ตอนรู้ข่าวว่าจะสร้างภาครีบู๊ต ผมนี่โคตรตื่นเต้นเลยครับ เพราะผมชอบต้นฉบับมากในระดับนึง ขนาดภาค Curse Of Chucky ที่หลายๆ คนบ่นว่าไม่สนุก ผมดูแล้วผมยังชอบเลยเพราะหนังมีดีที่บทซึ่งเชื่อมโยงกับภาคเก่าได้เนียนมาก แล้วพอหนังประกาศว่า Lars Klevberg จะทำหน้าที่กำกับ ผมก็เลยลองไปชมผลงานพี่แกเรื่อง Polaroid ดูครับ แต่ว่าผมไม่ไคร่จะปลื้มกับเรื่องนั้นมากนัก ทำให้ผมหวั่นๆ นิดนึงว่าหนังภาครีเมคนี้จะออกมาแบบไหน แต่แน่นอนว่าผมก็ลดความคาดหวังลงไปเหมือนกัน
เรื่องราวของ “แคเรน” (ออเบรย์ พลาซา จากซีรีส์ Legion) แม่ที่ได้ซื้อตุ๊กตาไฮเทคเป็นของขวัญให้ “แอนดี้” (กาเบรียล เบตแมน จาก Lights Out) ผู้เป็นลูกชาย แต่แล้วความสยองเต็มขั้นกลับเริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าตุ๊กตาตัวนี้เหมือนจะเกิดความผิดพลาดขึ้นในระบบการทำงานจนทำให้มันคลั่งและออกมาไล่เชือดผู้คนให้ต้องตกเป็นเหยื่อมากมาย!
แน่นอนครับว่ามันต้องมีคำถามประมาณว่า "หนังดีหรือว่าแย่กว่าต้นฉบับกันแน่!" ผมก็ขอตอบแบบมั่นหน้าเลยนะครับว่า "ดีคนละแบบ" ภาคต้นฉบับผมว่าทำหน้าที่ได้ดีในเรื่องบรรยากาศความน่ากลัวและการเซอร์วิซฉากสยองที่ใส่เข้ามาเรื่อยๆ แต่การดำเนินเรื่องมันค่อนข้างเรื่อยๆ ส่วนในฉบับใหม่นี้ ความน่ากลัวหายไป แต่ก็ทดแทนด้วยฉากสยองที่จัดหนักจัดเต็มมาก และที่สำคัญ บทมันดีกว่าต้นฉบับครับท่านผู้โช้มมมมมมม!!!
บทของต้นฉบับนั้นก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะครับ แต่ผมว่าตัวละครหลักแบ็คกราวน์น้อยไป เราก็เลยยังไม่อินกับในส่วนของบทมากนัก แต่ในฉบับนี้ ผมว่าบทดูมีน้ำหนักมากขึ้นและทำให้เราอินกับตัวละครหลักได้ แอนดี้นั้นก็เป็นเด็กที่ออกไปแนว loser เล็กน้อย ต้องย้ายมาบ้านหลังใหม่ ทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อนที่เข้าใจเขา แต่หลังจากที่แม่ของเขาซื้อตุ๊กตา AI ชื่อ"ชัคกี้" มาให้เป็นเพื่อน เขาก็เริ่มรู้สึกว่าเขามีเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าตุ๊กตาตัวนั้นมัน error จนสุดท้ายเพื่อนรักก็กลายเป็นเพื่อนร้าย ผมว่าประเด็นที่ว่ามาน่าสนใจครับ และหนังก็เล่าแบบพอดิบพอดี ไม่เยิ่นเย้อไป(เพราะถ้าเล่ามากกว่านี้ มันจะกลายเป็นหนังดราม่าทันที)จากนั้นก็เข้าสู่โหมดสยอง"ขำ"แบบเต็มที่ ซึ่งมุขตลกที่แทรกเข้ามามันเวิร์คครับ และฉากสยองก็สยองมากกกกกก มากจนต้องเบือนหน้าหนีเลย ใครที่เป็นคอหนังเชือดถูกใจแน่นอนครับ

