[บ่นล้วน] แชร์ประสบนอนโรงพยาบาลศรีธัญญาใกล้บ้านครั้งแรกในชีวิต

สวัสดีค่ะ อยากแชร์เรื่องนี้ให้ทุกคนได้ทราบถึงการบำบัดรักษาของโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้านจิตเวช เราชื่อเต้าหู้ค่ะ ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาหลายปีแล้ว เพิ่งมีโอกาสมาหาหมอรักษาจริงจังที่โรงพยาบาลศรีธัญญาใกล้บ้านค่ะ เป็นแอดมิทครั้งแรกและจะไม่ขอกลับไปเหยียบอีกค่ะ

อ่ะ การไปอยู่โรงพยาบาลศรีธัญญา คือแย่มาก วันแรกก็แบบ เออ มีพี่ๆ ที่เขาอยู่มาก่อนแล้วมาคุยด้วย อะไรๆ ก็ยังไม่เข้าที่เข้ารอยอ่ะเนอะ เขาก็กลัวเราเหงา เลยมาคุย ไม่รู้จะนอนเตียงไหนเพราะมันเตียงสาธารณะแล้วคือ บางคนยึดเตียงเป็นของตัวเองเลยอ่ะ วันแรกที่เข้าไปก็พี่ผู้ช่วยก็ดูแลดีอยู่ แต่ก็แบบ พูดห้วนๆ อ่ะ เราไปนั่งหงอยอยู่ที่เตียงนึงเว่ยเพราะแม่ก็กลับไปแล้ว ของทุกอย่างของเรา กำลงกำไลข้อมือ กิ๊บติดผม สร้อยคอที่สลักชื่อตัวเองกับชื่อพี่สาวไว้ดูต่างหน้าก็ต้องถอด ก็เข้าใจนะว่ามันเป็นกฎ อ่ะ พอเราไม่รู้จะนอนเตียงไหนใช่มะ เราก็ไปนอนที่เตียงๆ นึง ข้างนอกห้องกรง แล้วทีนี้คุณป้าที่เขานอนเตียงที่เราไปนอนเนี่ยเขานอนเตียงนี้ประจำอยู่แล้ว ป้าแกก็ให้เรานอนเตียงนั้นแหละแบบตอนนั้นมันง่วงเพราะก่อนมาโรงพยาบาลคือนอนไม่หลับไง เออ แล้วก็มีพี่พิมพาเพื่อนอีกสองคนมาคุย พี่พิมเป็นคนปกติดีทุกอย่าง เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกัน เขาก็ชวนเราคุยว่าป่วยเป็นอะไรมา มาจากไหน ชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ ตามประสาการทักทายเพื่อนใหม่อ่ะเนอะ เราก็คุยปกติ แล้วก็มีพี่อีกคนนึง ชื่อพี่ซอส แกเป็นโรคอะไรไม่รู้อ่ะลิ้นจุกปากเลยทำให้พูดไม่ชัด แกมานั่งร้องเพลงมานั่งสวดมนต์ให้เราฟัง เพลงหญิงไทยใจงามก็มานะเอออ รู้จักพี่ทศกัณฐ์ด้วยจ้า และแกก็เล่านิทานให้ฟัง พี่อีกคนที่มาคุยด้วยวันนั้นคือพี่เดือน พี่พิมเป็นคนแนะนำมาให้ลองคุยกับพี่เดือนดูเพราะพี่เขาให้กำลังใจได้ดีมากสำหรับคนที่กำลังท้อแท้อยู่ในชีวิต เออเราก็คุยกับเขา เขาก็บอกว่าอย่าเอาเรื่องคนอื่นมาใส่ตัวให้เป็นทุกข์ ถ้าอยากมีความสุขก็จงสุขให้สุดไปเลย เราก็ทำตามนะ เออ ดีว่ะ สุขใจมากอยู่ในนั้น กับพี่อีกคนนึงดูเป็นการเป็นงานมากที่สุดในตึก8ละ เขาชื่อพี่เมย์ ก็มาคุยด้วยนิดหน่อยแนะนำตัวกันไป พี่ปุ้มปุ้ยแกหูแว่วแต่แกพูดอังกฤษเก่งมากกกก ได้ความรู้ภาษาอังกฤษไปในตัว ถึงจะซึมซับได้ไม่มากก็เถอะ--- แล้วทีนี้ ตอนเย็นก็มีคนใหม่เข้ามา เป็นเด็กอายุ13 ชื่อน้องเตย ใส่แว่นเหมือนกันเลย นี่ก็เอาแว่นตาเข้ามาอย่างเดียวเหมือนกัน--- เอาของเข้าตึกได้แค่แว่นตา ยิ้มมาก... แล้วทีนี้ก็ได้รู้จักกัน น้องบอกว่าน้องก็ป่วยซึมเศร้าเหมือนกัน แล้วก็เลยได้รวมแก๊งกับพวกพี่เดือน คุยกันปรับทุกข์กันไป มีอีกคนเราจำชื่อเขาไม่ได้แต่ชีวิตเขาก็ผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน เขาจะถูกส่งตัวไปสถานสงเคราะห์เพราะไม่มีญาติมารับ แกทะเลาะกับแม่แล้วขายบ้านจนแม่โกรธ แกร้องไห้ปรับทุกข์กับพี่เดือน เราก็เลยร้องเพลงให้กำลังใจเขาเว่ย "ลุกก่อน ชนะ!" ของพี่ Bookiezz กับ "245 วินาที" ให้เขาฟัง แบบไม่รู้จะให้กำลังใจยังไงอ่ะ ร้องเพลงก็ไม่เพราะแต่เขายินดีฟัง โคตรซึ้งเลย ก็เลยสนิทกันในที่สุด ทุกคนดูแลเราดีมากในฐานะน้องใหม่คนเพิ่งเคยเข้ามา

