การเป็นนักลงทุนวีไอจะต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ และมีจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหวไปกับสถานการณ์ภายนอก ตราบใดธุรกิจที่ลงทุนยังแข็งแกร่งอยู่
เมื่อวานนี้ผมมีนัดทานข้าวเย็นกับเพื่อนตอนเรียนมัธยมหลังจากเกิดเหตุการณ์ป่วนเมืองในช่วงเช้า
ในระหว่างที่คุยกัน เพื่อนคนหนึ่งก็ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีมุมมองที่เป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย และอยากขายหุ้นทิ้งหรือไม่ซื้อหุ้นเพิ่มในช่วงเวลานี้
จากประสบการณ์ของผมในช่วงปี 2548 ซึ่งมีการประท้วงในกรุงเทพ ช่วงนั้นผมคาดการณ์ไว้ว่าจะต้องมีเหตุการณ์รุนแรงแน่ๆ เพราะได้รับข้อมูลจากสื่อหลายทาง เลยตัดสินใจขายหุ้น SCC ทิ้งไปทั้งหมด ก่อนที่ผู้ประท้วงจะบุกเข้ามา แต่ปรากฎว่าเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด หุ้นปรับตัวลงไม่กี่วันแล้วก็ปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าราคาที่ขายไปมาก
แต่หลังจากเปลี่ยนมาเป็นวีไอแล้ว ประสบการณ์ที่มีแตกต่างออกไป ครั้งที่มีระเบิดแถวราชประสงค์ตอนปี 2558 วันรุ่งขึ้นหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรง เช่น กลุ่มโรงแรมอย่าง MINT ที่ราคาลดลงมาที่ 24 บาท
ครั้งนั้นผมไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรแต่ได้เข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้ด้วย หลังจากนั้นภายใน 3 เดือนหุ้นวิ่งขึ้นมาที่ 34 บาท เพราะว่าจริงๆแล้วธุรกิจของ MINT มีรายได้จากต่างประเทศเยอะ และมีจำนวนโรงแรมในกรุงเทพไม่กี่โรงแรม โดยรวมแล้วไม่ได้กระทบธุรกิจมาก แต่เป็นเพราะนักลงทุนตกใจมากเกินไป เลยเทขายหุ้นออกมาจนราคาต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม
ผมไม่ได้เชียร์ให้รีบซื้อหุ้นในช่วงนี้ แต่แนะนำให้ใช้ความนิ่ง ไม่หวั่นไหวรีบขายหุ้นออกมา ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่หาโอกาสในการลงทุนหุ้นดีๆมากกว่า
นักลงทุนคงเห็นแล้วว่าในช่วงสิบกว่าปีที่มีความขัดแย้งในประเทศ หุ้นหลายๆตัวก็สามารถปรับตัวขึ้นได้หลายเท่าตัวเพราะธุรกิจมีรายได้และกำไรเพิ่มมากขึ้น
เพราะฉะนั้นจิตใจที่มั่นคงเป็นคุณสมบัติที่นักลงทุนแนววีไอต้องมี เพราะการลงทุนระยะยาว ต้องฝ่าฟันความไม่แน่นอนตลอดเส้นทางที่เดินไป
จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทำให้ผมเริ่มกระจายความเสี่ยงด้วยการไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ จนปัจจุบันพอร์ตมีสัดส่วนหุ้นอเมริกามากถึง 60% ศึกษาดีๆแล้วออกไปลงทุนต่างประเทศกันครับ #หุ้นอเมริกา #การลงทุนวีไอ
ความไม่แน่นอนในประเทศไทย กับการลงทุนแบบวีไอ - By Billionaire VI
เมื่อวานนี้ผมมีนัดทานข้าวเย็นกับเพื่อนตอนเรียนมัธยมหลังจากเกิดเหตุการณ์ป่วนเมืองในช่วงเช้า
ในระหว่างที่คุยกัน เพื่อนคนหนึ่งก็ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีมุมมองที่เป็นลบต่อตลาดหุ้นไทย และอยากขายหุ้นทิ้งหรือไม่ซื้อหุ้นเพิ่มในช่วงเวลานี้
จากประสบการณ์ของผมในช่วงปี 2548 ซึ่งมีการประท้วงในกรุงเทพ ช่วงนั้นผมคาดการณ์ไว้ว่าจะต้องมีเหตุการณ์รุนแรงแน่ๆ เพราะได้รับข้อมูลจากสื่อหลายทาง เลยตัดสินใจขายหุ้น SCC ทิ้งไปทั้งหมด ก่อนที่ผู้ประท้วงจะบุกเข้ามา แต่ปรากฎว่าเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด หุ้นปรับตัวลงไม่กี่วันแล้วก็ปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าราคาที่ขายไปมาก
แต่หลังจากเปลี่ยนมาเป็นวีไอแล้ว ประสบการณ์ที่มีแตกต่างออกไป ครั้งที่มีระเบิดแถวราชประสงค์ตอนปี 2558 วันรุ่งขึ้นหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรง เช่น กลุ่มโรงแรมอย่าง MINT ที่ราคาลดลงมาที่ 24 บาท
ครั้งนั้นผมไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรแต่ได้เข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้ด้วย หลังจากนั้นภายใน 3 เดือนหุ้นวิ่งขึ้นมาที่ 34 บาท เพราะว่าจริงๆแล้วธุรกิจของ MINT มีรายได้จากต่างประเทศเยอะ และมีจำนวนโรงแรมในกรุงเทพไม่กี่โรงแรม โดยรวมแล้วไม่ได้กระทบธุรกิจมาก แต่เป็นเพราะนักลงทุนตกใจมากเกินไป เลยเทขายหุ้นออกมาจนราคาต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม
ผมไม่ได้เชียร์ให้รีบซื้อหุ้นในช่วงนี้ แต่แนะนำให้ใช้ความนิ่ง ไม่หวั่นไหวรีบขายหุ้นออกมา ช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่หาโอกาสในการลงทุนหุ้นดีๆมากกว่า
นักลงทุนคงเห็นแล้วว่าในช่วงสิบกว่าปีที่มีความขัดแย้งในประเทศ หุ้นหลายๆตัวก็สามารถปรับตัวขึ้นได้หลายเท่าตัวเพราะธุรกิจมีรายได้และกำไรเพิ่มมากขึ้น
เพราะฉะนั้นจิตใจที่มั่นคงเป็นคุณสมบัติที่นักลงทุนแนววีไอต้องมี เพราะการลงทุนระยะยาว ต้องฝ่าฟันความไม่แน่นอนตลอดเส้นทางที่เดินไป
จากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทำให้ผมเริ่มกระจายความเสี่ยงด้วยการไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ จนปัจจุบันพอร์ตมีสัดส่วนหุ้นอเมริกามากถึง 60% ศึกษาดีๆแล้วออกไปลงทุนต่างประเทศกันครับ #หุ้นอเมริกา #การลงทุนวีไอ