ขอใช้พื้นที่นี้บอกเล่าประสบการณ์การใช้ชีวิตในญี่ปุ่น 1 เดือนไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนที่อยากรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนต่างชาติที่ไปอยู่ญี่ปุ่นนะคะ
บอกเลยว่าครัง้นี้เรารู้สึกว่าค่อนข้างครบถ้วนในทุกประสบการณ์และเข้าถึงลักษณะการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นจริง ๆ เพราะมันไม่ใช่การไปเที่ยว แต่มันคือการไปอยู่จ้า..
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้วสำหรับการเดินทางญี่ปุ่นของเรา แต่รอบนี้จะไม่เหมือนทุกครั้งเพราะไม่ใช่การไปเที่ยว ใช้เวลานานกว่าทุกที และเรามีหน้าที่ที่ต้องทำ คือการไปทำแล็บและเก็บเกี่ยวความรู้มาให้ได้มากที่สุด
แน่นอนค่ะ! นั่นหมายความว่าชีวิตประจำวันของเรา คือ
ตื่นเช้า เตรียมข้าวกล่อง ขึ้นรถไฟ ขึ้นบัส เข้าแล็บไปทำงาน
ตกเย็น กลับบ้าน แวะซื้ออาหารสด ทำกับข้าว และเข้านอน มันเป็นแบบนี้ทุกวันจันทร์-เสาร์
นี่คือถนนหน้าในซอยหน้าที่พักของเราค่ะ ไม่ว่าจะเช้า กลางวัน เย็น ค่ำ ก็เงียบและคนน้อยประมาณนี้

เราอยู่กันที่ Chiba ค่ะ หลาย ๆ คนจะทราบว่าไม่ไกลจากโตเกียวนัก Chiba เป็นเมืองที่ไม่วุ่นวายการเดินทางสะดวก เราพักกันที่หอพักของมหาวิทยาลัย ราคาต่อเดือน คือ 45,000 เยน/คน เหมารวมน้ำ ไฟ แก็ส เบ็ดเสร็จในราคาเดียว แต่คือแพงมากกกก ในความรู้สึกคนไทยอย่างเรา ห้องพักมี 1 ห้องนอน 2 เตียงเดี่ยว มีครัว ตู้เย็น ทีวี แอร์ เครื่องซักผ้า อบผ้า เอาเป็นว่าครบพอที่จะอยู่ได้โดยไม่ลำบาก เราอยู่กันสองคนค่ะ สนนราคาค่าเช่าห้องนี้ คือ 90,000 เยนต่อห้อง ขุ่นพระ!! สามหมื่นบาทไทย แต่เพื่อน ๆ ที่ญี่ปุ่นก็บอกว่าราคานี้คือถูกแล้ว ปกติค่าเช่าห้องแบบห้องเดี่ยวน่าจะอยู่ที่ 60,000 เยน/เดือน ไม่รวมค่าน้ำไฟแก็ส
ห้องพักของเราค่ะ รก ๆ นิดนึง มาถึงวันแรกกางกระเป๋าจัดของกลางห้องเลยค่ะ

กิจกรรมแรกที่เราทำหลังจากมาถึง คือไปเดินซื้อเครื่องครัวค่ะ ร้านไดโซะเลยจ้า ตะหลิว 108 เยน หม้อ 300 กว่าเยน มีด 108 เยน (คมมากกกก) แต่มารู้ทีหลังว่า เธอ ๆ ที่สำนักงานหอพักมีเครื่องครัวให้ยืมจ่ะ เสียใจจจ จ่ายไปแล้วหลายร้อยเยน น้อง ๆ ที่ไปอยู่หอพักแบบนี้ควรแวะไปถามสำนักงานด้วยนะคะ
ส่วนใหญ่จะมีของใช้ให้ยืม เป็นของจากคนเก่า ๆ มาอยู่แล้วเค้าทิ้งไว้เพราะที่นี่ถ้าจะทิ้งของชิ้นใหญ่ ต้องมีค่าทิ้งขยะ ทุกคนเลยเลือกที่จะบริจาคไว้ที่ส่วนกลางหอพักค่ะ
พูดถึงเรื่องทิ้งขยะ ที่นี่แยกเป็นเผาได้ กระป๋องอลูมิเนียม กระดาษลังหรือกล่องที่เป็นแพคเกจสินค้า ประมาณนี้คือที่เจอบ่อย ๆ เวลาทิ้งมัดใส่ถุงขยะตามประเภทแล้วเอาลงไปวางไว้ในห้องขยะ ซึ่งเป็นห้องขยะที่ค่อนข้างเรียบร้อยเป็นระเบียบมากจ้า
รีวิวแหล่งอาหารของเราซะหน่อย
ง่ายที่สุดคือเข้าห้างค่ะ ซื้อของเนื้อสัตว์ราคาพอรับได้ 400 เยน ก็สามารถซื้อหมูประมาณ 2-3 ขีดได้แล้ว แต่อย่างที่ทราบกัน รอหลัง 2 ทุ่ม เค้าจาติดป้ายลดราคาค่ะ 10-50% แล้วแต่ดวงที่จะเจอ 5555 ลืมบอก อาหารสดจะมีวันหมดอายุติดไว้เสมอ และมักจะเสียไม่ก็ขึ้นรา ตรงตามวันหมดอายุด้วยนะ