อ่ะต่อไปนี้คือบ่นแล้ว ขออภัยในความไม่สุภาพและคำพูดคำจาที่รุนแรงด้วย คือ มันเป็นความคิดในมุมมองของเราอ่ะนะ คนไปรับรู้เบื้องหลังการ"บำบัด" ผู้ป่วยทางจิตเป็นครั้งแรก มุมมองเราแตกต่างกับคนอื่นอยู่แล้วแหละแต่ที่มาบ่นนี่คือ รับไม่ได้จริงๆ

ในตึกมันจะมีห้องสำหรับพยาบาลกับผู้ช่วยพยาบาล มีห้องกระจกติดกับห้องน้ำเอาไว้ขังผู้ป่วยที่ส่งเสียงดัง สร้างความเดือดร้อนให้ผู้ป่วยคนอื่น และมีห้องกรง เตียงสำหรับนอนสี่คนในนั้น ข้างนอกก็เป็นเตียงของผู้ป่วยที่เริ่มโอเคแล้ว จากที่ฟังพี่ๆ ในตึกเล่ามานะ คืนแรก การอาบน้ำเป็นอะไรที่แบบ วุ่นวายอ่ะ แล้วมีผู้ป่วยติดเตียงที่แบบตัวเกร็ง เกร็งไปหมดทั้งตัวขยับไม่ได้เลยสักแอะ ผู้ช่วยสองสามคนช่วยกันจับแขนแกลุกขึ้นแต่แกลุกไม่ได้เว่ย มีผู้ช่วยคนนึงเอาเข่ากระทุกก้นแกสองสามรอบให้แกยืนซึ่งคนตัวเกร็งแล้วแก่แล้วอ่ะมันจะยืนตัวตรงได้ไง ถามจริงไปโกรธใครมาวะถึงมาลงที่คนป่วยแบบนี้ ไม่พอนะ ผู้ช่วยอีกคนเตะขาแกซ้ำเข้าไปอีกเพื่อให้แกเดินจนแกร้องไห้อ่ะ โคตรสงสาร คุณทำรุนแรงกับคนแก่ตัวเกร็งที่ไม่มีทางสู้อย่างงั้นเนี่ยนะ! ไม่พอใจผู้ป่วยจิตไม่ปกติคนไหนปาเสื้อผ้าพร้อมสบถคำหยาบใส่ เงี้ยเหรอการบำบัด เพิ่งตรัสรู้ ณ ตอนนั้นเลยค่ะ จบเรื่องการอาบน้ำไป  ก็ได้เวลานอน

