เจ้าแม่จระเข้(บทแยกของเรศ)

ครั้งแรก

ความสนิทสนมของผมกับเรศมีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นเรื่องยาวมากถ้าจะเล่า ขอย่อแค่สั้นๆว่าผมจบมาจากโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งที่หน้าโรงเรียนมีคูน้ำเหือดแห้งอยู่ข้างหน้า โรงเรียนของผมเอกเรื่องดุริยางค์มาก งานบุญ งานบวช ต่างๆ มักจะมีชาวบ้านมาจ้างไปเล่นเสมอ เพราะคณะที่ไปเล่นถึงจะยังเป็นนักเรียนแต่ก็ฝีมือดีไม่แพ้ผู้ใหญ่ แถมราคาว่าจ้างก็ไม่สูง

ยกตัวอย่าง ในวง ไอ้นนท์ตัวดำถึกอ้วนใหญ่ก็จริงแต่เวลามันตีฆ้องวง มันหงายท้องตีฆ้องกลับหลังราวกับ Belly dancing จนครูที่คุมวงห้ามแทบไม่ทัน

หรือไอ้ธีย์ที่เตรียมเพลงคาราบาวไปเล่นตามสมัยนิยม แต่เพลงที่โดนขอมากลับเป็น “ไวยพจน์ลาบวช” อะไรทำนองนี้ ซึ่งมันก็เล่นได้หน้าตาเฉยแถมเล่นดีอีกต่างหาก

ส่วนผมตำแหน่งระนาดเอกเป็นหลัก สลับไปเครื่องเป่าบ้างบางทีถ้าคนขาด อยากรู้ไหมครับว่าครูผมและเป็นคนคุมวงในตอนนั้นทั้งหมดด้วยคือใคร?

คุณเคยดูหนังไทยที่สุดแสนจะดีงามเรื่องหนึ่งไหม ชื่อว่า”โหมโรง” ครูผมปรากฎตัวเล่นดนตรีอยู่ในหนังเรื่องนั้นแหละแต่ว่าเป็นสิบๆปีหลังจากที่ผมเคยเรียนกับแก เราเคยดูซีรี่ย์หนังจีน “คู่แค้นสายโลหิต”ที่มีหวงเย่อหัวกับเวินเจ้าหลุนเชือดเฉือนบทบาทกันจนดังสนั่นในตอนนั้น พร้อมกับกินเหล้าไปด้วยจนเมาหลับคาจอทีวี

เอาเป็นว่าเรียกชื่อผมสั้นๆว่าคง หลังจากจบมัธยมปลาย ผมไปสอบเข้าเรียนที่วิทยาลัยช่างที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัด ในตอนนั้นวิถีแห่งดนตรีของผมขึ้นถึงระดับแรงกล้ามากแต่ก็ต้องทิ้งไว้เบื้องหลัง ยังหวั่นๆว่าวิชาทั่วไป อาทิเช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อังกฤษ ผมจะไปรอดไหมหนอ

ครูที่จะเข้าสอนในวิชานั้นยังไม่มา นักเรียนทุกคนก็เลือกที่นั่งกันเอา มีเสียงสนทนาพูดคุยอย่างรู้จักกันมาก่อนเซ็งแซ่ไปหมด

ผมได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ มีคนเมียงมองมาทางผมก็จริงแต่ยังไม่มีใครเข้ามาคุยกับผม เมื่อความเหงาใจเกิดขึ้น ผมก็เริ่มฟุ้งซ่านคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเอง  พ่อแม่ผมแยกทางกันและแม่ผมก็สานต่อเลี้ยงดูผมมาตลอดโดยที่พ่อของผมไม่ไยดีคิดจะติดต่อ

ถึงแม่ผมจะเป็นนักร้องตามผับตามบาร์ที่ต่างๆ ท่านก็มีรายได้มากเพียงพอที่จะส่งเสียให้ผมได้เล่าเรียนโดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเรียกร้องอะไรจากฝ่ายสามีที่หย่าขาดไม่รักกันอีกแล้ว

“ขอนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ” เสียงนุ่มสุภาพของใครบางคนทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อยในขณะนั้นเหลียวหน้าไปมอง

พอดีหันไปเห็นลำตัวพบว่าไอ้หมอนี้ร่างสูงโปร่งทีเดียว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าอ่อนโยน ดวงตาใสซื่อกระจ่างบ่งบอกถึงความเป็นมิตร