ส่วนผักขอแนะนำให้หาร้านชำค่ะ จะเป็นร้านเหมือนห้องแถว มีกล่องใส่ผักวางล้นออกมาหน้าร้าน ติดป้ายราคาตัวใหญ่ ๆ ไว้ชัดเจน เดินเข้าไปเลือกได้เลยค่ะ บอกเลยว่าหลายอย่างราคาเท่า ๆ ไทย เช่น เห็ดเข็มทอง 100 เยน กะหล่ำหัวละ 30-100 เยน แล้วแต่ความใหญ่และความสดใหม่ ซึ่งเราก็ไม่แคร์ความสด เอาที่ถูกค่ะ กินกะหล่ำ 30 ประจำ เอามาผัดกินกับข้าว อร่อยอยู่นะ ได้ฟีลกินอาหารไทย ส่วนข้าวสารเราซื้อในห้างค่ะ 5 โล 2,400 เยน บวกกับผงปรุงรส ผงผัดต่าง ๆ และน้ำปลาที่เอามาจากไทย บอกเลยว่าอยู่ได้สบาย ๆ แบบคนงบน้อย เกือบลืมมมม ไอเท็มสำคัญของเรา ไข่ไก่ ค่ะ ซื้อได้ทั้งในห้างและร้านชำ แต่เราซื้อร้านชำประจำ เพราะมันถูกกว่า ราคาอยู่ที่ 10 ฟอง 160-250 เยน ส่วนน้ำมันพืชนั้นนนน กรุณาสอบถามชาวญี่ปุ่นแถวนั้นว่าขวดไหน
บอกเลยว่างงมาก ทุกสิ่งไม่มีภาษาอังกฤษเลย ญี่ปุ่นล้วน google translate เอานะคะ รอบแรกเราซื้อผิดมา ได้มิรินมาทอดไข่ดาว 5555 กลายเป็นไข่หวานเลยทีเดียว

อีกที่นึงที่อยากแนะนำ คือ ร้าน Lawson แบบขายอาหารสด จะหน้าตาไม่เหมือน Lawson ที่เป็นร้านสะดวกซื้อนะคะ ต้องหาดี ๆ ถ้าเจอแล้วปักหมุดเลยค่ะ ของถูกกก เราได้น้ำมันพืช 100 เยนจากที่นี่ ขนมปังไส้เนยอร่อยดีค่ะ เอาไว้กินตอนเช้า 1 ถุงมี 6-8 ชิ้น ในราคา 108 เยน และเกี๊ยวซ่า 10 ชิ้น ในราคา 108 เยนเช่นกันจ้า ถูกไหมล่ะคะคู้นนนนน

ขอจบเรื่องอาหารการกินแต่เพียงเท่านี้
ไปต่อกันที่การเดินทางค่ะ
อย่างที่บอกไปว่าเราต้องเดิน ขึ้นรถไฟ และต่อบัสจึงจะไปถึงที่หมายของเรา เป็นแบบนี้ทุกวัน จันทร์-เสาร์ (ช็อกแพร๊บบบบบ ใช่จ้า ทำงาน 6 วัน 9โมง-5โมง++) เราควรต้องมีบัตรเติมเงินเพื่อความสะดวก ไม่ต้องคอยหาเหรียญให้วุ่นวาย และหากไม่ชัวร์เส้นทางให้ใช้ app Navitime ที่นี่เราใช้บัตร
suica เติมเงินเอาเวลาขึ้นบัสขึ้นประตูหลัง+แตะบัตร ตอนลงใช้ประตูหน้า+แตะบัตร ข้อควรระวังนิดนึง คือ ให้เช็คราคาเมื่อจ่ายด้วยบัตรและเงินสด ว่าอันไหนถูกกว่ากัน บางครั้งขึ้น 1-2 ป้าย ราคาเงินสดจะถูกกว่าบัตร ถ้าจ่ายเงินสดตอนขึ้นให้ดึงกระดาษที่มีเลข ดูราคาตามเลขที่เราถือ แล้วตอนลงก็หยอดทั้งเงินและกระดาษในช่องเก็บเงินข้างคนขับ
ส่วนรถไฟนั้น เราซื้อตั๋วรายเดือนแบบระบุสถานีค่ะ แต่ๆๆๆ น้อง ๆ ที่มีบัตรนักเรียน/นักศึกษา ให้ไปทำเรื่องขอซื้อตั๋วราคานักเรียนได้ ขั้นตอนแรกต้องไปขอสติกเกอร์ใบเล็ก ๆ แบบนี้จากมหาวิทยาลัยก่อน จนท.จะระบุชื่อเราเป็นภาษาญี่ปุ่น ชื่อมหาวิทยาลัย สถานีต้นทางและปลายทางที่จะใช้บริการ (รูปแบบของเอกสารอาจจะต่างกันในแต่ละโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนะคะ) แล้วก็เอาบัตรนักเรียนไปซื้อตั๋วรายเดือนที่ JR office ของเราราคาเต็ม 3 สถานี คือ 7,700 เยน/เดือน ลดเหลือประมาณ 2,300 เยน/เดือน และที่พิเศษไปกว่านั้น บัตรนักเรียนสามารถใช้เป็นส่วนลดตั๋ว JR ที่เป็นตั๋วระยะไกลได้ประมาณ 20% อันนี้เรายังไม่ได้ลองทำนะคะ เดี๋ยวเพื่อนเราไปซื้อตั๋วโตเกียว-โอซาก้าแล้วจะเอามาโชว์ค่ะ (สรุปว่าไปลองทำมาแล้วไม่ได้จ้า รายละเอียดขอไปเล่าในคอมเม้นนะคะ)