เรา ได้นอนในห้องกรง เตียงในสุด น้องเตย คนที่เข้ามาวันเดียวกับเราก็เริ่มบ่นละ เริ่มระบายละว่าไม่ได้ตั้งใจเข้ามาอยู่ และ "ไม่ได้ป่วย" ย้ำ "น้องไม่ได้ป่วย" น้องเข้ามาเพราะน้องทำตามสัญญากับย่าที่ให้ไว้ว่าแบบ เออเนี่ยน้องอยากพักการเรียนแล้วเข้ามารักษาตัวที่นี่ สัญญากับย่าไว้ อ่ะ เราก็ฟังไป และก็รู้เลยว่า น้องมันไม่ได้ป่วยอะไรเลย จริงๆ คุยเล่น ปกติ น้องมันเล่าว่าตอนกรอกแบบสอบถามน้องยิ้มตอบทุกข้อที่เอาให้ได้คะแนนเยอะๆ เพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในตึกนี้อ่ะ น้องเริ่มร้องไห้เริ่มปรับทุกข์กับเราและพวกพี่เดือนละว่าน้องคิดถึงย่า น้องอยากเจอย่า น้องมาที่นี่น้องแค่ทำตามสัญญาน้องไม่อยากผิดสัญญา น้องบอกว่า เจอหน้าย่ายังมีความสุขมากกว่าอยู่ในนี้อีก คือในตึก8อ่ะก็สบายดีอยู่หรอก กินแล้วก็นอน กินแล้วก็นอนอยู่อย่างงั้นวนลูปไป แต่ในความรู้สึกเราอ่ะ บ้าเอ๊ย "คุก" ดีๆ นี่เอง แล้วมีพี่คนนึงแกเป็นเมนส์ จะขอผ้าอนามัย แกก็ไปเคาะกระจกห้องสำหรับพี่เลี้ยง คนในห้องนั้นก็เล่นโทรศัพท์ไง นางเงยหน้าขึ้นมามองแล้วก็ก้มลงเล่นมือถือต่อ What!!!? คือพี่คนนั้นเขาปกติดีพูดจารู้เรื่องเว่ย! แต่คือพวกคุณๆ ทั้งหลายเหมารวมพวกเราที่มีทั้งคนปกติและไม่ปกติรวมเป็นคนบ้าอ่ะ คืออะไร เรียนพยาบาลมาคือคุณแยกแยะไม่ออกเหรอ กลับไปเรียนชีวะ จิตวิทยาใหม่มั้ย คุณสนใจมือถือมากกว่าคนไข้อีกนะ ละไงต่อล่ะ หึ..พี่คนนั้นก็ไปเคาะกระจกอีกฝั่งนึงตรงห้องอาหารจนมีพี่ผู้ช่วยคนที่ใจดีสุดอ่ะแกเอาผ้าอนามัยให้ เรานี่พูดไม่ออกเลย

มีอีกเรื่องคือเราไม่รู้ว่าต้องถอดชุดชั้นในออกหมดยกเว้นกางเกงในเพราะเราเป็นเมนส์ มีป้าคนนึงเอาเสื้อในเราใส่ถุงแล้วบอกว่าจะเอาให้ญาติเอากลับมั้ย เราก็บอกว่าเอากลับค่ะ นางบอกกูว่า ถ้าไม่เอากลับงั้นยกให้เป็นของหลวงนะ  เรานี่แบบ เราก็บอกอยู่ว่าเอากลับๆ นั่นเสื้อในเรา คนอื่นห้ามใส่ยกเว้นแม่เราโว้ยยยย!!!! คุณจะยกให้เป็นของหลวงให้คนในตึกนี้ใช้ร่วมกันไม่ได้!!! ของใครใครก็หวงคุณเก็ตมั้ยคะป้า

พวกพี่เลี้ยงบางคนนี่ปากจัดนะ ปากจัดมาก ด่าคนป่วยที่แบบเขาสติไม่ดีอ่ะ ลงไม้ลงมือกับคนที่ไม่มีทางสู้ด้วย แต่ก็ดูแลตามยถากรรมเพราะมันเป็นงานของพวกนาง คือทำรุนแรงกับคนป่วยมากอ่ะ แรงแบบ โห ถ้าหัวเขาแตกขึ้นมาคุณรับผิดชอบมั้ยล่ะน่ะ สติเขาก็ไม่ดีอยู่แล้ว คุณยังจับเขาเอาหัวโขกกับกระจกซ้ำๆ อีกเหรอ เอาง่ายๆ ทุกคนเหมารวมว่าพวกเราอ่ะบ้า สติไม่ดี ทั้งที่คนสติดีก็มีแต่เหมารวมว่าเป็นบ้ากันหมด

