ถุงมือเรื่องสั้น เรื่องที่สอง มาแนวไซไฟครับ ^^
ในโลกอนาคต เมื่อดาวโลกถูกยึดครองโดยพวกเอเลี่ยนกลุ่มหนึ่ง มนุษย์ต้องตกเป็นทาสของเอเลี่ยน
แต่ก็ยังมีชาวโลกบางส่วนที่ไม่ยอมแพ้ หน่วยต่อต้านเอเลี่ยนหน่วยหนึ่ง หาทางสู้กับพวกเอเลี่ยนผู้บุกรุก เพื่ออิสรภาพ
แล้วพวกเขาก็ได้รู้ความลับของพวกมัน! จึงเตรียมวางแผนเผด็จศึก!
เรื่องราวโดยละเอียด จะเป็นอย่างไรบ้าง และจบลงอย่างไร ???
เชิญอ่านเรื่องราวในช่วงแรก หลังจากนั้น รออ่านต่อ หลังจากการเฉลยถุงมือครับ ^^

กาลครั้งหนึ่ง ณ ดาวโลก ถูกอุกกาบาตขนาดใหญ่มหึมาพุ่งชน ทำให้ผู้คนล้มตายไปเป็นจำนวนมาก
และเพียงไม่นาน การรุนรานของสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลกพลันอุบัติขึ้น
สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ เกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง
ผู้มาเยือนจากนอกโลกทำลายทุกสิ่งอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้นมา บ้านเรือน การคมนาคม โรงพยาบาล โรงเรียน เทคโนโลยีการสื่อสารทุกรูปแบบ โลกถึงคราวอวสาน
มนุษย์ที่เหลือรอดเพียงน้อยนิด ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน หลบอยู่ในถ้ำ
บางส่วนถูกจับมาเป็นทาส ของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือที่พวกมันเรียกตัวเอง
'ไทมิค่อน'
ไทมิค่อน รูปร่างสูงใหญ่ ขา แขนยาวราวลำไม้ไผ่ ดวงตากลมโตสีขาว ปากกว้างและมีฟันแหลมคม ผิวมันวาวสีเขียว ทว่ามันสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์คนที่มันสังหารได้
และถึงแม้มันจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เหมือนแทบทุกอย่าง
แต่สิ่งหนึ่งที่มันไม่สามารถเปลี่ยนได้คือ ดวงตาสีขาว ความแตกต่างนี้ทำให้สามารถแยกออกได้อย่างชัดเจนระหว่าง มนุษย์และไทมิค่อน
พวกมันสามารถยึดครองโลกได้อย่างเบ็ตเสร็จ แต่กำลังพลของมันก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก และยานหลายลำถูกทำลาย ทำให้เทคโนโลยีของพวกมัน มิอาจตอบสนองต่อการสั่งงานได้อย่างเต็มกำลัง พลังงานร่อยหรอเต็มที
พวกมันสามารถสูบเอาพลังงานจากใต้ผิวโลกได้ แต่เครื่องขุดเจาะพังไปหลายส่วน หากต้องใช้งานต้องซ่อมแซมใหม่ และใช้เวลานาน
โลกราวถูกย้อนไปยังยุคก่อนประวัติศาสตร์ อารยธรรม ถูกทำลายย่อยยับ คงเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง
และการจะสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาบนโลก จึงต้องพึ่งมนุษย์ที่ยังไม่ตาย จับพวกมันมาใช้แรงงาน หากใครคิดหนี ระเบิดที่ฝังไว้บริเวณท้ายทอยจะระเบิดตูมตามทันที
ไทมิค่อน หนีมาจาก
ดาวเคพอตของพวกมัน เพราะดาวดวงนั้นกำลังแตกดับตามอายุขัย
พวกมันจึงเลือกดาวดวงใหม่เพื่อสร้างให้เป็นบ้านของพวกมัน
โลกเป็นดาวที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ อาหาร และแหล่งพลังงาน ประชากรบนดาวโลกมีมากว่าดาวเคพอต แต่พวกมนุษย์ดูเบาะบาง และอ่อนแอในสายตาไทมิค่อน