และแล้วความซวยก็บังเกิดค่ะ
เราเริ่มมีอาการเจ็บก้นและต้นขาต้นหลัง คิดว่าน่าจะปวดเมื่อยธรรมดาจากการนั่งเครื่องนานและยกกระเป๋าเดินทางขึ้นลงบันได หลายวันไปยิ่งหนักขึ้นคือแทบเดินไม่ได้ เลยคิดว่าควรหาหมอเลยไปคลินิก เจ้าหน้าที่คลินิก พยาบาล และหมอที่นี่ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย และเค้าปฏิเสธการรักษาเราด้วยเหตุผลว่าไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ เค้าพยายามแนะนำให้เราไปคลินิกอื่น เราก็ไปจ้า เดินไปหามา 3 ที่ ไม่มีที่ไหนรับรักษา เหตุผลเดียวคือเรื่องภาษา ที่คือข้อพึงระวังว่า เมื่อเราต้องการหาหมอคลินิกที่ญี่ปุ่นควรพูดภาษาญี่ปุ่นได้หรือต้องมีเพื่อนชาวญี่ปุ่นไปกับเราด้วย
เพิ่มเติมข้อมูลอีกนิด คือ ที่ญี่ปุ่นโรงพยาบาลเปิดปิดเป็นเวลา ประมาณ 5 โมงเย็นก็ปิดแล้ว ถ้าคุณป่วย ต้องไปรับการรักษาจากสถานพยาบาลเบื้องต้นก่อน
แล้วขอใบส่งตัวเพื่อมารักษาต่อที่โรงพยาบาล กรณีของเรา(ที่น้ำตาร่วงจากความเจ็บและเสียใจที่หมอไม่รับรักษาT T) ได้รับความช่วยเหลือจาก Professor ที่นี่แนะนำให้เราไปหาหมอที่ รพ.มหาวิทยาลัยซึ่ง มีหมอที่พูดภาษาอังกฤษได้ เย่ๆๆๆ
ไปถึงโรงพยาบาลก็ตามที่บอกไปค่ะ จนท.ถามหาใบส่งตัว แต่เราบอกเค้าไปว่าเราเป็นนักศึกษาและบอกชื่อ Professor ไป จนท.โทรหาโปรในทันที คุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วเค้าก็พาเราไปทำบัตร รับคิว นั่งรอตรวจ
สุดท้ายเราได้รับการรักษาจากคุณหมอที่น่ารักมาก พยายามสื่อสารและช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี app แปลภาษาต่าง ๆ นานา ถูกงัดมาใช้หมดค่ะ
สำหรับค่ารักษาพยาบาลนั้นนนนนน
แพงค่ะ บอกเลย จนท.ผู้น่ารักพยายามอธิบายว่า ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นจะมี insurance card ทุกคนจะจ่ายค่ารักษาแค่ประมาณ 30 % เท่านั้น กรณีไม่มีอย่างเรา
คือจ่ายเต็มจ้า ที่พีคไปกว่านั้น ถ้าไม่มีใบส่งตัวจากสถานพยาบาลเบื้องต้นจะมีค่าแรกเข้า (ขอใช้คำนี้ ใครอ่านญี่ปุ่นออกช่วยแปลที555) 10,000 เยน โดยประมาณ ที่เราต้องจ่ายจ้า เราสังเกตดูว่ารอบถัดไปที่มีใบนัด เราไม่ต้องจ่ายค่าแรกเข้านี้แล้วค่ะ
บรรยากาศรพ.ที่นี่ ดีค่ะ นึกภาพรพ.เอกชนบ้านเรา ประมาณนั้นเลยค่ะ ไม่วุ่นวาย มีเครื่องอัตโนมัติต่าง ๆ มากมาย เช่น เครื่องประวัติ+บัตรคิว คือถ้าคุณมาตามนัดของหมอ มาถึงเสียบบัตรที่ตู้ เครื่องจะส่งข้อมูลเราไปหาคุณหมอและปริ้นท์ประวัติที่มีเลขคิวของเรามาให้ เราก็หยิบใส่แฟ้ม เดินไปนั่งรอพบหมอที่แผนกได้เลย ขั้นตอนการจ่ายเงินก็เช่นกัน นำบัตรคิวไปแสกนที่เครื่องจ่ายเงิน กดเลือกจ่ายเงินสดหรือบัตร แล้วก็รับใบเสร็จ กลับบ้านได้จ้า แทบไม่ต้องคุยกับใคร มาถึงคุยกับหมอแค่คนเดียว 555
