ปล. มาแก้ไขเนื้อความให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นครับ และเพิ่มไฟล์อาขยานลงไป อยากให้ทุกท่านได้อ่าน และได้ฟังคลิปให้ครบครับ อาขยานเพราะและซาบซึ้งจริงๆ ครับ
"โอ้บิดาและมารดา พระคุณท่านหนาดังแผ่นฟ้าแผ่นดิน
พระปฐมบรมมุนินทร์ ทั่วทั้งแดนดินยอมยกย่องบูชา
เกิดมาแก้วตายาใจ แม้นมีผู้ใดคอยป้อนข้าวป้อนปลา
ยามเจ็บไข้ผู้ใดหนอเยียวยา สอนวิชาให้อยู่รอดปลอดภัย
เติบใหญ่เป็นผู้เป็นคน มีความสุขล้นมียศศักดินา
พ่อแม่คอยอนุโมทนา คอยเมตตาให้ลูกหล้ายามจน
ก่อนตายมลายชีวิน ปันให้ทรัพย์สินบรรดาลูกทุกคน
นี่แหละหนาบุพการีชน ในสากลหาเทียบเท่าเปล่ามี
ท่านคือร่มโพธิ์ทองของเรา เป็นลูกเป็นเต้าอย่าปลาบปลื้มลืมตน
ท่านเศรษฐีหรือผู้ดีมีจน น้อมกมลปรนนิบัติพัดวี
กตัญญูกตเวที อันเครื่องหมายนี้ตีค่าราคาคน
ปราชญ์โบราณสรรเสริญแยบยล ให้เป็นคนล้ำเลิศประเสริฐงาม
อุปถัมภ์เมื่อยามเฒ่าแก่ ทั้งพ่อทั้งแม่และปู่ย่าตายาย
หมอบเคารพนบอภิวันท์อย่าหน่าย พร้อมพะนอใจให้แสนสุขสำราญ
แทนคุณเมื่อถึงคราวายชนม์ เร่งสร้างกุศลสร้างผลบุญส่งไป (ช่วยฟังส่วนที่เป็นตัวหนาหน่อยครับ)
กุศลทานเหมือนดั่งยานกลไก ไหลเลื่อนไปหนุนเนื่องเมืองสวรรค์
เทวาอารักษ์เบื้องบน โมทนากุศลในผลบุญให้ทาน
เปล่งวาจาสาธุสาธุการ แล้วลงยันต์เขียนในแผ่นทอง
ผู้ใดได้ก่อกู้กรรม ทำความเจ็บซ้ำให้พ่อแม่แห่งตน
ปลิดชีวีบุพการีชน โทษทุกข์ทนถึงก้นอเวจี
กตัญญูกตเวทิตัง เป็นเครื่องตอกย้ำเน้นในเรื่องแทนคุณ
ลูกกี่คนพ่อแม่เคยเกื้อกูล แม้นสำนึกบุญแทนพระคุณท่านเทอญ ฯ"


สวัสดีครับ ... ว่าด้วยเรื่องความกตัญญูกตเวทิตา... กันครับ
สรภัญญะ (ไฟล์แรก) เปิดเรื่องขื่อว่า "พระคุณพ่อพระคุณแม่" ตามชื่อเลยครับ เนื้อความในตอนต้นเน้นกล่าวถึงหน้าที่ของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาอย่างยากเย็น เลี้ยงลูกด้วยความยากลำบาก จนลูกสามารถยืนได้ด้วยตนเอง นับเป็นเมตตาและพระคุณอันสูงสุดที่หลั่งไหลมาสู่ลูก ซึ่งลูกไม่มีทางที่จะตอบแทนได้หมดในชาติภพนี้ ดังที่ปราชญ์โบราณได้กล่าวแล้วว่า ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี ทั้งยังเป็นสิ่งที่วัดคุณค่าและเพิ่มคุณค่าให้แก่คนๆ หนึ่ง (คุณค่าของคนหาใช่ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ จำนวนผัวเมีย อำนาจ หรือตำแหน่งหน้าที่การงานไม่) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเชิญชวนให้อภิชาติชนทั้งหลายดูแลอุปัฏฐากพ่อแม่ในยามที่ท่านแก่ชรา ดูแลทั้งร่างกายและหัวใจ (พะเน้าพะนออเซาะ) พูดดี ทำดี อดทนต่อโรคาพยาธิหรือความเจ็บป่วยของพ่อแม่ เพื่อทดแทนคุณของท่าน เมื่อท่านสิ้นแล้ว ก็ทำบุญทำทานไปหา ในท้ายที่สุดแล้ว เทพเทวาอารักษ์ต่างยกย่องสรรเสริญและอนุโมทนาสาธุการในความกตัญญูนี้