ทว่าไทมิค่อนประเมินความสามารถของมนุษย์ต่ำเกินไป
ไทมิค่อนเหลิงคิดว่าอาวุธของตนร้ายกาจและรุนแรงมากพอที่จะถล่มดาวโลกได้อย่างง่ายดาย
พวกมันคิดผิด! กองกำลังของมนุษย์ต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย อาวุธของมนุษย์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าไทมิค่อน ระเบิดนิวเคลียร์ ปืนหลากหลายแบบที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
เล่นงานไทมิค่อนให้เพลี่ยงพล้ำไปชั่วขณะ แต่ด้วยความที่ไทมิค่อนตัวใหญ่และแข็งแกร่งกว่าพวกมนุษย์หลายเท่า ทำให้พวกมันกลับมาเป็นต่อ และเริ่มแผนการใหม่ ด้วยการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำลายขวัญและกำลังใจของมนุษย์ให้สั่นคลอไปมากทีเดียว
สงครามยืดเยื้อยาวนานถึงสามเดือน และแล้วไทมิค่อนก็เป็นฝ่ายชนะ
พวกมันฆ่ามนุษย์ทุกคนที่ลุกขึ้นต่อสู้ และจับพวกอ่อนแอมาเป็นแรงงาน กักขังมนุษย์ไว้ในกรงราวสัตว์เลี้ยง ถึงเวลาให้อาหารจะโยนเศษอาหารที่พวกมันกินเหลือเข้ามาในกรง ถึงเวลาทำงานพวกมนุษย์จะถูกเกณฑ์ออกไป สร้างกำแพงเมือง ทำงานในสวนข้าวโพด โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป และศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์ จำพวก หมู ไก่ วัว ม้า ปลา คือเสบียงของพวกไทมิค่อน
สิ่งต่างๆเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่บนโลก ทุกอย่างปกครองโดยพวกไทมิค่อนระดับหัวหน้าและพวกเศรษฐี
...
ณ อุโมงค์รถไฟใต้ดินซึ่งถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่ไทมิค่อนบุกจู่โจมโลก
ผนังอุโมงค์หลายจุดพังทลาย เศษหินเศษปูนกองพะเนินสูงขวางทางเข้าออก
ตู้รถไฟร้างสามตู้ หลุดออกมาจากรางรถไฟ เอียงตะแคงพิงผนังอุโมงค์
สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้เป็นที่หลบซ่อนของคนที่รอดชีวิต
ที่หลบซ่อนแห่งนี้ มี
ผู้กองพิพัฒ ทหารใต้บังคับบัญชาอีกสองนายและพลเรือนหกคนอันประกอบไปด้วย ชายสาม หญิงสองและเด็ดชายวัยสิบสองขวบอีกหนึ่งคน
เชนและ
อีริค ทหารหนุ่ม ผู้ที่ผู้กองส่งให้ไปสืบความเคลื่อนไหวของไทมิค่อน เดินย่องระแวดระวังสิ่งต่างๆรอบกาย หันมองซ้ายขวา ก่อนจะพากันวิ่งลงอุโมงค์รถไฟใต้ดิน และไปยังช่องทางลับที่ใช้แผ่นปูนสองแผ่นปิดทางเข้า
ทั้งสอง ช่วยกันยกแผ่นปูนออกแล้วค่อยๆลอดช่องเข้ามายังจุดที่ตู้รถไฟตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่พักของตัวเขา
"
รินดา ผู้กองและคนอื่นๆกลับมาหรือยัง"
เชนหันไปถามหญิงวัยกลางคน ซึ่งกำลงนั่งเย็บเสื้อ อยู่บนตู้รถไฟตู้แรก และเด็กชายวัยสิบสองปี นั่งอยู่ข้างๆรินดา ผู้เป็นแม่
"ยังไม่กลับมาค่ะ"
รินดาเงยหน้ามองสองทหาร แววตามีความกังวลกับคำตอบ
ผู้กองพิพัฒกับผู้ชายอีกสองคน พากันออกไปหาเสบียงตั้งแต่เช้า กระทั่งตกเย็นแล้ว ทั้งสามยังไม่กลับมา
"ชักเป็นห่วงแล้วค่ะ" เธอพูดขึ้นอีกครั้ง
"คงไม่เป็นไรมั้ง อีกหนึ่งชั่วโมง ถ้าพวกเขาไม่กลับมาผมจะออกไปตาม" อีริคบอกรินดา