ผมเชิญให้เขานั่งและหลังจากการแนะนำตัวกันแล้ว เราก็พบว่าการสนทนาของเราไหลลื่นเพราะทัศนคติที่ตรงกันหลายอย่าง ที่แน่ๆคือเราชอบเล่นดนตรีเหมือนกัน ตกลงคาบนั้นครูผู้สอนไม่ปรากฎตัวเสียอย่างนั้นแหละ เหมือนกับเปิดโอกาสให้ผมได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ที่กลายมาเป็นเพื่อนรักกันยันทุกวันนี้

ผมเกิดและโตที่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ แต่ว่าอยู่ในตัวเมืองเป็นหลัก ส่วนเจ้าเรศนี่เป็นเด็กบ้านสวน ตอนนั้นผิวมันออกจะคล้ำๆสักหน่อยเพราะว่าโดนแดด แต่ไม่อาจกลบแววหล่อของมันได้ ในวิทยาลัยตอนนั้นเวลาคณะช่างไฟของเราเตะบอลแล้วลูกหลุดเข้าไปในเขตอาณาบริเวณคณะพาณิชย์ ส่วนมากจะไม่ได้คืนเพราะสาวๆคณะพาณิชย์หมั่นไส้ที่พวกเราเล่นกันตึงตังโวยวาย รวมถึงอาจารย์สตรีประจำคณะให้ท้ายด้วยเพราะว่าท่านรำคาญคณะนักเรียนชายที่ชอบส่งเสียงดังเวลาเล่นบอล

ลูกบอลจะถูกยึดไว้ไม่ได้คืน เป็นอันว่าไม่ได้เล่นต่อจนกว่าจะมีลูกบอลใหม่มาแทน

เพียงแต่ในวันนั้นมันมีการพนันขันต่อกันอย่างลับๆด้วย เดิมพันคือเลี้ยงผัดไทยสุดอร่อยที่ร้านในเขตหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ รวมถึงเบียร์กันอีกไม่น้อยกว่า4-5 ขวด

ดังนั้นเกมในวันนั้นต้องดำเนินต่อไม่อาจยุติในกลางคันได้เป็นอันขาด แต่ปัญหาคือจะเล่นกันต่อไปได้อย่างไรถ้าไม่มีลูกบอล

มีคนเสนอให้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปเอาลูกบอลที่บ้านคนใดคนหนึ่ง แต่ข้อเสนอนี้มีอันพับฐานไปเพราะไม่มีใครบ้านอยู่ใกล้วิทยาลัยสักคน กว่าจะไปกว่าจะกลับหมดเวลาพักเที่ยงพอดี ที่จริงอาจจะหมดเวลาเรียนภาคบ่ายในวันนั้นเลยด้วยซ้ำเพราะบ้านเพื่อนแต่ละคนอยู่ไกลกันมาก ไกลถึงขนาดบ้านโป่ง ศาลายาก็มี ไอ้ครั้นจะไปขอยืมลูกบอลอาจารย์พละก็ไม่กล้าเพราะยืมมาสามลูกแล้วหายหมดไม่มีหน้าไปขอยืมอีก อาจารย์พละท่านก็หวานอมขมกลืนเพราะลูกศิษย์ลูกหาทั้งนั้น พอจบภาคเรียนถ้าอุปกรณ์กีฬาขาดไปก็ต้องหามาคืน ถ้าเรี่ยไรกันไม่ครบจำนวน ท่านก็ต้องจัดสรรมาเอง

มีคนหนึ่งในกลุ่มพูดว่า 

“ทำไมเราไม่ไปขอบอลคืนจากสาวคณะพาณิชย์ดีๆ ส่งตัวแทนไปคนนึงพูดเพราะๆ ขอโทษสักหน่อยพวกเธออาจจะใจอ่อนก็ได้”

เจ้าโรจน์หัวโจกส่ายหน้า(จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงใช้ภาษาที่ไม่โดนเซ็นเซอร์นะครับ จริงๆไม่มีใครพูดเพราะๆอย่างนี้หรอก แต่ใจความก็ประมาณนี้แหละ  )