นอกจากข้อดีที่ผมได้กล่าวไปแล้วด้านบน ผมว่าหนังสะท้อนสังคมในปัจจุบันได้ดีเลยนะ ทุกวันนี้ผมว่า Social Network มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราๆ ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Facebook, Twitter, Instagram ล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งในสิ่งที่เราบริโภคอยู่บ่อยมาก บางทีเราเสพติดมันมากจนบางทีมันเป็นผลร้ายต่อเราแต่เราก็ยังจะเลือกที่จะเสพติดมันต่อ เช่นเราเจอเพื่อนใน Facebook แล้วเราลองคุยไปเรื่อยๆ เพราะรู้สึกว่าเราแมทช์กัน แต่บางทีเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร และจุดประสงค์ของเขาคืออะไร จนสุดท้ายเราก็เลือกที่จะพูดคุยกันต่อทั้งๆ ที่ใจรู้ว่ามันแปร่งๆ หรือแม้กระทั่งเราไปเจอสิ่งที่มันตอกย้ำความในใจเราจนมันเป็นแผลที่ค่อยๆ กัดกินเรา จนบางทีอาจจะตัดสินใจปลิดชีวิตทิ้งเพราะโพสต์ๆ เดียว ฉะนั้นผมว่าใช้มันแบบพอดี แล้วเราจะไม่ยึดติดเกินไปหรอกครับ

ด้านดาราคัดมาดีครับ ผมว่า Plaza ไปได้ดีมากๆ กับบทแม่เลี้ยงลูกเดี่ยว ปกติผมจะชินกับเธอในบทบ้าๆ บอๆ หรือไม่ก็ตลกหน้านิ่ง แต่ในเรื่องนี้การแสดงของเธอค่อนข้างดีครับ ผมชอบเวลาที่เธอพูดกับลูกมาก คำพูดเธอมันเหมือนเป็นคำพูดปกติแต่มันไม่ปกติอ่ะครับ น้ำเสียงเธอมันซ่อนความรู้สึกส่วนในไว้ ถือว่า Plaza ตีบทค่อนข้างแตกครับ อีกคนนึงที่ผมชอบก็คือ Tyree Henry ในบทเจ้าหน้าที่นอร์ริส ผมว่าเขาขรึมดี แต่ขรึมแบบพอดีอ่ะครับ เลเวลเกมพี่แกน่าสนใจมาก ส่วนน้อง Gabriel Bateman ผมว่าพัฒนาขึ้นมากหลังจาก Lights Out ที่ยังตะกุกตะกักอยู่ แต่มาเรื่องนี้ผมว่าน้องเล่นได้ลื่นขึ้น ฉากที่ต้องกลัวน้องก็กลัวได้สมจริง แต่ที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือเสียงพากย์ของ Mark Hamill เฮียสกายวอล์คเกอร์ของเรานั่นเอง ผมว่าเฮียแกพากย์ได้มีเสน่ห์มาก บทจะน่ารักก็น่ารักมาก พอบทจะร้ายก็ร้ายได้น่าถีบจริงๆ

ขอสรุปแบบภูมิใจครับว่า นี่เป็นหนัง(สยองขวัญ)รีบู๊ตอีกเรื่องที่ทำออกมาแล้วดีกว่าต้นฉบับ แต่ผมว่าของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับความชอบมากกว่า ใครที่ชอบแนวสยองแบบน่ากลัวก็น่าจะส่ายหัวกับฉบับนี้ก็ได้ แต่ถ้าใครที่ชอบสยองแบบจัดเต็ม บทแน่น นักแสดงเยี่ยม ผมว่าฉบับนี้เข้าทางครับ และผมก็ค่อนข้างชอบฉบับนี้มากซะด้วย... ชอบมากกว่าต้นฉบับอีกนะ
คะแนนเฉลี่ยรวม : 9/10
เรตหนัง : หนังดีที่ควรดู
[CR] [##REVIEW##] Child's Play (2019) คลั่งฝังหุ่น | กลายเป็นหนังรีบู๊ตที่ชอบเกินคาดอีกเรื่อง [ไร้ส้มป่อย]
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้