"เอ้านี่ ไอ้หนู พี่เก็บมาฝาก" เชนยื่นกล่องตัวต่อหุ่นยนต์ ให้
ไมค์ เด็กชายที่นั่งอยู่ข้างแม่รีบยื่นมือมารับเอาไป แล้ววิ่งไปนั่งบนที่นอนของตัวเอง เทส่วนประกอบที่อยู่ในกล่องออกมา
เสียงผู้คนเดินเข้ามา ผู้กองพิพัฒกลับมาพร้อมอาหารแห้งสภาพยับยู่ยี่ ซึ่งอยู่ในกระเป๋าเป้ มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองซอง ปลากระป๋องหนึ่งกระป๋อง ขนมขบเคี้ยวซองเล็กๆอีกสามสี่ซอง และน้ำดื่มสามขวด
ผู้กองพิพัฒยื่นของทั้งหมดให้รินดา แล้วบอกให้เธอจัดเตรียมอาหารที่มี แบ่งให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม
"ได้ความว่าไง" ผู้กองพิพัฒหันมาถามลูกน้องทั้งสองด้วยน้ำเสียงเข้ม
"ผมแอบติดต่อกับคนรับใช้ในบ้านเศรษฐี" เชนเป็นคนรายงาน คนรับใช้ที่เขากล่าวถึงคือมนุษย์ที่ถูกจับให้ไปเป็นคนใช้ตามบ้านไทมิค่อนที่มีฐานะ
คนรับใช้ในบ้านคนรวยจะอยู่ดีหน่อย กว่าพวกมนุษย์ที่ถูกใช้แรงงานประเภทอื่นๆ แต่ทุกคนมีระเบิดฝังไว้บริเวณท้ายทอยเหมือนกัน
"เธอแอบรู้มาว่า พวกไทมิค่อนไม่สามารถหายใจบนโลกของเราได้ ที่เห็นพวกไทมิค่อนใส่กำไลข้อมือทุกตัว ก็เพราะ กำไลนั้นช่วยให้พวกมัน สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างปกติ"
เชนหยุดพูด พยายามนึกว่า มันคืออะไรกันแน่
"หมายความว่า ถ้าถอดกำไลออก พวกมันก็จะตาย" ผู้กองพิพัฒตั้งข้อสงสัย
"ใช่ครับ แต่คงไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น กำไลถูกฝังไว้ที่ข้อมือ ถ้าตัดแขนพวกมัน มันก็จะตาย แต่ถ้าพวกมันกลายร่างเป็นร่างเดิม พวกเรายิ่งไม่มีทางต่อสู้ได้เลย" เชนอธิบายเพิ่มเติม
"กำไลนั้นคงมีการควบคุมจากที่ไหนสักที่ หล่อเลี้ยงพวกมันให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างไม่เป็นอันตราย" ผู้กองพิพัฒพูดขึ้น ผู้กองหยุดคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดขึ้นใหม่ว่า
"ถ้ามีการควบคุมกำไล แสดงว่าต้องมีศูนย์กลางที่คอยปล่อยสารอะไรสักอย่าง ส่งมาที่กำไล ถ้าพวกเรารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วทำลายศูนย์กลางนี้ทิ้งเสีย พวกมันจะตายกันหมด"
"พวกมันคงป้องกันไว้แน่นหนา พวกเราไม่มีอาวุธอะไรเลยจะไปสู้กับมันนะผู้กอง กระสุนก็เหลือกันคนละไม่กี่นัด" อีริคออกความเห็น
"เช็คดูกระสุน" ผู้กองพิพัฒสั่งลูกน้องทั้งสอง
อีริค เชน หยิบปืนสั้นขึ้นมาตรวจดูลูกกระสุนในลำกล้อง
"ผมเหลือห้านัด" อีริคบอก
"ของผมสาม" เชนบอก
"ของผมก็สาม" ผู้กองพิพัฒบอกเป็นคนสุดท้าย และพูดต่อ
"พวกนายสองคนไปสืบให้ได้ว่า ศูนย์กลางที่ควบคุมกำไลอยู่ที่ไหน ส่วนฉันจะหาอุปกรณ์มาทำระเบิด เอาไประเบิดศูนย์ควบคุมทิ้งซะ ถ้าทำสำเร็จเราจะช่วยกอบกู้โลกของเรากลับคืนมา"
ผู้กองพิพัฒให้ความหวังลูกน้อง และแม้แต่ตัวเองก็เริ่มมีความหวังที่จะกำจัดพวกเอเลี่ยนให้สิ้นซาก
การต่อสู้ที่ยาวนาน ทำให้เขาสูญเสียลูกน้องไปเกือบหมด เหลือรอดมาแค่เขากับลูกน้องอีกสองคน ซึ่งพากันบาดเจ็บสาหัส จนสลบไป
