JJNY : นักเศรษฐศาสตร์ ห่วงอนาคตเศรษฐกิจไทยเติบโตเตี้ยฯ/ส.อ.ท.วอนครม.เศรษฐกิจทำงานจริงจัง เร่งแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้าน

กระทู้คำถาม
นักเศรษฐศาสตร์ ห่วงอนาคตเศรษฐกิจไทย เติบโตเตี้ย ดอกเบี้ยต่ำ บาทแข็ง ภาระคลังสูง
https://www.matichon.co.th/politics/news_1604732

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. นายสันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์และการเงิน อดีตผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย
ธนาคารเครดิตสวิส แสดงความเห็นเรื่อง สังคมสูงอายุกับปัญหา 2 เตี้ย 2 สูงของเศรษฐกิจไทย ระบุว่า

เผลอแป๊บเดียวก็ใกล้วันที่จะอายุเพิ่มขึ้นอีกปี..

..แล้วบังเอิญได้มาอ่านบทความ Bloomberg ล่าสุด เกี่ยวกับเรื่องประเทศไทย”แก่ก่อนรวย”พอดี เลยได้แรงบันดาลใจกลับไปรื้อรายงานที่เคยเขียนสมัยยังทำงานอยู่ภาคการเงิน 2 ปีที่แล้ว คิดว่าหลายอย่างยังใช้ได้อยู่ เลยขอมาแชร์ (ยาวหน่อยนะครับ ประเด็นนี้เขียนแล้วอิน)

สรุป
การเข้าสู่สังคมสูงอายุสร้างความท้าทายให้เศรษฐกิจไทยอย่างน้อย4ประการ มี “2 เตี้ย 2 สูง” คือ โตเตี้ย ดอกเบี้ยต่ำ บาทแข็ง ภาระคลังสูง

1. การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เตี้ยลง

ประเด็นในบทความBloomberg และงานหลายชิ้นได้พูดถึงแล้วคงขอไม่ลงลึก เศรษฐกิจถูกฉุดจากการที่แรงงานลดลงเพราะคนสูงอายุออกจากตลาดแรงงานและคนรุ่นใหม่เข้าตลาดแรงงานน้อยเพราะอัตราเกิดอยู่ที่1.5 คน ต่ำใกล้เคียงประเทศพัฒนาแล้วอย่างฟินแลนด์

แน่นอนเราได้ยินกันมานานละว่าต้องเพิ่มผลิตภาพต่อหัว (productivity) แต่ละหัวจะได้ผลิตได้มากขึ้นชดเชยที่จำนวนหัวมีน้อยลง

แต่เอาจริงๆการเพิ่มผลิตภาพในโลกปัจจุบันไม่ใช่ง่าย ข้อแรก แรงงาน 2 ใน 3 ของไทยอยู่ในภาคเศรษฐกิจที่ใช้กำลังกายมากทำให้ยิ่งคนอายุมากผลิตภาพยิ่งเสื่อมถอย เช่น งานเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ผู้ใหญ่หลายท่านถึงกับเลิกทำงานเต็มเวลาก่อนวัยเกษียณอาจเพราะสภาพร่างกายไม่อำนวย
ต่างจากบางภาคเศรษฐกิจเช่น ภาคบริการมูลค่าสูงที่ใช้ความรู้และประสบการณ์เป็นหลัก

พูดอีกอย่างคืองานบางอย่าง แก่ลงแบบ “นม” คืออายุมากขึ้นแล้วบูด แต่งานบางประเภทแก่ลงแบบ “เหล้า” ที่ยิ่งบ่มยิ่งหอม

การหยิบเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอาจทำให้งานหลายงานพึ่งกำลังกายน้อยลงทั้งยังเพิ่ม productivity ได้ เช่น การช่วยให้ SME มาใช้อีคอมเมิร์ซเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางการตลาด แต่ความยากไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีแต่เป็นเรื่องของ adoption หรือการนำมาใช้จริง โดยเฉพาะเมื่อผู้สูงอายุไม่ได้เกิดมากับดิจิทัลและไม่ได้คุ้นเคยกับเทคโนโลยี