“แล้วจะส่งใครไปดีล่ะ พวกคุณแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่งามหน้ากันทั้งนั้น ไปแสดงกริยาเจ้าชู้ ทะลึ่งตึงตัง แซวดะ จีบดะไม่เลือก ขนาดอาจารย์ผู้หญิงฝึกสอนพวกคุณยังตามไปจีบจนแฟนเค้าที่มารับมาส่งเกือบจะชกหน้าเอาให้ ตอนนี้สาวๆเค้าเหม็นหน้าคณะช่างไฟฟ้าเรากันหมด ครั้งที่แล้วขนาดไปซ่อมแอร์ในห้องคอมพวกคุณยังเอาเวลาไปแอบดูสาวๆซ้อมเต้นลีลาศจนโดนอาจารย์เพียงพิศคนที่สอนไล่ตะเพิดราวกับหมูกับหมาออกจากตึกบอกว่าต่อจากนี้ถ้าไม่มีใบรับรองจาก ผอ ไม่ให้คณะนี้เหยียบเข้าตึกเป็นอันขาด” พูดแล้วหยุดพลางยกมือห้าม “เออไม่ต้องแย้ง ไม่ได้ลืม กำลังจะพูดอยู่พอดีว่าทั้งหมดนั้นก็รวมถึงตัวผมด้วยที่ทำ”

“เฮ้ย ไม่ได้นา เกมนี้อีกลูกก็จะตัดสินแล้ว เวลาหยุดเกมเหลือน้อยกว่าห้านาที”ใครคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว “ ต้องแข่งต่ออย่างนั้นไม่ยุติธรรม “

โรจน์เกาหัวแกรกๆอย่างขัดใจ
 
“แหม ก็ใครใช้ให้พวกคุณเจือกเตะลูกโด่งข้ามเขตไปทางนั้น “เสียงหยุดชะงัก “ อ้าว ลูกเข้าเท้าผมเป็นคนสุดท้ายหรือ เอาล่ะๆ ในนี้มีใครรู้จักสาวคณะพาณิชย์บ้าง ช่วยไปขอความกรุณาพวกเธอเอาลูกบอลคืนมาจะได้แข่งจบๆกันไป” รีบพูดแบบตัดบท

คล้ายบังเอิญ ในตอนนั้นเองเจ้าเรศก็เดินออกมาจากโรงอาหารพอดีหลังกินข้าวเสร็จ เหมือนกับกำลังจะตรงไปยังห้องสมุดเพื่อใช้เวลาที่เหลือในตอนพักเที่ยงอ่านหนังสือเพลินๆก่อนกลับเข้าเรียนในภาคบ่าย

เท่าที่ผมจำได้ ตอนนั้นเจ้าเรศเพิ่งกลับมาจากบวชเณรหน้าไฟให้คุณย่าของมันที่เพิ่งเสียไป ผมและคิ้วของมันยังโล่งโจ้ง เกลี้ยงเกลา แต่ก็ดูผุดผ่องมีราศี เหมือนกับได้ไปรับรสพระธรรมกับสิ่งดีๆมาใส่ตัว

เมื่อเดินผ่านสนามเห็นเพื่อนๆทุกคนมันก็พยักหน้ายิ้มให้อย่างทักทายตามนิสัย ถึงแม้ปกติมันไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนๆร่วมคณะที่ชอบซ่า คึกคะนองเท่าไหร่ แต่เรศก็ไม่ปิดกั้นตัวเอง เพื่อนๆขอให้ทำอะไรให้ถ้ามันทำได้ก็ทำ ชวนให้กินเบียร์มันก็กินไม่ขัด แถมยังเลี้ยงอีกด้วย ขนาดเพื่อนใช้ให้ไปเช่าวีดีโอลามกมาดูเป็นหมู่คณะเพราะมีมันคนเดียวที่มีบัญชีกับร้านวีดีโอในตอนนั้น มันก็ทำตามความประสงค์ แต่ก็ไม่ร่วมดูด้วยจนเพื่อนๆคนอื่นสงสัยว่ามันเป็นเกย์ มีแต่ผมคนเดียวในตอนนั้นที่รู้ดี

เพื่อนๆทุกคนไม่มีใครไม่ชอบมัน ถึงแม้ว่าบางครั้งมันออกจะทำตัวเหินห่างไปบ้างแต่ทุกคนก็เข้าใจในความเป็นมัน

แต่ในตอนนั้นเพื่อนๆร่วมคณะเรียนส่งสายตามองตามหลังเจ้าเรศเป็นตาเดียวเหมือนกับมีความหวังบางอย่างในเวลานั้น ฉับพลัน เจ้าโรจน์ก็รีบส่งเสียงขึ้น