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนได้อยู่ในอุโมงค์รถไฟ โดยมีพลเรือนเหล่านี้ช่วยชีวิตเอาไว้
"พวกเราจะช่วยอีกแรง" เอก หนึ่งในพลเรือนชายพูดขึ้นเสียงดัง
"ใช่ๆพวกเราก็จะช่วยด้วย"
ทิมและ
หาญ สองพลเรือนพูดพร้อมกัน
"พรุ่งนี้
เอกไปกับผม ส่วนพวกคุณสองคน ให้อยู่ที่นี่คอยดูแลผู้หญิงและเด็ก" ผู้กองพิพัฒหันไปบอกทิมและหาญ
ทุกคนแยกย้ายกันไปกินข้าว ก่อนเข้านอน โดยมีเชนเป็นยามกะแรก เฝ้าระวังภัย ส่วนกะอื่นๆ มีทิมกะสอง เอกกะสาม และอีริคกะสี่
โดยแต่ละคืน พวกเขาจะใช้วิธีจับฉลากเฝ้ากะ และในแต่ละคืนจะมีสองคนที่ไม่ต้องเฝ้า
พวกเขาทำแบบนี้มาตลอดระยะเวลาสามปีที่หลบอยู่ในอุโมงค์
พวกเขารู้ดีว่าไทมิค่อนจะออกล่าในตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวัน พวกมันจะหลบอยู่ในที่พัก เพราะสายตาของพวกมันไม่ทนต่อแสงแดด แต่ตอนกลางวันก็ยังเห็นพวกมันเดินพล่าน โดยใส่แว่นกันแดด แต่ถึงอย่างไรตอนกลางวัน พวกไทมิค่อนย่อมมีน้อยกว่าตอนกลางคืน
จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะออกไปหาอาหารหรือสืบเรื่องของพวกมัน
รุ่งเช้า ผู้กองพิพัฒกับเอกพากันออกไปหาเสบียงรวมทั้งหาอุปกรณ์มาทำระเบิด หรือถ้าโชคดี อาจเจอระเบิดจริงๆที่ไหนสักที่
ส่วนเชนกับอีริค ออกไปสืบหาศูนย์กลางของแหล่งควบคุมกำไล
ทั้งสองกลุ่มแยกกันไปคนละทาง ดวงอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรง คงช่วยกันไม่ให้พวกไทมิค่อนพล่านตามถนนหนทางได้หรอกนะ พวกเขาครุ่นคิด และกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทำหน้าที่ของตน
บ่ายคล้อย ผู้กองพิพัฒและเอกกลับมาถึงที่พักพร้อมอาหารและระเบิดมือสามลูกที่บังเอิญไปเจอในศพทหาร
เชนและอีริคตามเข้ามาติดๆทั้งสองดูตื่นเต้น และมีบาดแผลตามใบหน้าและแขน คงได้ต่อสู้กับพวกไทมิค่อนมา
"พวกนายเป็นไงบ้าง เจ็บหนักตรงไหนไหม" ผู้กองพิพัฒเห็นสภาพลูกน้อง จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"เจอพวกมันสองตัว เล่นงานเราหนักเลยครับ โชคดีที่พวกเรารู้จุดอ่อนของมัน จึงตัดข้อมือที่สวมกำไล พวกมันล้มลงสิ้นใจตายทันทีเลยครับ" อีริคบอกเล่า
"และข่าวดี ผมเจอศูนย์กลางที่ควบคุมกำไลแล้วครับ"
เชนบอกสถานที่นั้นแก่ผู้กอง และพูดต่อ
"แต่ พวกมันคุ้มกันแน่นหนาเลยครับผู้กอง มีเวรยามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราคงหาทางเข้าไปยาก"
"แต่ใช่ว่าจะเข้าไปไม่ได้จริงไหม" ผู้กองพิพัฒพูดขึ้น
/// TO BE CONTINUED ///
(ยังไม่จบ โปรดติดตามตอนต่อไป หลังจากการเฉลยถุงมือครับ)
ถุงมือ UFO
👽🌌👽 THE LEISURE GLOVES ถุงมือยามว่าง# 9 เรื่องสั้น "โลกใบใหม่" (ถุงมือ UFO) 👽🌌👽
ในโลกอนาคต เมื่อดาวโลกถูกยึดครองโดยพวกเอเลี่ยนกลุ่มหนึ่ง มนุษย์ต้องตกเป็นทาสของเอเลี่ยน
แต่ก็ยังมีชาวโลกบางส่วนที่ไม่ยอมแพ้ หน่วยต่อต้านเอเลี่ยนหน่วยหนึ่ง หาทางสู้กับพวกเอเลี่ยนผู้บุกรุก เพื่ออิสรภาพ
แล้วพวกเขาก็ได้รู้ความลับของพวกมัน! จึงเตรียมวางแผนเผด็จศึก!