บางคนอาจจะตั้งคำถามว่า
1. เรากตัญญูไปทำไม
2. กตัญญูแล้วเราจะได้อะไร
3. กตัญญูแล้วชีวิตเราจะดีขึ้นไหม
4. ทำไมกตัญญูแล้วชีวิตยังตกต่ำเหมือนเดิม
ตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านว่า "กตัญญู" แปลว่า รู้คุณ ส่วน "กตเวทิตา" แปลว่า ตอบแทนคุณ ดังนั้น คำว่า กตัญญูกตเวทิตา แปลว่า การรู้จักคุณและเมื่อมีโอกาสตอบแทนคุณ ก็ได้ตอบแทนคุณ แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ก็ตาม
วันนี้จะมาเล่าให้ฟังครับ เกี่ยวกับเรื่องราวของความกตัญญู
โดยเฉพาะกับพ่อแม่ ครูอาจารย์ และสิ่งใกล้ตัว
1. ความกตัญญูกตเวทิตากับพ่อแม่ บางคนอาจทำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว คือ หาโอกาสตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง
แต่ด้วยความที่ปัจจุบันเป็นสังคมผู้สูงอายุ มีคนแก่หรือพ่อแม่ปู่ย่าตายายเราเพิ่มขึ้นในสังคมไทย เรามักจะเห็นปัญหาบ่อยๆ เช่น
-คนแก่ถูกทอดทิ้ง
-ลูกเกี่ยงกันดูแลพ่อแม่
-ลูกบ่น ลูกโกรธ ว่าการดูแลพ่อแม่มันเหนื่อย
-ลูกน้อยใจที่ดูแลพ่อแม่แล้วชีวิตยังไม่เจริญก้าวหน้า
เราจะมาพูดให้ฟังว่า จากประสบการณ์การดูแลคุณตานั้น ตอนนั้นเราเหนื่อยมาก เราต้องซื้อข้าว ซื้อน้ำ ซื้ออาหาร ไปให้ทั้งคนป่วยและคนเฝ้าที่โรงพยาบาล ถึงแม้จะเหนื่อยมาก หนักมาก แต่เราก็ยอมทำ (บ่นบ้าง เหนื่อยบ้าง) เพราะเวลาที่ตาเรานอนร้องครวญครางเจ็บ - ป่วย - ปวด เราแค่หวังว่า เราจะมีส่วนช่วยทำให้ตาเราหายเจ็บหายปวดหายป่วยบ้าง เราจึงดูแลร่างกายของตาเราให้ดีที่สุด
สิ่งที่เราลืม คือ ลืมดูแลหัวใจของตาเรา เราลืมว่าตาก็มีหัวใจ แพทย์ พยาบาล ต่างก็ใช้ทฤษฎีต่างๆ ทางการแพทย์ดูแลร่างกายของตามากพอแล้ว เราเองในฐานะลูกหลาน เวลาท่านบ่น ท่านบอกว่าป่วย อยากพัก เราจึงมีหน้าที่เข้าใจ และหากถูกจับมัดติดเตียง ก็คงต้องคลายมัดบ้าง ไม่ใช่มัดตลอดเวลา พอมานึกได้ตอนนี้แล้วเราเสียใจในบางอย่างที่ไม่ได้ดูแลเรื่องหัวใจ เอาแต่ที่ตัวเราเองสบายใจ
แต่เราจะบอกว่าตอนนี้ตาเราเสียแล้ว เราไม่เคยเสียใจเลย เพราะเกือบตลอดเวลาที่ตาเราป่วยและเจ็บหนักๆ เราเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
ส่วนตอนนี้ยายเราป่วย ลักษณะของยายเราคือ นอนติดเตียง ต้องใส่แพมเพิร์ส ชอบถามเวลาซ้ำๆ ซากๆ ชอบถามและพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ซากๆ ยึดติดสิ่งของ เช่น นาฬิกา เสื้อผ้า กระเป๋าเงิน รองเท้า (กลัวว่าตายไปจะเอาของไปไม่ครบ) ชอบนั่งมองหน้าบ้าน กลัวว่าลูกขี้เมาจะมาขอเงิน บางครั้งเราโมโหบ้าง เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า ยายก็มีหัวใจ อาจจะต้องพูดดีๆ เอาอกเอาใจบ้าง
