จะว่าไปผมเองก็เป็นคนนึงที่ชอบเข้ามาให้กำลังใจคนที่ท้อแท้ในชีวิตไม่ว่าจะในเว็บพันธิปเองหรือว่าจะเป็นกลุ่มต่างๆในเฟสบุ๊ค ตลอดจนน้องนุ่งที่รู้จักการเป็นการส่วนตัว ผมเองก็ไม่เข้าใจนักหรอทำไมตัวเองทำแบบนั้น
จนมาปีนี้ที่ผมเองรู้สึกว่าตัวเองเจอศึกหนักมาก เรียกได้ว่าหนักสุดในห่วงชีวิตนี้เลยก็ว่าได้ ผมหลุดจากวงโคจรตัวเอง อารมณ์หลุด การกระเปลี่ยน รู้หดหู่จนรู้สึกว่าตายๆไปซะ คงไม่มีใครเสียดายหรอก ผมร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นได้ มันแปลก แปลกที่สุด
เมื่อก่อนผมแกร่งกว่านี้ ผมเจอเรื่องคอขาดบาดตายมาก็มี เจอเรื่องที่ต้นชนกับคนใหญ่คนโตมาก็มี แต่ผมก็พร้อมสู้ แต่มาปีนี้ผมอ่อนแอและอยากหนีไปจากมัน ไม่อยากสู่กับใครอีก ท้อแท้ ผมได้ไปปรึกษากับน้องที่รู้จักที่เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เขาก็บอกว่าเขาก็เป็นเหมือนกันตอนที่เป็นเขาได้ไปพบแพทย์ ได้รับการรักษาเลยกลับมาดีขึ้น ผมเลยไปพบแพทย์บ้าง
ผมเข้าไปพบแพทย์ เราได้สนทนากันเรื่องต่างๆและอากาศเจ็บป่วยทางกายกันก่อน ผมนอนไม่หลับ ปวดต้นคอ ความจำหายไปบางส่วนเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยในชีวิต สับสนระหว่างความจริงกับความฝันในบางคราว หมอเลยสรุปได้ว่าน่าจะเป็นอาการ ภาวะซึมเศร้าระยะเริ่มต้น คุณหมอได้พูดคุยปัญหาต่างๆในชีวิตและแนวทางแก้ไขกับผม
มันน่าจำตรงที่เมื่อก่อน ผมจะเป็นคนที่ค่อยให้กำลังใจ หาทางออกช่วยคนอื่นตลอด ผมเล่าเรื่องราวที่ผมเก็บกดมานาน และเล่าจนหมด สุดท้ายคุณหมอถามผมว่า คุณมองเห็นข้อดีอะไรจากเรื่องนี้ ขอสักสามข้อ ผมตอบไปแค่สอง อันที่สามผมคิดไม่ออก ผมร้องไห้ คุณหมอบอกว่า ที่ตอบไม่ได้เพราะสภาวะจิตใจตอนนี้มันเป็นทุกข์ ถ้าใจเราเป็นสุขเราจะคิดออก อยากให้ผมเก็บคำถามนี้เอาไว้ตอบตัวเอง
ผมกินยามาได้สักเดือนนึงแล้ว ตอนนี้อาการดีขึ้นบางแต่ไม่หนักเท่าตอนนั้น ผมกลับมาตอบใจตัวเองว่าได้อะไรจากเรื่องราวที่ผมสะสมมาในใจผมนานแสนนาน
1) คิดได้ว่ามนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานอยู่แล้วจงยอมรับและทำใจกับสิ่งนี้และไม่ยิดติดกับคำพูดคน
2)เราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงใครได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราเองได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะกล้าพอที่จะยอมเปลี่ยนหรือเปล่า
3) รักตัวเองให้เป็น ซื้อสัตย์ต่อความคิดตัวเองและเรียนรู้ที่จะเป็นตัวเองโดยที่คนอื่นไม่เดือนร้อน เพราะท้ายที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นมาในชีวิตเราเกิดจากการกระทำหรือการตัดสินใจของเราเอง
ตอนนี้ สภาพจิตใจผมดีขึ้นมากแต่ก็ยังคงมีบางช่วงที่เครียดเหมือนกันเพราะว่างานที่ทำมันแบกรับอารมณ์คนเป็นอาขีพอยู่แล้ว ผมมองเห็นคนรอบตัวผมเขาพยายามสร้างและรักษาคอมฟอร์ดโซนของตัวเองไว้ อย่างเต็มที่โดนไม่คำนึงถึงว่าผมจะต้องรับภาระจากการกระทำของพวกเขาเหรือไม่ เขาไม่ได้เห็นความจำเป็นในสิ่งที่พวกเขาทำแต่เขามองแค่ว่าเขาได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ทำลงไปมากน้อยเพียงใด โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าผมคนที่ต้องทำหน้าที่ตรงน้ันจะทำงานหนักขนาดใหนโดยที่ผมพยายามสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจผมเพียงใด แต่ก็เหมือนพวกเขาจะเลือกละเลยสิ่งที่ผมบอกไปหมด เพียงเพราะเขารักษาสภาวะความสุขของตัวเอง