เรื่องราวโดยละเอียด จะเป็นอย่างไรบ้าง และจบลงอย่างไร ???
เชิญอ่านเรื่องราวในช่วงแรก หลังจากนั้น รออ่านต่อ หลังจากการเฉลยถุงมือครับ ^^
และเพียงไม่นาน การรุนรานของสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลกพลันอุบัติขึ้น
สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ เกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่ง
ผู้มาเยือนจากนอกโลกทำลายทุกสิ่งอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้นมา บ้านเรือน การคมนาคม โรงพยาบาล โรงเรียน เทคโนโลยีการสื่อสารทุกรูปแบบ โลกถึงคราวอวสาน
มนุษย์ที่เหลือรอดเพียงน้อยนิด ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน หลบอยู่ในถ้ำ
บางส่วนถูกจับมาเป็นทาส ของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก หรือที่พวกมันเรียกตัวเอง 'ไทมิค่อน'
ไทมิค่อน รูปร่างสูงใหญ่ ขา แขนยาวราวลำไม้ไผ่ ดวงตากลมโตสีขาว ปากกว้างและมีฟันแหลมคม ผิวมันวาวสีเขียว ทว่ามันสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์คนที่มันสังหารได้
และถึงแม้มันจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เหมือนแทบทุกอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่มันไม่สามารถเปลี่ยนได้คือ ดวงตาสีขาว ความแตกต่างนี้ทำให้สามารถแยกออกได้อย่างชัดเจนระหว่าง มนุษย์และไทมิค่อน
พวกมันสามารถยึดครองโลกได้อย่างเบ็ตเสร็จ แต่กำลังพลของมันก็ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก และยานหลายลำถูกทำลาย ทำให้เทคโนโลยีของพวกมัน มิอาจตอบสนองต่อการสั่งงานได้อย่างเต็มกำลัง พลังงานร่อยหรอเต็มที
พวกมันสามารถสูบเอาพลังงานจากใต้ผิวโลกได้ แต่เครื่องขุดเจาะพังไปหลายส่วน หากต้องใช้งานต้องซ่อมแซมใหม่ และใช้เวลานาน
โลกราวถูกย้อนไปยังยุคก่อนประวัติศาสตร์ อารยธรรม ถูกทำลายย่อยยับ คงเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง
และการจะสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นมาบนโลก จึงต้องพึ่งมนุษย์ที่ยังไม่ตาย จับพวกมันมาใช้แรงงาน หากใครคิดหนี ระเบิดที่ฝังไว้บริเวณท้ายทอยจะระเบิดตูมตามทันที
ไทมิค่อน หนีมาจากดาวเคพอตของพวกมัน เพราะดาวดวงนั้นกำลังแตกดับตามอายุขัย
พวกมันจึงเลือกดาวดวงใหม่เพื่อสร้างให้เป็นบ้านของพวกมัน
โลกเป็นดาวที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ อาหาร และแหล่งพลังงาน ประชากรบนดาวโลกมีมากว่าดาวเคพอต แต่พวกมนุษย์ดูเบาะบาง และอ่อนแอในสายตาไทมิค่อน
ทว่าไทมิค่อนประเมินความสามารถของมนุษย์ต่ำเกินไป
ไทมิค่อนเหลิงคิดว่าอาวุธของตนร้ายกาจและรุนแรงมากพอที่จะถล่มดาวโลกได้อย่างง่ายดาย