2. เงินบาทสูง

นอกจากนี้ประเทศที่กำลัง”เข้าสู่”สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็วอย่างประเทศไทย (แต่ยังไม่เป็นสังคมสูงอายุ) ยังมีอีกอาการหนึ่งคือ อัตราการลงทุนของธุรกิจหลายภาคอุตสาหกรรมอาจต่ำลงเพราะแนวโน้มการบริโภคในอนาคตชะลอตัวลง เลยส่งผลทำให้การนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆจากต่างประเทศน้อยลง (เงินไทยไหลออกน้อยลง)

ในขณะเดียวกันรายได้เงินตราต่างประเทศยังไหลเข้าได้ดีจากภาคบริการเช่นการท่องเที่ยว (ต่างชาติแลกเงินตปทเป็นเงินบาท) จึงทำให้เงินต่างประเทศไหลเข้ามากกว่าออก (หรือที่เรียกว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลถึง 7-8% ของGDP) ผลักดันให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น

บวกกับที่คนไทยไม่เหมือนประเทศอย่างมาเลเซียหรืออินโดนีเซียที่พอตกใจกลัวอะไรคนชอบเอาเงินออกนอกประเทศ

คนไทยเราคุ้นกับการเก็บเงินในประเทศจึงมีเงินไหลออกน้อยแม้แบงค์ชาติจะค่อยๆพยายามเปิดช่องให้ลงทุนข้างนอกได้ง่ายขึ้น

ทางอดีตรัฐมนตรีของอินโดนีเซียที่เคยคุยด้วยเขาบอกว่าตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าอิจฉาของประเทศไทยที่คนมั่นใจในเงินตนเอง
ในขณะที่เขาบ่นว่าเงินเขาอ่อนง่ายไป เราก็บ่นว่าเงินเราแข็งไป!

แน่นอนว่า ในแต่ละรอบที่บาทแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วมักมีปัจจัยอื่นมา”เร่งปฏิกิริยา”ด้วย เช่น การเก็งกำไรของนักลงทุน แต่การเข้าสู่สังคมสูงอายุก็มีส่วนทำให้เรื่องค่าเงินแข็งเป็นประเด็นเรื้อรังง่ายขึ้นเช่นกัน

3. ดอกเบี้ยเตี้ยลง

แล้วเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาแล้วไม่ค่อยไหลออกมันไปอยู่ไหนกัน? คำตอบคืออยู่ในระบบการเงิน เช่น เงินฝากธนาคาร พันธบัตรรัฐบาล ทำให้สภาพคล่องล้นตลาดกดอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลไทยเตี้ยลงจนบางครั้งบางคราวต่ำกว่าสหรัฐอเมริกาหรือสิงคโปร์ที่เครดิตเรทติ้งสูงกว่าเราเสียอีก กลายเป็นว่ารัฐบาลไทยกู้ได้ถูกกว่าอเมริกาหรือสิงคโปร์!

แต่อาจเกิดคำถามว่าทำไมถ้าเงินล้นตลาดขนาดนั้นหลายคนถึงรู้สึกเศรษฐกิจฝืดเคือง?

เหตุผลสำคัญข้อหนึ่งคือความเหลื่อมล้ำ หรือปัญหารวยกระจุกจนกระจาย คนรวยมีเงินเก็บมาก คนจนมีเงินเก็บติดลบ คือเป็นหนี้ที่ใช้ไม่หมดแม้จะถึงวัยเกษียณแล้ว บริษัทใหญ่มีกำไรสูง ธุรกิจSME จำนวนมากขาดสภาพคล่อง เงินฝากประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศอยู่ในมือคน/บัญชี 0.1% ของระบบ

ในระบบจึงมีความไม่สมดุลย์อยู่สูง ด้านหนึ่งคนที่มีเงินออม กองทุนและบริษัทที่มีสภาพคล่องเหลือก็ต่างค้นหาโครงการและสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนสูงได้ในยามที่ดอกเบี้ยต่ำ จนบางครั้งทำให้เกิดการเก็งกำไรเช่นในอสังหาริมทรัพย์ จนแบงค์ชาติต้องออกมาตราการมาคุม ส่วนอีกด้านคนรายได้น้อย ธุรกิจขนาดเล็กก็ขาดเงินทุนเพื่อเติบโต สิ่งหนึ่งที่เราอยากได้จากฟินเทคจึงเป็นการทำให้ระบบการเงินเชื่อมระหว่างคนออมและคนต้องการเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพกว่านี้

