[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้วางพล็อตไว้ว่าอยากให้เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องยาว เขียนเพราะมีอารมณ์เขียน อยู่ดี ๆ ก็เขียนขึ้นมาเสียเฉย ๆ ตั้งใจว่าอยากให้เป็นข้อคิดกับคนชอบดูดวง (เพราะผมก็ชอบดูดวงเหมือนกัน)
ยังไงลองติชมกันนะครับ พบคำผิดคอมเมนต์ได้เลยนะครับ
ขอบคุณครับ
________________
ต่ายน้อย
โหราสาป
...เรื่องบางเรื่อง ไม่ต้องรีบรู้...
“มีน เลิกงานเย็นนี้เราไปเดินตลาดนัดข้างออฟฟิศกัน”
เสียงเรียกชักชวนของ กันต์ ชายหนุ่มคนสนิทดังขึ้นเรียกสติสาวน้อยร่างบางที่กำลังก้มหน้ากุมขมับให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ หญิงสาวมักเหม่อลอยเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง สาวเจ้าทำหน้าที่เป็นพนักงานบัญชีในบริษัทเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแถบชานเมือง ทว่าด้วยภาระงานที่หนักอึ้งจากบรรดาเอกสารมากมายที่กองสูงเป็นพะเนินอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอที่ต้องรีบจัดการให้เสร็จเรียบร้อยภายในสัปดาห์หน้า ก็นับว่าหนักหนาเอาการทีเดียวสำหรับบัณฑิตจบใหม่อย่างหล่อนที่เพิ่งเข้าทำงานได้เพียงสามเดือนเศษ มีนต้องรับหน้าที่นี้ต่อจาก พี่สุดา อดีตพนักงานบัญชีที่อยู่ดี ๆ ก็ยื่นจดหมายลาออกอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ขณะที่บริษัทกำลังประกาศหาพนักงานบัญชีคนใหม่อยู่นั้น ภาระหน้าที่ทั้งหมดจึงตกอยู่ที่เธออย่างเสียไม่ได้
“แต่งาน...”
หญิงสาวตอบเสียงอิดโรย หากแต่ชายหนุ่มชิงตัดบทขึ้นเสียก่อน
“ไม่มีแต่แล้ว มีนหายใจเข้าก็เป็นงาน หายใจออกก็เป็นงาน พักผ่อนบ้างเถอะ นะ ๆ ถือว่าเราขอร้องก็ได้เอ้า!”
กันต์ว่าพลางทำตาปริบ ๆ เชิงออดอ้อน หญิงสาวจึงทำได้เพียงพยักหน้าหงึกหงักด้วยความจนใจ ไปก็ไป อย่างน้อยก็ได้ออกไปเดินยืดเส้นยืดเสียสายบ้าง ชายหนุ่มเห็นอย่างนั้นจึงตะโกนโห่ร้องอย่างลิงโลดด้วยความดีใจ ส่วนขณะที่หญิงสาวเก็บง่วนอยู่กับการของใส่กระเป๋าสะพายใบเล็กสีฟ้าใบโปรด
ในที่สุดก็วันนี้ก็มาถึง ชายหนุ่มคิด เขามักชวนหาโอกาสชวนเธอไปโน่นมานี่อยู่เสมอ แต่หญิงสาวก็ปฏิเสธทุกครั้งไป ชวนทีไรไม่พ้นต้องเอาเรื่องงานมาอ้างทุกที กันต์เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอ ทั้งคู่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าต่างคนต่างมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินไปกว่านั้น หากแต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรเกินเลย ด้วยกลัวที่จะสูญเสียมิตรภาพระหว่างกันไป ซ้ำร้ายจะมองหน้ากันไม่ติดเอาเสียเปล่า ๆ
ตลาดอยู่ไม่ห่างจากสำนักงานของทั้งคู่เท่าไหร่นัก เมื่อครั้งเข้าทำงานที่บริษัทนี้ใหม่ ๆ ทั้งคู่มักจะชวนกันมาเดินเล่นหาของกินก่อนกลับบ้านด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง นอกจากอาหารแล้ว ตลาดแห่งนี้ยังมีทั้งสิ่งของทำมือ และของใช้จุกจิกอื่น ๆ วางขายให้ได้เลือกซื้อหาอยู่อีกมาก ตลาดแห่งนี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่พนักงานออฟฟิศและนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียง
ทั้งสองเสียเวลาอยู่ครู่ใหญ่ไปกับการเข้าคิวต่อแถวซื้อขนมจีบเจ้าดัง ชายหนุ่มรู้ดีว่าสาวเจ้าชื่นชอบขนมจีบร้านนี้เสียยิ่งกว่าอะไรดี ให้เอาอาหารวิเศษอะไรมาแลกก็ไม่ยอม เขาจึงยืนต่อแถวด้วยความใจเย็น กลับกัน มีนกลับยกแขนขึ้นมองนาฬิกาแทบทุกสามนาทีด้วยสีหน้าอิดโรย
“มีนไหวมั้ย ออกไปเดินเล่นรอก่อนก็ได้นะ จะไปนั่งใต้ต้นไม้ตรงโน้นก็ได้ เดี๋ยวเราต่อคิวซื้อเอง”