“ เฮ้ยๆๆ เรศ หยุดก่อนเพื่อนรัก  แวะมานี่ก่อนสิพวกเรามีอะไรให้ช่วย”

เรศหยุดเดิน หันมามอง เจ้าโรจน์ยิ้มเฝื่อนๆอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างให้ฟังอย่างหมดเปลือก เรศแสดงอาการเคอะเขินออกมาเล็กน้อย 

 พลางมองไปทางตึกคณะพาณิชย์ที่ไม่เคยย่างกรายเข้าไปเลยนับตั้งแต่เข้าเรียน ว่ากันตามตรงคือมันไม่มีเหตุจำเป็นอะไรสำหรับนักศึกษาชายคณะช่างที่จะต้องเข้ามาในตึกนี้ นอกเหนือจากมาซ่อม ติดตั้งระบบไฟฟ้าหรือเครื่องเย็นตามคำร้องของแผนกที่ยื่นไป 

ที่เข้ามาป้วนเปี้ยนด้วยเหตุอื่นนั้นคือมาหม้อสาวพาณิชย์ล้วนๆ

โต๊ะหิน ม้านั่ง สวนหย่อมรวมถึงตึกห้าชั้นตระหง่านข้างหลัง  สมัยนั้นกฎหมายติดตั้งลิฟต์ผ่านแล้ว

พอเรศเดินเข้าไปบรรดาสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงนั้นพากันมองมาพร้อมทั้งซุบซิบกันเองที่ข้างหู หัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนานจนเขารู้สึกประหม่า แต่ก็พยายามกลบเกลื่อนและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

เหลือบไปเห็นลูกบอลเจ้าปัญหาหยุดกลิ้งนิ่งเฉยอยู่ที่โต๊ะม้านั่งหินปูนสีขาวชุดนั้น เรศก็เดินไปหาและพบว่า มีสาวคณะพาณิชย์ กลุ่มนี้ใส่แว่นเกือบทุกคนนั่งกันอยู่เต็มโต๊ะและง่วนอยู่กับรายงานการเรียนอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ 

ด้วยความที่เป็นคนซื่อ เรศจึงก้มไปเก็บลูกบอลโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ สาวๆกลุ่มนั้นพอรู้ตัว วิ้ด ว้ายไปตามๆกันเพราะว่าเรศก้มตัวต่ำมาก และแหม กระโปรงสาวๆในสมัยก่อน ขนาดว่าเด็กเรียนนะ ก็เลือกใส่สั้นคาบเกี่ยวตามกฎเหนือหัวเข่าอยู่ดี ตามสมัยนิยม 

เรียกว่าเด็กสาว Nerd สมัยผม ถึงแม้ตั้งใจมาเรียนเต็มที่ ก็ยังอยากเก๋ๆไก๋ๆบ้าง แต่ไม่ได้ถึงขนาดอยากเปรี้ยว

ใจสารภาพว่า เรศในตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจ ต้องการเห็นอะไรเลย ถึงแม้พลังนุภาพของเพศชายกำลังมาสถานภาพวัยรุ่น

มีอาจารย์สตรีอยู่ตรงบริเวณนั้นพอดี หลังจากลูกศิษย์สาวส่งเสียงกริ้ดกร้าด ท่านก็เดินดิ่งมาทางนี้ทันที เรศยืนตัวตรงลูกบอลถือในมือถือค้าง

อาจารย์สตรีท่านนั้นไม่ได้หวั่นไหวไปตามเสียงลูกศิษย์สาวน้อยของท่านแต่ประการใด ท่านหยุดยืนมองเด็กชายวัยรุ่นเบื้องหน้าท่านอย่างพินิจพิจารณา

วินาทีแห่งความใจหายใจคว่ำผ่านไป ในที่สุดท่านก็กล่าวว่า

“มาเอาลูกบอลหรือ มัวยืนทำไมล่ะ ได้แล้วก็รีบกลับออกไปสิ “

เรศรีบยกมือไหว้อาจารย์สตรีท่านนั้น อาจารย์เป็นผู้หญิงวัยกลางคนนัยน์ตาดุเอาเรื่องขณะ เพ่งมองมายังเรศ

“ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ต้องค่อยๆยกบรรจบ ชูมือปลกๆแบบนี้ทีหลังอย่าทำนะ” ถึงแม้จะตำหนิแต่เสียงก็ไม่เข้มแต่อย่างใด ถ้าเป็นคนรู้จักตัวเธอดีจะรู้สึกว่าอ่อนแฝงไปด้วยความเอ็นดูด้วยซ้ำ