4. ภาระการคลังสูง

ในเมื่อภาครัฐกู้ได้ในดอกเบี้ยถูกลงและภาคเอกชนไม่ค่อยลงทุนในประเทศเท่าเดิมในยุคเข้าสู่สังคมสูงอายุ ถ้าเช่นนั้นรัฐบาลควรเป็นฝ่ายลงทุนในประเทศให้มากขึ้นไหม? จะได้เสริมภาคเอกชน กระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ทำให้บาทอ่อนลงด้วย

แนวคิดนี้ถูกต้องส่วนหนึ่งแต่ต้องไม่ลืมว่าสังคมสูงอายุจะทำให้ภาระการคลังในอนาคตเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเช่นกัน การศึกษาของIMFได้บ่งชี้ว่าภาระค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุ เช่นสาธารณสุขและบำนาญของไทยอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าไปอยู่ที่ 15-20%ของGDP ภายในปี คศ2050 (อีกประมาณ30ปี)ใกล้เคียงกับญี่ปุ่นปัจจุบัน

ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2014 ชี้ให้เห็นว่าผู้สูงอายุในไทยยังพึ่งพาเงินสนับสนุนเลี้ยงดูจากลูกหลานเป็นหลักหลังเกษียณ (30-40%ของรายได้) รองลงมาคือทำงานเลี้ยงตนเอง (ประมาณ30%) โดยแนวโน้มชี้ให้เห็นว่าคนสูงอายุอาจต้องทำงานหารายได้เลี้ยงตัวเองมากขึ้นในอนาคต
และสัดส่วนรายได้ที่มาจากสวัสดิการค่อนข้างต่ำ

อีกประเด็นที่น่าห่วงคือ ผู้สูงอายุของไทยจำนวนมากไม่ได้อยู่ในเมืองทำให้การเข้าถึงโรงพยาบาล ความสะดวกสบายต่างๆนั้นยากกว่าในประเทศพัฒนาแล้วที่ประชากรโดยมากอยู่ในเมือง

และแม้แต่โครงสร้างพื้นฐานในเมืองเองก็ใช่ว่าจะเอื้อกับผู้สูงอายุโดยเฉพาะระบบการขนส่งสาธารณะ

ทั้งหมดนี้แปลว่าการใช้กระสุนทางการคลังเพื่อช่วยเศรษฐกิจแม้วันนี้ยังทำได้ก็ต้องระมัดระวังเผื่อรับภาระการคลังในอนาคต และจะใช้ทั้งทีต้องทำให้คุ้มค่าที่สุด เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน นอกจากจะต้องดูเรื่องมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้วอาจต้องถามด้วยว่าช่วยกระจาบความเจริญ ตอบโจทย์ความเหลื่อมล้ำและการเข้าสู่สังคมสูงอายุแค่ไหน

ปัญหา 2 เตี้ย 2 สูงชี้ให้เห็นว่าสังคมสูงอายุไม่ได้สร้างความท้าทายแต่เรื่องที่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเท่านั้นและไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยแต่น่าจะกระทบเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ครอบครัว ธุรกิจ นักลงทุน ภาครัฐ จึงอยากขอแชร์ ฝากกันช่วยคิดต่อว่าเราควรต้องทำอะไร ปรับตัวอย่างไร
ให้สังคมเราแก่ลงแบบ”เหล้า”ไม่ใช่แบบ “นม”

อ้างอิง

https://www.bloomberg.com/graphics/2019-thailand-baby-bust/?cmpid=socialflow-facebook-business&utm_campaign=socialflow-organic&utm_source=facebook&utm_medium=social&utm_content=business&fbclid=IwAR0aqNtfZ2fQ-97-6u7N3ZNFsHVKcjocs9W98ZaRBi79dbzsnyqkiewSTSU

https://www.imf.org/en/Publications/REO/APAC/Issues/2017/04/28/areo0517

http://www.dop.go.th/download/knowledge/knowledge_th_20162508144025_1.pdf


https://www.facebook.com/Drsantitarn/posts/515581665877404
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่