อันนี้คือเครื่องรับบัตรคิวนะคะ เสียบบัตรโรงพยาบาลไป แล้วรอรับกระดาษประวัติที่ช่องข้างล่างค่ะ

อีกเรื่องนึงที่หลาย ๆ คนน่าจะพอทราบ สถานพยาบาลที่นี่ไม่จ่ายยาเองนะคะ เค้าจะให้ใบสั่งยามา แล้วเราก็นำไปซื้อยาที่ร้านยาเอง ส่วนมากก็จะมีร้านยาอยู่ใกล้ ๆ ค่ะ ก่อนอื่นเค้าจะถามหาสมุดบันทึกการใช้ยา (ที่เราไม่มี 555) และมีเอกสารให้หรอกว่าแพ้ยาอะไร แพ้อาหารอะไร ต้องการรับยาที่เป็น generic หรือ original เสร็จแล้วก็รอรับยา ฟังคำอธิบาย มีเอกสารอธิบายยาที่ละเอียดมากมากให้ด้วยค่ะ อันนี้เราว่าดี ใส่ใจผู้ป่วยอย่างแท้จริง รับยา จ่ายเงิน กลับบ้านค่ะ
สนนราคาค่ารักษา เทียบได้กับโรงพยาบาลเอกชนบ้านเราค่ะ ค่ารักษาขั้นต่ำคือ 1,500 บาท แน่ ๆ ค่ายาก็ประมาณกัน 1,500 บาท แน่ ๆ ไม่รวมค่าแรกเข้านะคะ ของเราพบแพทย์ 3 ครั้ง และมียากิน รวมแล้วหมื่นกว่าบาทอยู่เหมือนกันค่ะ ตอนนี้ทำเรื่องเคลมประกันไปแล้ว หวังว่าจะราบรื่นเคลมง่ายไร้ปัญหาค่ะ
อ่อ การเคลมประกันเดินทางเราต้องขอใบรับรองแพทย์จากคุณหมอด้วยทุกครั้งนะคะ ภาษาญี่ปุ่นก็ใช้ได้ค่ะ เพียงแค่มีชื่อเราและข้อมูลการรักษาที่ระบุโรคและอาการครบถ้วนก็โอเคแล้ว มีความน่ารักนิดนึงที่คุณหมอทำหน้าตกใจแล้วถามกลับมาว่า In english wahhhhhhhh อยากจะถามว่า.. หมอคะ หมอจะตกใจทำไม ก็ที่คุยกันมานี่ก็ภาษาอังกฤษนะ ยูพูดได้ จะตื่นเต้นทำมายยยย คนไข้ตื่นเต้นตามทุกทีที่หมอขึ้นเสียงสูง 55555
ดังนั้นแล้ว ประกันสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญค่ะ อย่าละทิ้งเพิกเฉยในข้อนี้เด็ดขาด จำไว้ให้ขึ้นใจ หยิบพาสปอร์ตเมื่อไร อย่าลืมกดซื้อประกันเดินทางด้วยเสมอ
จบข่าวสำหรับการหาหมอในญี่ปุ่นของเรา
ต่อมา เรื่องการทำงาน
คนที่นี่เข้างานตรงเวลามากค่ะ ของเรา 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น จันทร์ถึงเสาร์ เราไม่เคยมาก่อนและกลับก่อนอาจารย์เลยซักวัน นั่นคือ แปลว่าเค้ามาทำงานเช้ามากและกลับกี่โมงไม่รู้ บางคน สามสี่ทุ่มก็ยังอยู่ ที่เคย ๆ ได้ยินมาคือเรื่องจริงเลยค่ะ ถึงไม่มีอะไรเค้าก็จะยังนั่งทำงาน หางานอะไรทำไปเรื่อย ส่วนนักศึกษาก็มาตรงเวลาค่ะ กลับตรงเวลา ไม่มีใครกลับก่อนเวลา จะว่าไป เวลาปาร์ตี้เค้าก็จริงจังค่ะ ที่ทำงานของเราจะมีออกไปกินข้าวร้านอาหารกันเดือนละครั้ง ทานอาหารร่วมกันและกินเหล้าเบียร์ปาร์ตี้กันอย่างสุดเหวี่ยง work hard, play harder จริงจัง
เดี๋ยวจะเอารูปมาลงเพิ่มเติมประกอบการรีวิวนะคะ ^^
[CR] รีวิว ประสบการณ์ใช้ชีวิต กิน/อยู่/เดินทาง/หาหมอ ที่ญี่ปุ่น 1 เดือน กับเงินอันน้อยนิด
บอกเลยว่าครัง้นี้เรารู้สึกว่าค่อนข้างครบถ้วนในทุกประสบการณ์และเข้าถึงลักษณะการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นจริง ๆ เพราะมันไม่ใช่การไปเที่ยว แต่มันคือการไปอยู่จ้า..