เรศยกมือไหว้ครูใหม่ตามแบบพิมพ์นิยมแล้วรีบลาหันหลังเดินออกมาทันที จึงไม่ได้ยินคำพูดที่อาจารย์ผู้หญิงท่านนั้นหันไปกล่าวกับบรรดานิสิตสาวๆของเธอ

“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ดูก็รู้ว่าเพิ่งไปบวชเรียนมา หน้าตาผ่องใสแบบอิ่มบุญแบบนั้นคงไม่คิดลามกจกเปรตอะไรกับพวกหล่อนหรอก ทีหลังถ้ากลัวคนมองก็ใส่ชุดแม่ชีมาเรียน” 

หลังจากกู้ลูกบอลกลับมาได้ เกมในวันนั้นก็ดำเนินไปจนจบ และแน่นอนว่ามีผลแพ้ชนะ คนเสียเดิมพันและคนได้กินฟรี แต่ที่ลืมไม่ได้คือวีรกรรมของเจ้าเรศที่เข้าไปเอาลูกบอลออกมาจากคณะพาณิชย์อย่างที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน

มีคนคาบข่าวไปบอกอาจารย์ผดุงซึ่งเป็นอาจารย์สอนพันหม้อแปลงกับระบบเครื่องเย็น อาจารย์แกเป็นคนคล้ำรูปร่างล่ำบึกแบบมะขามข้อเดียว เวลาสอนแกดุเอาจริงเอาจังมาก แต่นอกเวลาเรียนลูกศิษย์ลูกหามาพัวพันอยู่ใกล้ไม่มีขาด สาเหตุเพราะแกเป็นคนโผงผางแต่จริงใจ มอบสิ่งดีๆให้กับศิษย์ทุกคนเสมอไม่ว่าทั้งในเวลาเรียนหรือนอกเวลา

กิตติศัพท์อันเลื่องลือของแกมีอยู่เรื่องหนึ่งคือ เคยมีรุ่นพี่โดนมหาลัยช่างคู่อริใช้ขวานทองเหลืองเล่มเล็กที่ทำมาโดยแผนกช่างโลหะจามหลังมาจนเหวอะ แทนที่จะไปโรงพยาบาลหาหมอดันใจแข็งขี่มอเตอร์ไซค์มาที่แผนกให้อาจารย์ผดุงแกดูบาดแผลสะงั้น เรียกว่าไว้ใจอาจารย์แกมากกว่าหมอ

ปรากฎว่าอาจารย์แกเลือดขึ้นหน้า ตะโกนลั่น

“เฮ้ย ใครก็ได้ช่วยพาเพื่อนไปห้องพยาบาลด้วย ที่เหลือหยิบฉวยอะไรติดมือได้ หยิบมาให้หมดแล้วขึ้นรถกะบะมากับข้า” 

อะไรที่ว่านั้นมีทั้งตะไบ, ท่อเหล็กสำหรับเดินสายไฟข้างใน ไม้ทีทำจากเหล็ก เป็นต้นแล้วแต่ใครจะถนัดมือกับอะไร

เหตุการณ์ในวันนั้นหลังจากนั้นก็ขอสรุปให้ฟังคร่าวๆ ไม่ต้องการให้ใครเอาเยี่ยงอย่างหรือเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย คือในวันนั้นก็ปรากฎว่ามีระเบิดมือทำเองปาเล่นอยู่สองสามลูกตูมตามที่หน้ามหาลัยแห่งที่รุ่นพี่ถูกทำร้าย พวกกลุ่มต้นเหตุที่ทำร้ายรุ่นพี่คนนั้นไม่มีใครกล้าเสี่ยงโผล่ออกมา แต่ทว่า ชาวบ้านชาวช่อง บรรดานักศึกษาที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ผวาไปตามๆกัน

หลังจากนั้นได้ข่าวว่าอาจารย์แกถูกผอและเหล่าตำรวจผู้ใหญ่เรียกไปอบรมตักเตือน แกก็เพลาๆพฤติกรรมความระห่ำของแกลงตั้งแต่นั้น และคดีความแกก็เงียบหายไปไม่มีใครหยิบยกมาพูดถึงอีก

แต่ในตอนนี้แกถึงกับเบิกตาโพลง อ้าปากค้างเหมือนไม่เชื่อใ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่