พวกมันคิดผิด! กองกำลังของมนุษย์ต่อสู้อย่างไม่กลัวตาย อาวุธของมนุษย์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าไทมิค่อน ระเบิดนิวเคลียร์ ปืนหลากหลายแบบที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง
เล่นงานไทมิค่อนให้เพลี่ยงพล้ำไปชั่วขณะ แต่ด้วยความที่ไทมิค่อนตัวใหญ่และแข็งแกร่งกว่าพวกมนุษย์หลายเท่า ทำให้พวกมันกลับมาเป็นต่อ และเริ่มแผนการใหม่ ด้วยการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สร้างขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำลายขวัญและกำลังใจของมนุษย์ให้สั่นคลอไปมากทีเดียว
สงครามยืดเยื้อยาวนานถึงสามเดือน และแล้วไทมิค่อนก็เป็นฝ่ายชนะ
พวกมันฆ่ามนุษย์ทุกคนที่ลุกขึ้นต่อสู้ และจับพวกอ่อนแอมาเป็นแรงงาน กักขังมนุษย์ไว้ในกรงราวสัตว์เลี้ยง ถึงเวลาให้อาหารจะโยนเศษอาหารที่พวกมันกินเหลือเข้ามาในกรง ถึงเวลาทำงานพวกมนุษย์จะถูกเกณฑ์ออกไป สร้างกำแพงเมือง ทำงานในสวนข้าวโพด โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูป และศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์ จำพวก หมู ไก่ วัว ม้า ปลา คือเสบียงของพวกไทมิค่อน
สิ่งต่างๆเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่บนโลก ทุกอย่างปกครองโดยพวกไทมิค่อนระดับหัวหน้าและพวกเศรษฐี
...
ณ อุโมงค์รถไฟใต้ดินซึ่งถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่ไทมิค่อนบุกจู่โจมโลก
ผนังอุโมงค์หลายจุดพังทลาย เศษหินเศษปูนกองพะเนินสูงขวางทางเข้าออก
ตู้รถไฟร้างสามตู้ หลุดออกมาจากรางรถไฟ เอียงตะแคงพิงผนังอุโมงค์
สถานที่แห่งนี้จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้เป็นที่หลบซ่อนของคนที่รอดชีวิต
ที่หลบซ่อนแห่งนี้ มีผู้กองพิพัฒ ทหารใต้บังคับบัญชาอีกสองนายและพลเรือนหกคนอันประกอบไปด้วย ชายสาม หญิงสองและเด็ดชายวัยสิบสองขวบอีกหนึ่งคน
เชนและอีริค ทหารหนุ่ม ผู้ที่ผู้กองส่งให้ไปสืบความเคลื่อนไหวของไทมิค่อน เดินย่องระแวดระวังสิ่งต่างๆรอบกาย หันมองซ้ายขวา ก่อนจะพากันวิ่งลงอุโมงค์รถไฟใต้ดิน และไปยังช่องทางลับที่ใช้แผ่นปูนสองแผ่นปิดทางเข้า
ทั้งสอง ช่วยกันยกแผ่นปูนออกแล้วค่อยๆลอดช่องเข้ามายังจุดที่ตู้รถไฟตั้งอยู่ ซึ่งเป็นที่พักของตัวเขา
"รินดา ผู้กองและคนอื่นๆกลับมาหรือยัง"
เชนหันไปถามหญิงวัยกลางคน ซึ่งกำลงนั่งเย็บเสื้อ อยู่บนตู้รถไฟตู้แรก และเด็กชายวัยสิบสองปี นั่งอยู่ข้างๆรินดา ผู้เป็นแม่
"ยังไม่กลับมาค่ะ"
รินดาเงยหน้ามองสองทหาร แววตามีความกังวลกับคำตอบ
ผู้กองพิพัฒกับผู้ชายอีกสองคน พากันออกไปหาเสบียงตั้งแต่เช้า กระทั่งตกเย็นแล้ว ทั้งสามยังไม่กลับมา
"ชักเป็นห่วงแล้วค่ะ" เธอพูดขึ้นอีกครั้ง
"คงไม่เป็นไรมั้ง อีกหนึ่งชั่วโมง ถ้าพวกเขาไม่กลับมาผมจะออกไปตาม" อีริคบอกรินดา