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้วสำหรับการเดินทางญี่ปุ่นของเรา แต่รอบนี้จะไม่เหมือนทุกครั้งเพราะไม่ใช่การไปเที่ยว ใช้เวลานานกว่าทุกที และเรามีหน้าที่ที่ต้องทำ คือการไปทำแล็บและเก็บเกี่ยวความรู้มาให้ได้มากที่สุด
แน่นอนค่ะ! นั่นหมายความว่าชีวิตประจำวันของเรา คือ
ตื่นเช้า เตรียมข้าวกล่อง ขึ้นรถไฟ ขึ้นบัส เข้าแล็บไปทำงาน
ตกเย็น กลับบ้าน แวะซื้ออาหารสด ทำกับข้าว และเข้านอน มันเป็นแบบนี้ทุกวันจันทร์-เสาร์
นี่คือถนนหน้าในซอยหน้าที่พักของเราค่ะ ไม่ว่าจะเช้า กลางวัน เย็น ค่ำ ก็เงียบและคนน้อยประมาณนี้
เราอยู่กันที่ Chiba ค่ะ หลาย ๆ คนจะทราบว่าไม่ไกลจากโตเกียวนัก Chiba เป็นเมืองที่ไม่วุ่นวายการเดินทางสะดวก เราพักกันที่หอพักของมหาวิทยาลัย ราคาต่อเดือน คือ 45,000 เยน/คน เหมารวมน้ำ ไฟ แก็ส เบ็ดเสร็จในราคาเดียว แต่คือแพงมากกกก ในความรู้สึกคนไทยอย่างเรา ห้องพักมี 1 ห้องนอน 2 เตียงเดี่ยว มีครัว ตู้เย็น ทีวี แอร์ เครื่องซักผ้า อบผ้า เอาเป็นว่าครบพอที่จะอยู่ได้โดยไม่ลำบาก เราอยู่กันสองคนค่ะ สนนราคาค่าเช่าห้องนี้ คือ 90,000 เยนต่อห้อง ขุ่นพระ!! สามหมื่นบาทไทย แต่เพื่อน ๆ ที่ญี่ปุ่นก็บอกว่าราคานี้คือถูกแล้ว ปกติค่าเช่าห้องแบบห้องเดี่ยวน่าจะอยู่ที่ 60,000 เยน/เดือน ไม่รวมค่าน้ำไฟแก็ส
ห้องพักของเราค่ะ รก ๆ นิดนึง มาถึงวันแรกกางกระเป๋าจัดของกลางห้องเลยค่ะ
กิจกรรมแรกที่เราทำหลังจากมาถึง คือไปเดินซื้อเครื่องครัวค่ะ ร้านไดโซะเลยจ้า ตะหลิว 108 เยน หม้อ 300 กว่าเยน มีด 108 เยน (คมมากกกก) แต่มารู้ทีหลังว่า เธอ ๆ ที่สำนักงานหอพักมีเครื่องครัวให้ยืมจ่ะ เสียใจจจ จ่ายไปแล้วหลายร้อยเยน น้อง ๆ ที่ไปอยู่หอพักแบบนี้ควรแวะไปถามสำนักงานด้วยนะคะ
ส่วนใหญ่จะมีของใช้ให้ยืม เป็นของจากคนเก่า ๆ มาอยู่แล้วเค้าทิ้งไว้เพราะที่นี่ถ้าจะทิ้งของชิ้นใหญ่ ต้องมีค่าทิ้งขยะ ทุกคนเลยเลือกที่จะบริจาคไว้ที่ส่วนกลางหอพักค่ะ
พูดถึงเรื่องทิ้งขยะ ที่นี่แยกเป็นเผาได้ กระป๋องอลูมิเนียม กระดาษลังหรือกล่องที่เป็นแพคเกจสินค้า ประมาณนี้คือที่เจอบ่อย ๆ เวลาทิ้งมัดใส่ถุงขยะตามประเภทแล้วเอาลงไปวางไว้ในห้องขยะ ซึ่งเป็นห้องขยะที่ค่อนข้างเรียบร้อยเป็นระเบียบมากจ้า
รีวิวแหล่งอาหารของเราซะหน่อย
ง่ายที่สุดคือเข้าห้างค่ะ ซื้อของเนื้อสัตว์ราคาพอรับได้ 400 เยน ก็สามารถซื้อหมูประมาณ 2-3 ขีดได้แล้ว แต่อย่างที่ทราบกัน รอหลัง 2 ทุ่ม เค้าจาติดป้ายลดราคาค่ะ 10-50% แล้วแต่ดวงที่จะเจอ 5555 ลืมบอก อาหารสดจะมีวันหมดอายุติดไว้เสมอ และมักจะเสียไม่ก็ขึ้นรา ตรงตามวันหมดอายุด้วยนะ