ที่เรารับไม่ได้ร้ายแรงที่สุดคือ ทุกอย่างต่างจากหนังที่เคยดูมาก ในหนังนี่พยาบาลปล่อยให้นั่งเล่นเดินเล่นในสนามหญ้า ให้ญาตินั่งคุยได้นานๆ พูดจาเพราะๆ กับคนสติไม่ดีสูงอายุ ตื่นจ้าาาา ความจริงมันแสนโหดร้าย ทุกคนจะไม่มีสิทธิ์ออกไปเดินข้างนอกยกเว้นคนที่ต้องเข้ากลุ่มเตรียมพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาล เรากับน้องเตยและทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันว่า "เราถูกขัง" อ่ะ "เราอยู่ในคุกชัดๆ" พวกนางๆ ทั้งหลายนี่ผู้คุมเรือนจำดีๆ นี่เอง แล้วก่อนหน้านี้คือน้องเตยร้องไห้ใช่ป่ะ เออพอน้องรู้ว่าพี่แต่ละคนที่น้องสนิทด้วยแล้วเขาจะได้กลับบ้านแล้วน้องมันก็เศร้าอ่ะ ร้องไห้ตลอดเลย เพราะน้องมันเคยเข้ามาแค่สองวันแล้วออกไป มารอบนี้น้องบอกหมอไม่น่ายอมให้ออกไปง่ายๆ เมื่อวานเลยได้แลกเบอร์กัน ตั้งแต่เราอยู่มาสามสี่วันนี่ไม่เห็นญาติน้องเขามาเยี่ยมเลย อ่ะ น้องให้เบอร์ของคุณย่ามา พร้อมกับฝากบอกคุณย่าว่า น้องไม่ไหวแล้ว แล้ววันนี้ได้ออกจากโรงพยาบาลพอดีเพราะพรุ่งนี้เราจะไปทำธุระไง อ่ะพอแม่มารับเราก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ผู้ช่วยก็มาขังเราไว้ในห้องอีก เราก็ดันประตูบอกว่าจะออกไปหาแม่ พยาบาลบอกว่าให้เราออกมานางเลยยอมปล่อย  แล้วทีนี้แม่เราซื้อกล้วยทอดมาสองถุง เราก็เลยเอาไปแจกให้กับทุกคนที่ช่วยแนะนำและเป็นพี่เลี้ยง สอนเรา ปรับทุกข์ ร่วมสุขร่วมทุกข์ในคุกศรีธัญญากับเรา เป็นการตอบแทนที่พวกเขาเหล่านั้นช่วยเหลือกูในฐานะเด็กใหม่ใสๆ ไม่เคยเข้ามาบำบัดแบบนี้มาก่อน ร้ายแรงที่สุดจุดพีคของวันนี้คือไรรู้มะ

มีพยาบาลแก่คนนึงนั่งดูทีวีอยู่ คือตอนนั้นคนป่วยตึก8ออกมาข้างนอกมานั่งเล่นไง แล้วกล้วยทอดมันเหลือชิ้นนึงในถุงสุดท้าย แล้วพี่ที่เขาจะต้องไปอยู่สถานสงเคราะห์อ่ะเขาก็มาขอชิ้นสุดท้ายพอดี พยาบาลนั่นก็บอกว่า "หน้าด้านเนอะยังกล้าไปขอเขาอีก" เรากับพี่คนนั้นเงียบเลย คือเราแบบ เอ้า! ก็นี่มันขนมที่แม่เราซื้อมาอ่ะ เราจะแจกให้ใครมันก็เรื่องของเราป้ะวะ!? งง!! คือป้าแกมาเกี่ยวอะไรด้วยอ่ะ อยากกินเหรอ? ไม่รับรู้ชีวิตคนอื่นว่าเขาเดือดร้อนแค่ไหนก็อย่ามายุ่งคนเขาจะร่ำลากันดิป้า ที่บ้านพ่อแม่ไม่สั่งสอนมารยาทเหรอ เป็นพยาบาลคือด่าคนไข้อย่างงี้ก็ได้เหรอ