ผมเริ่มเข้าใจและตั้งคำถามว่า เราจะอยู่อย่างไรให้เป็นทุกข์น้อยที่สุดจากผลการกระทำพวกเขา ผมได้คำตอบให้ใจตัวเองคือ เปลี่ยนทีเราเองง่ายที่สุด ซึ่งผมก็มองว่าปัจจุบันของผมตอนนี้คือยังทำงานในระบบเดิมๆที่พวกเขาไม่ได้จะคิดหรือทำการเปลี่ยนแปลงระบบอะไรใหม่เพื่อให้การทำงานของผมมันเดินได้หรอก ผมต้องเปลี่ยนเอง ผมวางแผนเปลี่ยนงานใหม่เมื่อหมดสัญญาจ้าง และทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด
และสุดท้ายผมเลือกที่จะรักตัวเองให้มากขึ้น ผมกลับมาอยู่กับพ่อและหลานมากขึ้นใช้เวลาด้วยกันให้มากขึ้น ทำงานให้เสร็จตามตารางที่กำหนดก็พอ หาเวลาอยู่บ้านอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักให้มากขึ้น การป่วยของผมในวันนี้มันทำให้ผมกล้ามากขึ้น กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อตัวเอง กล้าที่จะพูดความรุ้สึกตัวเองมากขึ้น และไม่พยายามไปเครียดกับคนอื่นที่เขาพยายามรักษาพื้นที่ความสุขตัวเอง จนมาเบียดเบียนความสุขในชีวิตของผมก็ตาม ก็ได้แต่หวังว่าจะบริหารจัดการชีวิตนับจากนี้ไปอีกสองปีก่อนออกจากงานประจำได้อย่างไม่มีปัญหา เส้นทางสายใหม่รอผมอยู่ สองปีนี้ขอเตรียมตัวดีๆวางแผนดีๆก่อน หมดสัญญาแล้วผมก็ถือว่า เราหมดเวรกรรมต่อกัน น่าจะดีกับทุกคน และดีกับผมด้วย
ปล.ขอบคุณพี่ที่จัดเรียงคำพูดให้ใหม่นะครับ
"คุณมองเห็นข้อดีอะไรจากเหตุการณ์เลวร้ายนี้" คำถามที่หมอใช้ถามผมในวันที่ผม ไปพบจิตแพทย์ แล้วผมเพิ่งหาคำตอบได้วันนี้
จนมาปีนี้ที่ผมเองรู้สึกว่าตัวเองเจอศึกหนักมาก เรียกได้ว่าหนักสุดในห่วงชีวิตนี้เลยก็ว่าได้ ผมหลุดจากวงโคจรตัวเอง อารมณ์หลุด การกระเปลี่ยน รู้หดหู่จนรู้สึกว่าตายๆไปซะ คงไม่มีใครเสียดายหรอก ผมร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นได้ มันแปลก แปลกที่สุด
เมื่อก่อนผมแกร่งกว่านี้ ผมเจอเรื่องคอขาดบาดตายมาก็มี เจอเรื่องที่ต้นชนกับคนใหญ่คนโตมาก็มี แต่ผมก็พร้อมสู้ แต่มาปีนี้ผมอ่อนแอและอยากหนีไปจากมัน ไม่อยากสู่กับใครอีก ท้อแท้ ผมได้ไปปรึกษากับน้องที่รู้จักที่เขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เขาก็บอกว่าเขาก็เป็นเหมือนกันตอนที่เป็นเขาได้ไปพบแพทย์ ได้รับการรักษาเลยกลับมาดีขึ้น ผมเลยไปพบแพทย์บ้าง
ผมเข้าไปพบแพทย์ เราได้สนทนากันเรื่องต่างๆและอากาศเจ็บป่วยทางกายกันก่อน ผมนอนไม่หลับ ปวดต้นคอ ความจำหายไปบางส่วนเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยในชีวิต สับสนระหว่างความจริงกับความฝันในบางคราว หมอเลยสรุปได้ว่าน่าจะเป็นอาการ ภาวะซึมเศร้าระยะเริ่มต้น คุณหมอได้พูดคุยปัญหาต่างๆในชีวิตและแนวทางแก้ไขกับผม