กันต์เอ่ยปากบอกหญิงสาวที่สีตอนนี้หน้าแสดงอาการเหนื่อยล้าเต็มที ได้ยินดังนั้นหญิงสาวจึงผละออกจากแถวด้วยสติไม่สมประดีนัก เดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ จนพ้นจากโซนขายอาหารที่ผู้คนต่างเบียดเสียดเข้าสู่โซนขายของทำมือและของจุกจิกที่คนน้อยกว่า
เฮ้อ... หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ สูดอากาศที่เจือด้วยมลพิษเข้าไปเต็มปอด พลันสายตาเหลือบไปเห็นแผงขายหนังสือร้านหนึ่งซึ่งมีเพียงผ้าปูแบกับดิน หนังสือแต่ละเล่มล้วนแล้วแต่สภาพเก่าแก่ไม่ต่างจากคนขาย หญิงสูงวัยผมสีดอกเลากำลังจัดเรียงหนังสือแถวแล้วแถวเล่าอย่างเป็นระเบียบ มีนไม่รอช้า รี่เข้าไปยังแผงหนังสือดังกล่าวในทันที เจ้าหล่อนชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ เห็นร้านหนังสือไปไม่ได้ เป็นต้องได้ติดไม้ติดมือมาตลอด
“เพิ่งมาเปิดใหม่เหรอคะคุณยาย”
หญิงสาวเป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนา หากแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากฝ่ายตรงข้าม หญิงสูงวัยยังคงตั้งหน้าตั้งตาจัดเรียงหนังสือต่อไป มีนจึงทำทีกวาดสายตาหาหนังสือที่ตนสนใจ หนังสือแทบทุกเล่มดูเก่าเสียจนกระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลืองกรอบ ส่วนนี้ไม่ใช่หนังสือประเภทที่เธอชอบอ่าน มีนถอดใจกำลังจะก้าวขาออกจากหน้าร้าน สายตาเจ้ากรรมดันไปสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งที่หญิงสูงอายุเพิ่งวางลงบนผ้า
...โหราศาสตร์ไทย...
หนังสือปกสีดำมอซอเปื้อนฝุ่น สภาพเก่าเสียจนแทบจะขาดหลุดลุ่ย ตัวหนังสือสีทองซีดจางไปตามกาลเวลายังพอบอกให้รู้ได้ว่านี่คือหนังสือพยากรณ์ชีวิต มีนเป็นคนชื่นชอบในศาสตร์ลี้ลับเหล่านี้มาแต่เดิม เธอมักจะหาเวลาว่างไปตรวจสอบดวงชะตากับหมอดูหรือนักพยากรณ์ชื่อดังอยู่เสมอ ๆ หญิงสาวไม่รอช้า เอื้อมมือไปหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่านทันที ทันทีที่นิ้วเรียวยาวของหล่อนสัมผัสเข้ากับปกหนังสือ ภาพทุกอย่างในสติรับรู้ของเธอพลันหายวับอย่างกับละครตัดฉาก ทั้งหญิงสูงวัย ผู้คนในตลาด รวมไปถึง ...กันต์
...
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติ ภาพเบื้องหน้าที่หล่อนเห็นอยู่ตอนนี้มีเพียงเตียงเหล็กเก่า ๆ คลุมด้วยผ้าสีเขียว หญิงสาวรู้ทันทีว่าเธอกำลังยืนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล หากแต่คนตรงหน้าที่เธอเห็นทำเอาสาวเจ้าตกใจแทบสิ้นสติ หญิงสาวเห็นภาพตัวเองหรือจะพูดให้ถูกคือ‘เธอ’ อีกคนหนึ่งในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาว ก้มหน้าแนบผ้าปูที่นอนสีเขียว น้ำตาไหลอาบแก้มเสียจนผ้าปูที่นอนเปียกชุ่ม เธอกำลังร้องไห้ให้กับร่างไร้สติบนเตียงผู้ป่วย ร่างทั้งร่างถูกพันไว้ด้วยเฝือกสีขาวทั้งแขนและขา มีเพียงเครื่องตรวจวัดชีพจรข้างเตียงเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อ่อนแรงนัก...
มีนก้มลงมองชื่อผู้ป่วยที่ติดอยู่ตรงหน้า หัวใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง
‘นายกันตธัช สุขสม’
ร่างไร้สติบนเตียงที่เธอเห็นอยู่นี้คือกันต์ เพื่อนชายคนสนิท วันที่ในกระดาษบอกให้รู้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในอีกสามเดือนข้างหน้า เธอเห็นอนาคต!ใจคิดไปต่าง ๆ นานา ว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมกันต์ถึงได้ลงเอยในสภาพนี้ พลางคิดไปน้ำตาก็ค่อย ๆ ไหลไม่ต่างจากตัวเธอในอนาคต หญิงสาวตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
...