"เอ้านี่ ไอ้หนู พี่เก็บมาฝาก" เชนยื่นกล่องตัวต่อหุ่นยนต์ ให้ไมค์ เด็กชายที่นั่งอยู่ข้างแม่รีบยื่นมือมารับเอาไป แล้ววิ่งไปนั่งบนที่นอนของตัวเอง เทส่วนประกอบที่อยู่ในกล่องออกมา
เสียงผู้คนเดินเข้ามา ผู้กองพิพัฒกลับมาพร้อมอาหารแห้งสภาพยับยู่ยี่ ซึ่งอยู่ในกระเป๋าเป้ มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสองซอง ปลากระป๋องหนึ่งกระป๋อง ขนมขบเคี้ยวซองเล็กๆอีกสามสี่ซอง และน้ำดื่มสามขวด
ผู้กองพิพัฒยื่นของทั้งหมดให้รินดา แล้วบอกให้เธอจัดเตรียมอาหารที่มี แบ่งให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม
"ได้ความว่าไง" ผู้กองพิพัฒหันมาถามลูกน้องทั้งสองด้วยน้ำเสียงเข้ม
"ผมแอบติดต่อกับคนรับใช้ในบ้านเศรษฐี" เชนเป็นคนรายงาน คนรับใช้ที่เขากล่าวถึงคือมนุษย์ที่ถูกจับให้ไปเป็นคนใช้ตามบ้านไทมิค่อนที่มีฐานะ
คนรับใช้ในบ้านคนรวยจะอยู่ดีหน่อย กว่าพวกมนุษย์ที่ถูกใช้แรงงานประเภทอื่นๆ แต่ทุกคนมีระเบิดฝังไว้บริเวณท้ายทอยเหมือนกัน
"เธอแอบรู้มาว่า พวกไทมิค่อนไม่สามารถหายใจบนโลกของเราได้ ที่เห็นพวกไทมิค่อนใส่กำไลข้อมือทุกตัว ก็เพราะ กำไลนั้นช่วยให้พวกมัน สามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างปกติ"
เชนหยุดพูด พยายามนึกว่า มันคืออะไรกันแน่
"หมายความว่า ถ้าถอดกำไลออก พวกมันก็จะตาย" ผู้กองพิพัฒตั้งข้อสงสัย
"ใช่ครับ แต่คงไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น กำไลถูกฝังไว้ที่ข้อมือ ถ้าตัดแขนพวกมัน มันก็จะตาย แต่ถ้าพวกมันกลายร่างเป็นร่างเดิม พวกเรายิ่งไม่มีทางต่อสู้ได้เลย" เชนอธิบายเพิ่มเติม
"กำไลนั้นคงมีการควบคุมจากที่ไหนสักที่ หล่อเลี้ยงพวกมันให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างไม่เป็นอันตราย" ผู้กองพิพัฒพูดขึ้น ผู้กองหยุดคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดขึ้นใหม่ว่า
"ถ้ามีการควบคุมกำไล แสดงว่าต้องมีศูนย์กลางที่คอยปล่อยสารอะไรสักอย่าง ส่งมาที่กำไล ถ้าพวกเรารู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แล้วทำลายศูนย์กลางนี้ทิ้งเสีย พวกมันจะตายกันหมด"
"พวกมันคงป้องกันไว้แน่นหนา พวกเราไม่มีอาวุธอะไรเลยจะไปสู้กับมันนะผู้กอง กระสุนก็เหลือกันคนละไม่กี่นัด" อีริคออกความเห็น
"เช็คดูกระสุน" ผู้กองพิพัฒสั่งลูกน้องทั้งสอง
อีริค เชน หยิบปืนสั้นขึ้นมาตรวจดูลูกกระสุนในลำกล้อง
"ผมเหลือห้านัด" อีริคบอก
"ของผมสาม" เชนบอก
"ของผมก็สาม" ผู้กองพิพัฒบอกเป็นคนสุดท้าย และพูดต่อ
"พวกนายสองคนไปสืบให้ได้ว่า ศูนย์กลางที่ควบคุมกำไลอยู่ที่ไหน ส่วนฉันจะหาอุปกรณ์มาทำระเบิด เอาไประเบิดศูนย์ควบคุมทิ้งซะ ถ้าทำสำเร็จเราจะช่วยกอบกู้โลกของเรากลับคืนมา"