ส่วนผักขอแนะนำให้หาร้านชำค่ะ จะเป็นร้านเหมือนห้องแถว มีกล่องใส่ผักวางล้นออกมาหน้าร้าน ติดป้ายราคาตัวใหญ่ ๆ ไว้ชัดเจน เดินเข้าไปเลือกได้เลยค่ะ บอกเลยว่าหลายอย่างราคาเท่า ๆ ไทย เช่น เห็ดเข็มทอง 100 เยน กะหล่ำหัวละ 30-100 เยน แล้วแต่ความใหญ่และความสดใหม่ ซึ่งเราก็ไม่แคร์ความสด เอาที่ถูกค่ะ กินกะหล่ำ 30 ประจำ เอามาผัดกินกับข้าว อร่อยอยู่นะ ได้ฟีลกินอาหารไทย ส่วนข้าวสารเราซื้อในห้างค่ะ 5 โล 2,400 เยน บวกกับผงปรุงรส ผงผัดต่าง ๆ และน้ำปลาที่เอามาจากไทย บอกเลยว่าอยู่ได้สบาย ๆ แบบคนงบน้อย เกือบลืมมมม ไอเท็มสำคัญของเรา ไข่ไก่ ค่ะ ซื้อได้ทั้งในห้างและร้านชำ แต่เราซื้อร้านชำประจำ เพราะมันถูกกว่า ราคาอยู่ที่ 10 ฟอง 160-250 เยน ส่วนน้ำมันพืชนั้นนนน กรุณาสอบถามชาวญี่ปุ่นแถวนั้นว่าขวดไหน
บอกเลยว่างงมาก ทุกสิ่งไม่มีภาษาอังกฤษเลย ญี่ปุ่นล้วน google translate เอานะคะ รอบแรกเราซื้อผิดมา ได้มิรินมาทอดไข่ดาว 5555 กลายเป็นไข่หวานเลยทีเดียว
ไปต่อกันที่การเดินทางค่ะ
อย่างที่บอกไปว่าเราต้องเดิน ขึ้นรถไฟ และต่อบัสจึงจะไปถึงที่หมายของเรา เป็นแบบนี้ทุกวัน จันทร์-เสาร์ (ช็อกแพร๊บบบบบ ใช่จ้า ทำงาน 6 วัน 9โมง-5โมง++) เราควรต้องมีบัตรเติมเงินเพื่อความสะดวก ไม่ต้องคอยหาเหรียญให้วุ่นวาย และหากไม่ชัวร์เส้นทางให้ใช้ app Navitime ที่นี่เราใช้บัตร
suica เติมเงินเอาเวลาขึ้นบัสขึ้นประตูหลัง+แตะบัตร ตอนลงใช้ประตูหน้า+แตะบัตร ข้อควรระวังนิดนึง คือ ให้เช็คราคาเมื่อจ่ายด้วยบัตรและเงินสด ว่าอันไหนถูกกว่ากัน บางครั้งขึ้น 1-2 ป้าย ราคาเงินสดจะถูกกว่าบัตร ถ้าจ่ายเงินสดตอนขึ้นให้ดึงกระดาษที่มีเลข ดูราคาตามเลขที่เราถือ แล้วตอนลงก็หยอดทั้งเงินและกระดาษในช่องเก็บเงินข้างคนขับ
ส่วนรถไฟนั้น เราซื้อตั๋วรายเดือนแบบระบุสถานีค่ะ แต่ๆๆๆ น้อง ๆ ที่มีบัตรนักเรียน/นักศึกษา ให้ไปทำเรื่องขอซื้อตั๋วราคานักเรียนได้ ขั้นตอนแรกต้องไปขอสติกเกอร์ใบเล็ก ๆ แบบนี้จากมหาวิทยาลัยก่อน จนท.จะระบุชื่อเราเป็นภาษาญี่ปุ่น ชื่อมหาวิทยาลัย สถานีต้นทางและปลายทางที่จะใช้บริการ (รูปแบบของเอกสารอาจจะต่างกันในแต่ละโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยนะคะ) แล้วก็เอาบัตรนักเรียนไปซื้อตั๋วรายเดือนที่ JR office ของเราราคาเต็ม 3 สถานี คือ 7,700 เยน/เดือน ลดเหลือประมาณ 2,300 เยน/เดือน และที่พิเศษไปกว่านั้น บัตรนักเรียนสามารถใช้เป็นส่วนลดตั๋ว JR ที่เป็นตั๋วระยะไกลได้ประมาณ 20% อันนี้เรายังไม่ได้ลองทำนะคะ เดี๋ยวเพื่อนเราไปซื้อตั๋วโตเกียว-โอซาก้าแล้วจะเอามาโชว์ค่ะ (สรุปว่าไปลองทำมาแล้วไม่ได้จ้า รายละเอียดขอไปเล่าในคอมเม้นนะคะ)