“มีน”
เสียงชายหนุ่มปลุกหญิงสาวให้ตื่นจากภวังค์อีกครั้ง มีนเหลียวซ้ายแลขวา เธอยังคงยืนอยู่หน้าแผงหนังสือในตลาด หญิงสูงวัยเจ้าของร้านหนังสือ ผู้คนเดินที่กันขวักไขว่ รวมทั้ง...กันต์ เพื่อนชายคนสนิทที่บัดนี้ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวด สะบัดมือขึ้นลงอยู่บริเวณสายตาเธอ เพื่อตรวจสอบว่าเพื่อนของตนยังมีสติ หญิงสาวโผกอดชายหนุ่มแน่นพลางร้องไห้โฮโดยไม่ใส่ใจสายตาใครในตลาด กันต์ยังอยู่กับเธอตรงนี้ ในตลาด เขายังไม่เป็นอะไร
“มีนชอบเล่มนี้เหรอ เห็นยืนมองอยู่นานสองนาน ตาไม่กระพริบเชียว” ชายหนุ่มแซว
“อื้อ” มีนตอบปัด เบือนหน้าไปหาหญิงสูงวัยผมสีดอกเลา “หนูเอาเล่มนี้ค่ะป้า”
“หนูชอบเล่มนี้เหรอ หน้าตาหนูดูไม่ใช่คนฝักใฝ่เรื่องอย่างนี้นะ ป้าเอามาวางอยู่หลายวันไม่ยักมีคนสนใจ หนังสือสภาพนี้ป้าคิดห้าสิบบาทก็แล้วกัน”
หญิงสาวควักเงินในกระเป๋าสงให้คนขายหนังสือพลางยัดหนังสือในมือเก็บเข้ากระเป๋า ใจยังหวนนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อสักครู่ ภาพเหล่านั้นมันอะไรกัน หล่อนเห็นอนาคต หรือแค่เมาแดดจนจินตนาการอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นบนรถประจำทาง หญิงสาวผล็อยหลับซบไหล่ชายหนุ่มด้วยความเหนื่อยอ่อน นอกจากทั้งสองจะเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแล้ว กันต์และมีนยังอาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกันอีก เพียงแต่คนละซอย หนำซ้ำยังทำงานอยู่ที่เดียวกัน ส่งผลให้ทั้งคู่จึงตัวติดกันราวกับปาท่องโก๋ก็ไม่ปาน จะแยกจากกันก็เพียงเวลานอนเท่านั้น
ลงจากรถเมล์ ทั้งสองแยกกันตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน บ้านชายหนุ่มอยู่ในซอย11 ส่วนมีนนั้นอยู่ในซอย 13 ถัดไปไม่ไกลนัก นาฬิกาข้อมือบอกเวลา 19:00 น. หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงเร่งฝีเท้ารีบเดินเข้าซอย13 ซึ่งมีบ้านจัดสรรตั้งอยู่เรียงราย บ้านของเธอตั้งอยู่หลังในสุด บัดนี้มีเพียงแสงจากหลอดไฟข้างถนนและเงาไม้ดำทะมึนพลิ้วไหวอยู่รอบกาย อากาศเย็นยะเยือกจนหญิงสาวต้องกระชับเสื้อคลุมที่สวมอยู่ให้แน่นขึ้นพลางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ทันทีที่เธอย่ำเท้าผ่านบ้านหลังแรกในซอย เจ้าแต้ม สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ ที่เพื่อนบ้านเลี้ยงไว้ก็หอนเสียงเย็นเป็นการต้อนรับเธอ ...หรือใครที่มากับเธอ ปกติเจ้าแต้มจะเป็นสุนัขที่เป็นมิตร เธอมักจะมีขนมติดไม้ติดมือมาฝากมันเสมอ เสียงโหยหวนของเจ้าแต้มปลุกให้สุนัขตัวอื่นในหมู่บ้านส่งเสียงร้องรับกันเป็นทอด ๆ ฟังดูเป็นทำนองเยือกเย็นขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก
หญิงสาวไม่รอช้า เปลี่ยนจากย่ำเท้าเป็นออกวิ่งทันที อีกเพียงแปดหลังเท่านั้นก็จะถึงบ้านเธอแล้ว มีนเป็นคนกลัวผีและสิ่งลี้ลับมาแต่ไหนแต่ไร แต่กระนั้นเธอก็ยังชอบฟังประสบการณ์ขนหัวลุกในรายการวิทยุ จนวันนี้ ประสบการณ์ขนหัวลุกในรายการวิทยุย้อนมาเล่นงานเธอเข้าแล้ว
ถึงหน้าประตูบ้าน เจ้าหล่อนไขกุญแจผิด ๆ ถูก ๆ นั่งหอบแฮก ๆ อยู่บนโซฟา บัดนี้ความเหนื่อยล้าชนะความหวาดกลัว หญิงสาวคล้อยหลับด้วยความอ่อนเพลียทั้งที่ยังเปิดไฟค้างไว้อย่างนั้น แม่ของเธอไปทำธุระที่ต่างจังหวัด มีนจึงต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง แม่มักทิ้งเธอไว้คนเดียวอย่างนี้ตั้งแต่เธอยังเล็ก ๆ หญิงสาวจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวการที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวเท่าไหร่นัก
โหราสาป - ตอนที่ ๑