จากความสำเร็จจากหนังหลายภาคที่มา และการมีตัวละครมากหน้าหลายตารวมถึงตัวละครที่ค่อนข้างขโมยซีนอยู่ จึงทำให้ทีมผู้สร้างเลยตัดสินใจสร้างภาคแยกออกมา
เนื้อเรื่องในหนังก็ตามตัวอย่างเลยครับ ดูง่ายดูเพลินไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศ มีก็แต่เพื่อนที่ด่าจิกกัดกันได้ตลอด(ไม่รู้ว่านับกันเป็นเพื่อนกันได้ยัง 555) นั้นคือ Hobbs กับ shaw แน่นอนครับไร้สองคนนี้หนังเรื่องนี้สร้างไม่ได้แน่ 555 การจับคู่ของทั้งสองคนพอมีเคมีที่ลงตัวอยู่บ้าง ร่วมด้วยช่วยกันได้แน่นอน เพียงแต่ไอ้สองคนนี้จะหนักไปที่ด่ากันทะเลาะกัน คือถ้าไม่ด่ากันเลยสถานการณ์ในหนังดีขึ้นกว่านี้แน่นอน 555 ซึ่งคำด่าแต่ละคำก็ไม่ใช่เป็นคำนะสิ มันมาเป็นประโยคเลย ด่ากันเป็นวรรคเป็นเวร เดี๋ยวผมจะลองยกตัวอย่างสักหน่อยล่ะกันอาจไม่ตรงมาก "แกมันไอ้หมาเน่านอนตายในหลุมศพที่เต็มไปหนอนยั้วเยี้ยที่สกปรกน่าเกลียดน่ากลัว" ทำนองนี้ แต่หนังด่าเจ็บมากกว่า
อย่างที่บอกไปในพาดหัวแหละครับ มันคือหนังจารกรรมสายลับแต่ยืมตัวละครมาจากฟาสต์ เฉยๆ เพราะฉะนั้นความเป็น Fast and furious ในหนังเลยมีน้อย ก็คือการต่อสู้ด้วยรถยนต์แบบฟาสต์ภาคหลังๆ ในเรื่องนี้จะมีน้อยมากถึงไม่มีเลย ที่มีก็เป็นฉากไล่ล่าธรรมดาแล้วก็ฉากท้ายเรื่องนั้นแหละ แต่คิวบู๊นี่จัดหนักจัดเต็มมาก ซัดกันตะลุมบอลอย่างมัน แต่จะเน้นไปที่คิวบู๊ระยะประชิดมากกว่าการยิงถล่มกัน ซึ่งจุดนี้ผมเฟลอ่ะ ก็เพราะดูจากตัวอย่างแล้วมันคงยิงถล่มเป็นอาหลอง แต่! หนังจริงยิงแบบไม่เน้นเท่าไหร่ยิงกัน แบบตอนไหนที่ยิงกันตัดภาพเร็วมาก แต่ก็นั้นแหละอย่างน้อยฉากวินาศสันตะโรก็คงโอเคอยู่
ตัวละครต่างๆอย่างนางเอกก็สวยน่ารักขึ้นกล้องมากเพียงแต่ไม่ยักโดนตกเหมือนคนอื่นๆอ่ะ แต่ก็มีความรู้สึกอยากคีบจมูกอันโด่งๆงามๆของเธอเล่นเบาๆ 555
ตัวร้ายก็โหดใช่เล่นแม้จะดูแล้วมันเหนือมนุษย์แน่ๆ แต่หนังก็ทำให้มันยังมีความเป็นมนุษย์เดินดินอยู่บ้าง แถมใส่เหตุผลเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องกลายเป็นตัวร้าย แม้ว่าจะมีความยัดเยียดบ้างไปหน่อยก็เถอะ
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้หนังมีความ Wow แบบสุดๆคือตัวละครรับเชิญครับ มีมา2คนครับ ระดับพระเอกทั้งนั้น โดยเฉพาะคนแรกนี่ โหยใครคิดว่าแกจะมาได้ แม้ว่าบทจะเป็นรับเชิญแต่โผล่มาหลายฉากมากกก แล้วก็เป็นบทที่ช่วยเหลือทีมพระเอกอีกด้วย บทแต่ละคนนี่อย่างฮา