และแล้วความซวยก็บังเกิดค่ะ
เราเริ่มมีอาการเจ็บก้นและต้นขาต้นหลัง คิดว่าน่าจะปวดเมื่อยธรรมดาจากการนั่งเครื่องนานและยกกระเป๋าเดินทางขึ้นลงบันได หลายวันไปยิ่งหนักขึ้นคือแทบเดินไม่ได้ เลยคิดว่าควรหาหมอเลยไปคลินิก เจ้าหน้าที่คลินิก พยาบาล และหมอที่นี่ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย และเค้าปฏิเสธการรักษาเราด้วยเหตุผลว่าไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ เค้าพยายามแนะนำให้เราไปคลินิกอื่น เราก็ไปจ้า เดินไปหามา 3 ที่ ไม่มีที่ไหนรับรักษา เหตุผลเดียวคือเรื่องภาษา ที่คือข้อพึงระวังว่า เมื่อเราต้องการหาหมอคลินิกที่ญี่ปุ่นควรพูดภาษาญี่ปุ่นได้หรือต้องมีเพื่อนชาวญี่ปุ่นไปกับเราด้วย
เพิ่มเติมข้อมูลอีกนิด คือ ที่ญี่ปุ่นโรงพยาบาลเปิดปิดเป็นเวลา ประมาณ 5 โมงเย็นก็ปิดแล้ว ถ้าคุณป่วย ต้องไปรับการรักษาจากสถานพยาบาลเบื้องต้นก่อน
แล้วขอใบส่งตัวเพื่อมารักษาต่อที่โรงพยาบาล กรณีของเรา(ที่น้ำตาร่วงจากความเจ็บและเสียใจที่หมอไม่รับรักษาT T) ได้รับความช่วยเหลือจาก Professor ที่นี่แนะนำให้เราไปหาหมอที่ รพ.มหาวิทยาลัยซึ่ง มีหมอที่พูดภาษาอังกฤษได้ เย่ๆๆๆ
ไปถึงโรงพยาบาลก็ตามที่บอกไปค่ะ จนท.ถามหาใบส่งตัว แต่เราบอกเค้าไปว่าเราเป็นนักศึกษาและบอกชื่อ Professor ไป จนท.โทรหาโปรในทันที คุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วเค้าก็พาเราไปทำบัตร รับคิว นั่งรอตรวจ
สุดท้ายเราได้รับการรักษาจากคุณหมอที่น่ารักมาก พยายามสื่อสารและช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี app แปลภาษาต่าง ๆ นานา ถูกงัดมาใช้หมดค่ะ
สำหรับค่ารักษาพยาบาลนั้นนนนนน
แพงค่ะ บอกเลย จนท.ผู้น่ารักพยายามอธิบายว่า ถ้าเป็นคนญี่ปุ่นจะมี insurance card ทุกคนจะจ่ายค่ารักษาแค่ประมาณ 30 % เท่านั้น กรณีไม่มีอย่างเรา
คือจ่ายเต็มจ้า ที่พีคไปกว่านั้น ถ้าไม่มีใบส่งตัวจากสถานพยาบาลเบื้องต้นจะมีค่าแรกเข้า (ขอใช้คำนี้ ใครอ่านญี่ปุ่นออกช่วยแปลที555) 10,000 เยน โดยประมาณ ที่เราต้องจ่ายจ้า เราสังเกตดูว่ารอบถัดไปที่มีใบนัด เราไม่ต้องจ่ายค่าแรกเข้านี้แล้วค่ะ
บรรยากาศรพ.ที่นี่ ดีค่ะ นึกภาพรพ.เอกชนบ้านเรา ประมาณนั้นเลยค่ะ ไม่วุ่นวาย มีเครื่องอัตโนมัติต่าง ๆ มากมาย เช่น เครื่องประวัติ+บัตรคิว คือถ้าคุณมาตามนัดของหมอ มาถึงเสียบบัตรที่ตู้ เครื่องจะส่งข้อมูลเราไปหาคุณหมอและปริ้นท์ประวัติที่มีเลขคิวของเรามาให้ เราก็หยิบใส่แฟ้ม เดินไปนั่งรอพบหมอที่แผนกได้เลย ขั้นตอนการจ่ายเงินก็เช่นกัน นำบัตรคิวไปแสกนที่เครื่องจ่ายเงิน กดเลือกจ่ายเงินสดหรือบัตร แล้วก็รับใบเสร็จ กลับบ้านได้จ้า แทบไม่ต้องคุยกับใคร มาถึงคุยกับหมอแค่คนเดียว 555
