึดมาได้ “เวอร์ซินเจเทอริกซ์” จึงสั่งเผาที่ดิน ทำลายแหล่งอาหารที่มีค่า เพื่อสร้างผลเสียต่อทหารโรมัน และแม้แต่จะมีผลกระทบกับคนของเขาเองด้วยก็ตาม โดยใช้หลักคิดที่ว่า อดทนไม่เกินหนึ่งปี เมื่อทหารโรมันอ่อนแอลง ก็จะสามารถขับไล่ออกไปได้  แต่ซีซาร์กลับไม่หยุดสั่งเดินหน้าต่อ ในช่วงที่อาหารใกล้จะหมด ซีซาร์คิดแผนแก้ไข เปลี่ยนยุทธวิธีของ  “เวอร์ซินเจเทอริกซ์” ให้กลับมาทำร้ายเขาเอง 
กำแพง (The Wall) 
ซึ่งซีซาร์รู้ดีว่า พวกโกลก็ขาดแคลนอาหารด้วยเช่นกัน ซีซาร์จึงสั่งให้สร้างกำแพงล้อม “อลิเซีย” เพื่อให้ “เวอร์ซินเจเทอริกซ์”และกองทัพของเขาติดอยู่ข้างใน  กำแพงล้อม “อลิเซีย” ของซีซาร์นั้นยาวถึง 11 ไมล์ ตัดขาดเส้นทางส่งเสบียงของพวกโกลได้อย่างสิ้นเชิง 

และห่างไป 2,000 ไมล์ ที่ “พาร์เธีย” ความหวังที่จะสร้างเกียรติยศของแครสซัส กลับกลายเป็นความพ่ายแพ้ครั้งยิ่งใหญ่ของโรม เพียงแค่สองเดือนทหารโรมันมากกว่า 20,000 นายเสียชีวิต และแครสซัสถูกจับได้ สิ่งที่แครสซัสต้องชดใช้ในความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ก็คือ ความตาย 

โดยแครสซัสถูกเททองที่หลอมละลายลงไปในคอ เป็นการประนามถึงความลุ่มหลงในเงินทองและความโลภของเขา  หลังจากการตายของแครสซัสครั้งนี้ พันธมิตรสามเสือก็จบลงด้วย การถ่วงดุลอำนาจไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงแค่ซีซาร์กับปอมปีย์เท่านั้น ที่ต้องแย่งชิงอำนาจกัน ปอมปีย์จึงเดินเกมการเมืองต่อ โดยปอมปีย์ได้ลงสมัครชิงตำแหน่ง “กงสุล” และได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย
และเมื่อซีซาร์รู้ข่าวการตายของแครสซัสและปอมปีย์ได้รับการแต่งตั้งเป็น “กงสุล” อนาคตของซีซาร์ จึงขึ้นอยู่ที่ ชัยชนะของโกลเท่านั้น และไม่นานต่อจากนั้น “เวอร์ซินเจเทอริกซ์” ก็ทำสำเร็จ 
ซีซาร์ได้ข่าวว่า กองกำลังของชาวโกล มากกว่า 250,000 คน กำลังมุ่งมาที่ “อลิเซีย” ในสถานการณ์ที่คับขันนี้ ซีซาร์กลับใช้กลวิธีที่คาดไม่ถึง กับการแก้ไขปัญหา  ซีซาร์สั่งให้สร้างกำแพงอีกชั้นนึงล้อมตัวเองไว้ เพื่อป้องกันกองกำลังชาวโกล  หลังจากกำแพงด้านนอกเสร็จไม่กี่วัน กำลังเสริมของชาวโกลก็มาถึง  และก็ถึงเวลาที่ “เวอร์ซินเจเทอริกซ์” จะตอบโต้กองทัพโรมันกลับ มาถึงตอนนี้ “จูเลียส ซีซาร์” เผชิญกับการโจมตีจากสองด้าน ในศึกที่แทบไม่มีทางชนะได้ การรบที่อลิเซีย (The Battle Of Alesia) จะเป็นอย่างไรต่อพบกันตอนหน้า กับ

จูเลียส ซีซาร์ตอนที่ 3 ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่