สำคัญที่สุดสิ่งที่ขาดไปไม่ได้สำหรับเรื่องราวของ Fast ก็คือเรื่องราวของครอบครัวครับ ผมว่าเรื่องนี้พูดถึงครอบครัวที่เด่นชัดสุด เพราะฟาสต์ภาคหลักกล่าวถึงครอบครัวในมุมมองของเพื่อนและมิตรภาพต่างๆ แต่เรื่องนี้มุมมองครอบครัวคือพ่อแม่พี่น้อง ครับ ซึ่งหนังถ่ายทอดจุดนี้ออกมาเป็นอย่างดี แม้หน้าหนังจะเป็นเรื่องราวในทำนองบู๊ ตลก จารกรรม แต่พาร์ทครอบครัวก็ทำออกมาได้อบอุ่นดี ไม่ว่าจะเป็นฝั่งครอบครัวของฝั่งฮอบส์ หรือ ชอว์ ซึ่งทั้งสองครอบครัวต่างก็มีปมให้สะสางแก้ไขหลังจากปล่อยให้มันอยู่มานาน จนกระทั่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าพระเอกของเราได้ไปแก้ปมต่างๆโดยบังเอิญ ชอบประโยคหนึ่งที่แฮ็ตตี้กล่าวกับฮอบส์ว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"ถ้าฉันไม่มีไวรัส คุณคงไม่ได้กลับมาหาครอบครัว" และแน่นอนถ้าให้ผมเดาฮอบส์ก็อาจบอกว่า "ถ้าเธอไม่มีไวรัส เธอก็คงไม่มีวันได้ปรับความเข้าใจกับชอว์"
แต่ในความรู้สึกส่วนตัวจะอินไปกับฝั่งชอว์มากกว่าเพราะฝั่งฮอบส์ช่วงชาวซามัวยังขยี้ไม่สุด อนึงก็คงเพราะต้องเร่งเดินเรื่องต่อเนื่องจากเกาะซามัวเป็นที่เผด็จศึกคงอยากเน้นไปที่แผนรับมือและการแก้เกมมากกว่า แต่ถ้าเน้นมากกว่าอีกสักหน่อยคงจะชวนให้อินไม่น้อย
และหนังยังพาให้เราไปรู้จักกับทั้ง Hobbs และ shaw อย่างพอสมควร ได้รู้จักที่ไปที่มาของทั้งสองมากกว่าที่เคย และที่สำคัญเราจะได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังชอส์ด้วยในเรื่องราวก่อนภาค7
เหมือนหนังจะบอกกับเราเป็นนัยๆว่า "บางครั้งเราก็ยึดติดนับถือในเทคโนโลยีจนมากเกินไป จนเราลืมนึกถึงสิ่งที่สำคัญกับเราที่สุด สิ่งที่ว่าดังกล่าวนั้นคือ ครอบครัว"
Fast and furious : Hobbs and shaw 7.5/10 หนังบู๊จารกรรมในจักรวาล Fast and furious
เนื้อเรื่องในหนังก็ตามตัวอย่างเลยครับ ดูง่ายดูเพลินไม่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อนทรยศ มีก็แต่เพื่อนที่ด่าจิกกัดกันได้ตลอด(ไม่รู้ว่านับกันเป็นเพื่อนกันได้ยัง 555) นั้นคือ Hobbs กับ shaw แน่นอนครับไร้สองคนนี้หนังเรื่องนี้สร้างไม่ได้แน่ 555 การจับคู่ของทั้งสองคนพอมีเคมีที่ลงตัวอยู่บ้าง ร่วมด้วยช่วยกันได้แน่นอน เพียงแต่ไอ้สองคนนี้จะหนักไปที่ด่ากันทะเลาะกัน คือถ้าไม่ด่ากันเลยสถานการณ์ในหนังดีขึ้นกว่านี้แน่นอน 555 ซึ่งคำด่าแต่ละคำก็ไม่ใช่เป็นคำนะสิ มันมาเป็นประโยคเลย ด่ากันเป็นวรรคเป็นเวร เดี๋ยวผมจะลองยกตัวอย่างสักหน่อยล่ะกันอาจไม่ตรงมาก "แกมันไอ้หมาเน่านอนตายในหลุมศพที่เต็มไปหนอนยั้วเยี้ยที่สกปรกน่าเกลียดน่ากลัว" ทำนองนี้ แต่หนังด่าเจ็บมากกว่า