อันนี้คือเครื่องรับบัตรคิวนะคะ เสียบบัตรโรงพยาบาลไป แล้วรอรับกระดาษประวัติที่ช่องข้างล่างค่ะ
อีกเรื่องนึงที่หลาย ๆ คนน่าจะพอทราบ สถานพยาบาลที่นี่ไม่จ่ายยาเองนะคะ เค้าจะให้ใบสั่งยามา แล้วเราก็นำไปซื้อยาที่ร้านยาเอง ส่วนมากก็จะมีร้านยาอยู่ใกล้ ๆ ค่ะ ก่อนอื่นเค้าจะถามหาสมุดบันทึกการใช้ยา (ที่เราไม่มี 555) และมีเอกสารให้หรอกว่าแพ้ยาอะไร แพ้อาหารอะไร ต้องการรับยาที่เป็น generic หรือ original เสร็จแล้วก็รอรับยา ฟังคำอธิบาย มีเอกสารอธิบายยาที่ละเอียดมากมากให้ด้วยค่ะ อันนี้เราว่าดี ใส่ใจผู้ป่วยอย่างแท้จริง รับยา จ่ายเงิน กลับบ้านค่ะ
สนนราคาค่ารักษา เทียบได้กับโรงพยาบาลเอกชนบ้านเราค่ะ ค่ารักษาขั้นต่ำคือ 1,500 บาท แน่ ๆ ค่ายาก็ประมาณกัน 1,500 บาท แน่ ๆ ไม่รวมค่าแรกเข้านะคะ ของเราพบแพทย์ 3 ครั้ง และมียากิน รวมแล้วหมื่นกว่าบาทอยู่เหมือนกันค่ะ ตอนนี้ทำเรื่องเคลมประกันไปแล้ว หวังว่าจะราบรื่นเคลมง่ายไร้ปัญหาค่ะ
อ่อ การเคลมประกันเดินทางเราต้องขอใบรับรองแพทย์จากคุณหมอด้วยทุกครั้งนะคะ ภาษาญี่ปุ่นก็ใช้ได้ค่ะ เพียงแค่มีชื่อเราและข้อมูลการรักษาที่ระบุโรคและอาการครบถ้วนก็โอเคแล้ว มีความน่ารักนิดนึงที่คุณหมอทำหน้าตกใจแล้วถามกลับมาว่า In english wahhhhhhhh อยากจะถามว่า.. หมอคะ หมอจะตกใจทำไม ก็ที่คุยกันมานี่ก็ภาษาอังกฤษนะ ยูพูดได้ จะตื่นเต้นทำมายยยย คนไข้ตื่นเต้นตามทุกทีที่หมอขึ้นเสียงสูง 55555
ดังนั้นแล้ว ประกันสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญค่ะ อย่าละทิ้งเพิกเฉยในข้อนี้เด็ดขาด จำไว้ให้ขึ้นใจ หยิบพาสปอร์ตเมื่อไร อย่าลืมกดซื้อประกันเดินทางด้วยเสมอ
จบข่าวสำหรับการหาหมอในญี่ปุ่นของเรา
ต่อมา เรื่องการทำงาน
คนที่นี่เข้างานตรงเวลามากค่ะ ของเรา 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น จันทร์ถึงเสาร์ เราไม่เคยมาก่อนและกลับก่อนอาจารย์เลยซักวัน นั่นคือ แปลว่าเค้ามาทำงานเช้ามากและกลับกี่โมงไม่รู้ บางคน สามสี่ทุ่มก็ยังอยู่ ที่เคย ๆ ได้ยินมาคือเรื่องจริงเลยค่ะ ถึงไม่มีอะไรเค้าก็จะยังนั่งทำงาน หางานอะไรทำไปเรื่อย ส่วนนักศึกษาก็มาตรงเวลาค่ะ กลับตรงเวลา ไม่มีใครกลับก่อนเวลา จะว่าไป เวลาปาร์ตี้เค้าก็จริงจังค่ะ ที่ทำงานของเราจะมีออกไปกินข้าวร้านอาหารกันเดือนละครั้ง ทานอาหารร่วมกันและกินเหล้าเบียร์ปาร์ตี้กันอย่างสุดเหวี่ยง work hard, play harder จริงจัง
เดี๋ยวจะเอารูปมาลงเพิ่มเติมประกอบการรีวิวนะคะ ^^
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้