ผู้กองพิพัฒให้ความหวังลูกน้อง และแม้แต่ตัวเองก็เริ่มมีความหวังที่จะกำจัดพวกเอเลี่ยนให้สิ้นซาก
การต่อสู้ที่ยาวนาน ทำให้เขาสูญเสียลูกน้องไปเกือบหมด เหลือรอดมาแค่เขากับลูกน้องอีกสองคน ซึ่งพากันบาดเจ็บสาหัส จนสลบไป
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนได้อยู่ในอุโมงค์รถไฟ โดยมีพลเรือนเหล่านี้ช่วยชีวิตเอาไว้
"พวกเราจะช่วยอีกแรง" เอก หนึ่งในพลเรือนชายพูดขึ้นเสียงดัง
"ใช่ๆพวกเราก็จะช่วยด้วย" ทิมและหาญ สองพลเรือนพูดพร้อมกัน
"พรุ่งนี้เอกไปกับผม ส่วนพวกคุณสองคน ให้อยู่ที่นี่คอยดูแลผู้หญิงและเด็ก" ผู้กองพิพัฒหันไปบอกทิมและหาญ
ทุกคนแยกย้ายกันไปกินข้าว ก่อนเข้านอน โดยมีเชนเป็นยามกะแรก เฝ้าระวังภัย ส่วนกะอื่นๆ มีทิมกะสอง เอกกะสาม และอีริคกะสี่
โดยแต่ละคืน พวกเขาจะใช้วิธีจับฉลากเฝ้ากะ และในแต่ละคืนจะมีสองคนที่ไม่ต้องเฝ้า
พวกเขาทำแบบนี้มาตลอดระยะเวลาสามปีที่หลบอยู่ในอุโมงค์
พวกเขารู้ดีว่าไทมิค่อนจะออกล่าในตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวัน พวกมันจะหลบอยู่ในที่พัก เพราะสายตาของพวกมันไม่ทนต่อแสงแดด แต่ตอนกลางวันก็ยังเห็นพวกมันเดินพล่าน โดยใส่แว่นกันแดด แต่ถึงอย่างไรตอนกลางวัน พวกไทมิค่อนย่อมมีน้อยกว่าตอนกลางคืน
จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะออกไปหาอาหารหรือสืบเรื่องของพวกมัน
รุ่งเช้า ผู้กองพิพัฒกับเอกพากันออกไปหาเสบียงรวมทั้งหาอุปกรณ์มาทำระเบิด หรือถ้าโชคดี อาจเจอระเบิดจริงๆที่ไหนสักที่
ส่วนเชนกับอีริค ออกไปสืบหาศูนย์กลางของแหล่งควบคุมกำไล
ทั้งสองกลุ่มแยกกันไปคนละทาง ดวงอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรง คงช่วยกันไม่ให้พวกไทมิค่อนพล่านตามถนนหนทางได้หรอกนะ พวกเขาครุ่นคิด และกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทำหน้าที่ของตน
บ่ายคล้อย ผู้กองพิพัฒและเอกกลับมาถึงที่พักพร้อมอาหารและระเบิดมือสามลูกที่บังเอิญไปเจอในศพทหาร
เชนและอีริคตามเข้ามาติดๆทั้งสองดูตื่นเต้น และมีบาดแผลตามใบหน้าและแขน คงได้ต่อสู้กับพวกไทมิค่อนมา
"พวกนายเป็นไงบ้าง เจ็บหนักตรงไหนไหม" ผู้กองพิพัฒเห็นสภาพลูกน้อง จึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
"เจอพวกมันสองตัว เล่นงานเราหนักเลยครับ โชคดีที่พวกเรารู้จุดอ่อนของมัน จึงตัดข้อมือที่สวมกำไล พวกมันล้มลงสิ้นใจตายทันทีเลยครับ" อีริคบอกเล่า
"และข่าวดี ผมเจอศูนย์กลางที่ควบคุมกำไลแล้วครับ"
เชนบอกสถานที่นั้นแก่ผู้กอง และพูดต่อ
"แต่ พวกมันคุ้มกันแน่นหนาเลยครับผู้กอง มีเวรยามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราคงหาทางเข้าไปยาก"
"แต่ใช่ว่าจะเข้าไปไม่ได้จริงไหม" ผู้กองพิพัฒพูดขึ้น
(ยังไม่จบ โปรดติดตามตอนต่อไป หลังจากการเฉลยถุงมือครับ)
ถุงมือ UFO