มันน่าจำตรงที่เมื่อก่อน ผมจะเป็นคนที่ค่อยให้กำลังใจ หาทางออกช่วยคนอื่นตลอด ผมเล่าเรื่องราวที่ผมเก็บกดมานาน และเล่าจนหมด สุดท้ายคุณหมอถามผมว่า คุณมองเห็นข้อดีอะไรจากเรื่องนี้ ขอสักสามข้อ ผมตอบไปแค่สอง อันที่สามผมคิดไม่ออก ผมร้องไห้ คุณหมอบอกว่า ที่ตอบไม่ได้เพราะสภาวะจิตใจตอนนี้มันเป็นทุกข์ ถ้าใจเราเป็นสุขเราจะคิดออก อยากให้ผมเก็บคำถามนี้เอาไว้ตอบตัวเอง
ผมกินยามาได้สักเดือนนึงแล้ว ตอนนี้อาการดีขึ้นบางแต่ไม่หนักเท่าตอนนั้น ผมกลับมาตอบใจตัวเองว่าได้อะไรจากเรื่องราวที่ผมสะสมมาในใจผมนานแสนนาน
1) คิดได้ว่ามนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐานอยู่แล้วจงยอมรับและทำใจกับสิ่งนี้และไม่ยิดติดกับคำพูดคน
2)เราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงใครได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราเองได้ แต่อยู่ที่ว่าเราจะกล้าพอที่จะยอมเปลี่ยนหรือเปล่า
3) รักตัวเองให้เป็น ซื้อสัตย์ต่อความคิดตัวเองและเรียนรู้ที่จะเป็นตัวเองโดยที่คนอื่นไม่เดือนร้อน เพราะท้ายที่สุดสิ่งที่เกิดขึ้นมาในชีวิตเราเกิดจากการกระทำหรือการตัดสินใจของเราเอง
ตอนนี้ สภาพจิตใจผมดีขึ้นมากแต่ก็ยังคงมีบางช่วงที่เครียดเหมือนกันเพราะว่างานที่ทำมันแบกรับอารมณ์คนเป็นอาขีพอยู่แล้ว ผมมองเห็นคนรอบตัวผมเขาพยายามสร้างและรักษาคอมฟอร์ดโซนของตัวเองไว้ อย่างเต็มที่โดนไม่คำนึงถึงว่าผมจะต้องรับภาระจากการกระทำของพวกเขาเหรือไม่ เขาไม่ได้เห็นความจำเป็นในสิ่งที่พวกเขาทำแต่เขามองแค่ว่าเขาได้รับประโยชน์จากสิ่งที่ทำลงไปมากน้อยเพียงใด โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าผมคนที่ต้องทำหน้าที่ตรงน้ันจะทำงานหนักขนาดใหนโดยที่ผมพยายามสื่อสารให้พวกเขาเข้าใจผมเพียงใด แต่ก็เหมือนพวกเขาจะเลือกละเลยสิ่งที่ผมบอกไปหมด เพียงเพราะเขารักษาสภาวะความสุขของตัวเอง
ผมเริ่มเข้าใจและตั้งคำถามว่า เราจะอยู่อย่างไรให้เป็นทุกข์น้อยที่สุดจากผลการกระทำพวกเขา ผมได้คำตอบให้ใจตัวเองคือ เปลี่ยนทีเราเองง่ายที่สุด ซึ่งผมก็มองว่าปัจจุบันของผมตอนนี้คือยังทำงานในระบบเดิมๆที่พวกเขาไม่ได้จะคิดหรือทำการเปลี่ยนแปลงระบบอะไรใหม่เพื่อให้การทำงานของผมมันเดินได้หรอก ผมต้องเปลี่ยนเอง ผมวางแผนเปลี่ยนงานใหม่เมื่อหมดสัญญาจ้าง และทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด
และสุดท้ายผมเลือกที่จะรักตัวเองให้มากขึ้น ผมกลับมาอยู่กับพ่อและหลานมากขึ้นใช้เวลาด้วยกันให้มากขึ้น ทำงานให้เสร็จตามตารางที่กำหนดก็พอ หาเวลาอยู่บ้านอยู่กับสิ่งที่ตัวเองรักให้มากขึ้น การป่วยของผมในวันนี้มันทำให้ผมกล้ามากขึ้น กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อตัวเอง กล้าที่จะพูดความรุ้สึกตัวเองมากขึ้น และไม่พยายามไปเครียดกับคนอื่นที่เขาพยายามรักษาพื้นที่ความสุขตัวเอง จนมาเบียดเบียนความสุขในชีวิตของผมก็ตาม ก็ได้แต่หวังว่าจะบริหารจัดการชีวิตนับจากนี้ไปอีกสองปีก่อนออกจากงานประจำได้อย่างไม่มีปัญหา เส้นทางสายใหม่รอผมอยู่ สองปีนี้ขอเตรียมตัวดีๆวางแผนดีๆก่อน หมดสัญญาแล้วผมก็ถือว่า เราหมดเวรกรรมต่อกัน น่าจะดีกับทุกคน และดีกับผมด้วย
ปล.ขอบคุณพี่ที่จัดเรียงคำพูดให้ใหม่นะครับ