เราก็เลย จ้ะ...ไหนๆ วันนี้เราก็ได้ออกแล้ว เราแผลงฤทธิ์เลยจ้ะ จากที่เงียบๆ หงิมๆ มาสามสี่วัน เราแผลงฤทธิ์ ณ ตอนนั้นเลยจ้ะ เราเถียงแบบผู้ดีกับพยาบาลป้านั่น ทำหน้าทำตากวนส้นเท้าให้นางหมั่นไส้เราขั้นสุด ก็ได้เถียงกันอยู่พักใหญ่ ที่เรารับไม่ได้เพราะอะไร คือ พวกคุณเห็นว่าพวกเขาเป็นคนบ้า ไม่มีสติ ไม่รู้เรื่อง คุณเลยนึกจะด่าจะว่ายังไงก็ได้เพราะ "เขาบ้า ไม่รับรู้คำด่า" ของพวกคุณ เงี้ยอ่ะนะการบำบัด? โห เราไม่อยากเชื่อเลย ตบมือรัวๆ เลยนะเนี่ย แล้วเราก็เรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนป่วยที่โดนพยาบาลแก่นั่นด่าว่าหน้าด้านกับเรื่องของน้องเตยที่ตอนนั้นเราโทรบอกคุณย่าให้มารับน้องเตยกลับบ้านแล้วเรียบร้อย เราเรียกร้องทั้งที่เราก็รู้ว่า เอ้อ พูดไปพวกคุณก็ทำหูทวนลมอ่ะ อีหรอบเดิมอยู่ดี ทำรุนแรง พูดจาหยาบคายกับคนป่วยอยู่ดี ณ ตอนนั้นคือคนป่วยที่รู้จักเราคืออึ้งหนักมาก(เราขำตรงนี้) คือเราเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันของมนุษยชนให้กับคนป่วยทุกคนในตึก8จากพยาบาลคนนั้นอ่ะ ละแบบ นางก็นั่งคุยกับแม่เรา พอเราไปยืนข้างแม่ก็หาว่าเรายืนค้ำหัวผู้ใหญ่ รู้มั้ยเราตอบว่าไง "อ๋อ ได้ค่ะ งั้นหนูนั่งพับเพียบเลยนะคะ~" ไงล่ะ หึ... สุดท้ายคนที่ขังเราก็เอาเก้าอี้มาให้เรานั่ง คุยไปสักพักพยาบาลบอกแม่เราว่า เราอาจจะไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้าแต่เป็นอย่างอื่น ไม่มีสติ และก็คงได้กลับมาที่นี่อีกเพราะมีปัญหากับการเรียน เราก็เถียงกลับเลย "หนูมีสติค่ะ และกรุณาช่วยอบรมพยาบาลด้วยสำนึกในความเป็นพยาบาล จรรยาบรรณของหน้าที่การงานตัวเอง และถ้าหนูเรียนจบ ป้าอย่าลืมมางานรับปริญญาหนูนะคะ" พูดจบเรายิ้มให้อย่างดีแบบกวนส้นเท้าขั้นสุด บอกเลยว่าใครด่าเราตอนนั้น เราพร้อมบวกอ่ะ ป้าก็บอกจะไปทำไมฉันไม่ใช่ญาติเธอ เราเลยบอก ป้าจะได้เห็นไงว่าหนูเรียนจบ นางก็ไม่เถียงกับเราต่อ หึ..! เถียงผิดคนแล้วค่ะป้า!! มีการไปหาเรื่องน้องเตยตอนเราโทรศัพท์ของคุณย่าน้องเตยเสร็จแล้วด้วยนะ! น้องเตยร้องไห้เลย คนป่วยทุกคนเป็นพยานเลย หึ... ร้ายมาร้ายกลับไม่โกงค่ะ! ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน อย่ามาแบ่งแยกชนชั้นวรรณะกับคนป่วยสติไม่ดีหรือดีก็แล้วแต่อย่างงี้ค่ะ! หมดยุคการแบ่งชนชั้นวรรณะแล้วค่ะฮัลโหล~ เราบอกเลย เรื่องเรานี่ทอร์คออฟเดอะทาวน์ในตึก8แน่นอน

ถ้าไม่คิดจะปรับปรุงพฤติกรรมพยาบาลกับผู้ช่วยให้มีมารยาทกับคนป่วยมากกว่านี้ต่อให้คนป่วยคนนั้นจะสติดีหรือไม่ดีอายุน้อยกว่า เท่ากัน หรือมากกว่าคราวพ่อคราวแม่ ก็ไม่ควรใช้ความรุนแรงถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยบาดเจ็บมากขึ้นกว่าที่เขาเป็นอยู่ อย่าแบ่งแยกชนชั้นวรรณะว่าตัวเองเหนือกว่าจะทำอะไรก็ได้กับผู้ป่วยทุกคน เพราะเงินเดือนพวกก็คือเงินค่ารักษาที่พวกกูจ่าย! และการกักขังไม่ให้ออกไปเดินเล่นมันก็คือคุกอย่างนึงนี่แหละค่ะ บอกเลยว่าเรากินแล้วนอนนี่เราปรับทุกข์กับพวกพี่ๆ ได้หลายร้อยเรื่องในหนึ่งวันเลยอ่ะ เป็นอะไรที่น่าเบื่อน่ามาก เราขอเตือนเลยนะ ใครก็ตาม อย่าได้เข้าไปอยู่ในตึก8หรือตึกไหนในศรีธัญญาเด็ดขาด และคนที่กำลังจะออกมา ก็อย่ากลับไปเหยียบที่นั่นอีก!!!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่