อย่างที่บอกไปในพาดหัวแหละครับ มันคือหนังจารกรรมสายลับแต่ยืมตัวละครมาจากฟาสต์ เฉยๆ เพราะฉะนั้นความเป็น Fast and furious ในหนังเลยมีน้อย ก็คือการต่อสู้ด้วยรถยนต์แบบฟาสต์ภาคหลังๆ ในเรื่องนี้จะมีน้อยมากถึงไม่มีเลย ที่มีก็เป็นฉากไล่ล่าธรรมดาแล้วก็ฉากท้ายเรื่องนั้นแหละ แต่คิวบู๊นี่จัดหนักจัดเต็มมาก ซัดกันตะลุมบอลอย่างมัน แต่จะเน้นไปที่คิวบู๊ระยะประชิดมากกว่าการยิงถล่มกัน ซึ่งจุดนี้ผมเฟลอ่ะ ก็เพราะดูจากตัวอย่างแล้วมันคงยิงถล่มเป็นอาหลอง แต่! หนังจริงยิงแบบไม่เน้นเท่าไหร่ยิงกัน แบบตอนไหนที่ยิงกันตัดภาพเร็วมาก แต่ก็นั้นแหละอย่างน้อยฉากวินาศสันตะโรก็คงโอเคอยู่
ตัวละครต่างๆอย่างนางเอกก็สวยน่ารักขึ้นกล้องมากเพียงแต่ไม่ยักโดนตกเหมือนคนอื่นๆอ่ะ แต่ก็มีความรู้สึกอยากคีบจมูกอันโด่งๆงามๆของเธอเล่นเบาๆ 555
ตัวร้ายก็โหดใช่เล่นแม้จะดูแล้วมันเหนือมนุษย์แน่ๆ แต่หนังก็ทำให้มันยังมีความเป็นมนุษย์เดินดินอยู่บ้าง แถมใส่เหตุผลเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องกลายเป็นตัวร้าย แม้ว่าจะมีความยัดเยียดบ้างไปหน่อยก็เถอะ
อีกจุดหนึ่งที่ทำให้หนังมีความ Wow แบบสุดๆคือตัวละครรับเชิญครับ มีมา2คนครับ ระดับพระเอกทั้งนั้น โดยเฉพาะคนแรกนี่ โหยใครคิดว่าแกจะมาได้ แม้ว่าบทจะเป็นรับเชิญแต่โผล่มาหลายฉากมากกก แล้วก็เป็นบทที่ช่วยเหลือทีมพระเอกอีกด้วย บทแต่ละคนนี่อย่างฮา
สำคัญที่สุดสิ่งที่ขาดไปไม่ได้สำหรับเรื่องราวของ Fast ก็คือเรื่องราวของครอบครัวครับ ผมว่าเรื่องนี้พูดถึงครอบครัวที่เด่นชัดสุด เพราะฟาสต์ภาคหลักกล่าวถึงครอบครัวในมุมมองของเพื่อนและมิตรภาพต่างๆ แต่เรื่องนี้มุมมองครอบครัวคือพ่อแม่พี่น้อง ครับ ซึ่งหนังถ่ายทอดจุดนี้ออกมาเป็นอย่างดี แม้หน้าหนังจะเป็นเรื่องราวในทำนองบู๊ ตลก จารกรรม แต่พาร์ทครอบครัวก็ทำออกมาได้อบอุ่นดี ไม่ว่าจะเป็นฝั่งครอบครัวของฝั่งฮอบส์ หรือ ชอว์ ซึ่งทั้งสองครอบครัวต่างก็มีปมให้สะสางแก้ไขหลังจากปล่อยให้มันอยู่มานาน จนกระทั่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าพระเอกของเราได้ไปแก้ปมต่างๆโดยบังเอิญ ชอบประโยคหนึ่งที่แฮ็ตตี้กล่าวกับฮอบส์ว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แต่ในความรู้สึกส่วนตัวจะอินไปกับฝั่งชอว์มากกว่าเพราะฝั่งฮอบส์ช่วงชาวซามัวยังขยี้ไม่สุด อนึงก็คงเพราะต้องเร่งเดินเรื่องต่อเนื่องจากเกาะซามัวเป็นที่เผด็จศึกคงอยากเน้นไปที่แผนรับมือและการแก้เกมมากกว่า แต่ถ้าเน้นมากกว่าอีกสักหน่อยคงจะชวนให้อินไม่น้อย
และหนังยังพาให้เราไปรู้จักกับทั้ง Hobbs และ shaw อย่างพอสมควร ได้รู้จักที่ไปที่มาของทั้งสองมากกว่าที่เคย และที่สำคัญเราจะได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังชอส์ด้วยในเรื่องราวก่อนภาค7
เหมือนหนังจะบอกกับเราเป็นนัยๆว่า "บางครั้งเราก็ยึดติดนับถือในเทคโนโลยีจนมากเกินไป จนเราลืมนึกถึงสิ่งที่สำคัญกับเราที่สุด สิ่งที่ว่าดังกล่าวนั้นคือ ครอบครัว"