เราถือคติว่า เราจะทำหน้าที่หลานให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะไม่รู้ว่า ยายซึ่งเลี้ยงเรามาจะอยู่กับเราได้อีกนานเท่าไหร่ เวลาท่านสิ้น เราจะได้ไม่เสียใจ
แม้ว่าไม่มีใครอยากดูแลคนป่วย เพราะการดูแลคนป่วยนั้น หนักมาก ถึงมากที่สุด เราในฐานะลูกหลาน จึงต้องศึกษาเรียนรู้จากกระทู้ต่างๆ ในเฟซบุ๊ก ในพันทิป รวมทั้งหลักการต่างๆ จากสื่อต่างๆ เพื่อดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ โดยไม่ได้ให้กระทบทั้งร่างกายและจิตใจ
ที่เราทำทั้งหมด เราแค่คิดว่า ปู่ย่าตายาย มีบุญคุณกับเรา ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนขนม ให้เงินตามกำลังทรัพย์ อยู่เป็นเพื่อน พูดคุย หยอกล้อ พาไปเที่ยว เราเลยต้องตอบแทนบุญคุณบ้าง ตามกำลังที่เรามีอยู่
ส่วนพ่อแม่ของเรา ก็ช่วยกันดูแลปู่ย่าตายาย ยายมาอยู่บ้านเรา พ่อก็ช่วยดูแลยายด้วย ในขณะเดียวกัน พ่อก็ไปดูแลย่า เปลี่ยนแพมเพิร์สให้ย่า อาบน้ำให้ย่า พาย่าเดิน ที่บ้านย่าด้วย (บ้านใกล้กัน ขี่รถไปๆ มาๆ)
ตอนเราอยู่ที่มหาวิทยาลัย เราด็ดูแล-ช่วยเหลือ อาจารย์ผู้ใหญ่ให้รอดพ้นจากวิกฤติไปได้เช่นเดียวกัน เพื่อหวังจะตอบแทนบุญคุณที่อาจารย์ได้ให้ความรู้ เปรียบเสมือนเป็นพ่อแม่คนที่สองของเรา
เรามองพ่อแม่ปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์อยู่ในสถานะเดียวกัน คือ เป็นผู้ให้ (กำเนิด) ดังนั้น เราสามารถมองข้ามข้อเสียได้ทุกอย่าง
เราอยากจะบอกว่า ทุกๆ ครั้งที่เจออุปสรรค ทุกๆ ครั้งที่อยู่ในช่วงคับขันของชีวิต ทุกๆ ครั้งที่แบบจะไม่ไหวแล้วนะ จะไม่ไหวแล้ว เรารู้สึกได้ว่าจะมีคนที่คอยยื่นมือมาพยุงหรือโอบอุ้มเราตลอด จนทำให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤติไปได้
ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนที่จะต้องดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์หรือใครๆ ก็ตาม สิ่งนี้เป็นโอกาสให้เราได้สร้างสมบุญบารมี และสิ่งนี้เป็นปัจจัตตัง คือ ต้องทำด้วยตนเองเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ส่งผลดีโดยตรงต่อตัวเรา
ใครมีความทุกข์ เรื่องการดูแลคนป่วย ก็มาระบายได้ ส่วนถ้าใครมีประสบการณ์ปาฏิหาริย์ หรืออานิสงส์ของการกตัญญูกตเวทิตา ก็เข้ามาแบ่งปันกันได้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า "นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายแห่งคนดี ในทางโลกล้วนได้รับการสรรเสริญ ในทางธรรมล้วนได้รับการยกย่อง
พ่อแม่อยากจะบอกเพียงว่า :-

"พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววานของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนนาน ต้องร้าวรานสลายไป
ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า เพียเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ
เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ผล เติบโตจนสง่างาม
ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง"
แบ่งปันประสบการณ์การดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์ ที่ลูกๆ หลานๆ คนอื่นมักจะไม่เกี่ยงกันทำหรือโยนให้ใครคนใดคนหนึ่งทำ
"โอ้บิดาและมารดา พระคุณท่านหนาดังแผ่นฟ้าแผ่นดิน
พระปฐมบรมมุนินทร์ ทั่วทั้งแดนดินยอมยกย่องบูชา
เกิดมาแก้วตายาใจ แม้นมีผู้ใดคอยป้อนข้าวป้อนปลา
ยามเจ็บไข้ผู้ใดหนอเยียวยา สอนวิชาให้อยู่รอดปลอดภัย
เติบใหญ่เป็นผู้เป็นคน มีความสุขล้นมียศศักดินา
พ่อแม่คอยอนุโมทนา คอยเมตตาให้ลูกหล้ายามจน
ก่อนตายมลายชีวิน ปันให้ทรัพย์สินบรรดาลูกทุกคน
นี่แหละหนาบุพการีชน ในสากลหาเทียบเท่าเปล่ามี
ท่านคือร่มโพธิ์ทองของเรา เป็นลูกเป็นเต้าอย่าปลาบปลื้มลืมตน
ท่านเศรษฐีหรือผู้ดีมีจน น้อมกมลปรนนิบัติพัดวี
กตัญญูกตเวที อันเครื่องหมายนี้ตีค่าราคาคน
ปราชญ์โบราณสรรเสริญแยบยล ให้เป็นคนล้ำเลิศประเสริฐงาม
อุปถัมภ์เมื่อยามเฒ่าแก่ ทั้งพ่อทั้งแม่และปู่ย่าตายาย
หมอบเคารพนบอภิวันท์อย่าหน่าย พร้อมพะนอใจให้แสนสุขสำราญ
แทนคุณเมื่อถึงคราวายชนม์ เร่งสร้างกุศลสร้างผลบุญส่งไป (ช่วยฟังส่วนที่เป็นตัวหนาหน่อยครับ)
กุศลทานเหมือนดั่งยานกลไก ไหลเลื่อนไปหนุนเนื่องเมืองสวรรค์
เทวาอารักษ์เบื้องบน โมทนากุศลในผลบุญให้ทาน
เปล่งวาจาสาธุสาธุการ แล้วลงยันต์เขียนในแผ่นทอง
ผู้ใดได้ก่อกู้กรรม ทำความเจ็บซ้ำให้พ่อแม่แห่งตน
ปลิดชีวีบุพการีชน โทษทุกข์ทนถึงก้นอเวจี
กตัญญูกตเวทิตัง เป็นเครื่องตอกย้ำเน้นในเรื่องแทนคุณ
ลูกกี่คนพ่อแม่เคยเกื้อกูล แม้นสำนึกบุญแทนพระคุณท่านเทอญ ฯ"
สรภัญญะ (ไฟล์แรก) เปิดเรื่องขื่อว่า "พระคุณพ่อพระคุณแม่" ตามชื่อเลยครับ เนื้อความในตอนต้นเน้นกล่าวถึงหน้าที่ของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามาอย่างยากเย็น เลี้ยงลูกด้วยความยากลำบาก จนลูกสามารถยืนได้ด้วยตนเอง นับเป็นเมตตาและพระคุณอันสูงสุดที่หลั่งไหลมาสู่ลูก ซึ่งลูกไม่มีทางที่จะตอบแทนได้หมดในชาติภพนี้ ดังที่ปราชญ์โบราณได้กล่าวแล้วว่า ความกตัญญู เป็นเครื่องหมายของคนดี ทั้งยังเป็นสิ่งที่วัดคุณค่าและเพิ่มคุณค่าให้แก่คนๆ หนึ่ง (คุณค่าของคนหาใช่ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ จำนวนผัวเมีย อำนาจ หรือตำแหน่งหน้าที่การงานไม่) ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเชิญชวนให้อภิชาติชนทั้งหลายดูแลอุปัฏฐากพ่อแม่ในยามที่ท่านแก่ชรา ดูแลทั้งร่างกายและหัวใจ (พะเน้าพะนออเซาะ) พูดดี ทำดี อดทนต่อโรคาพยาธิหรือความเจ็บป่วยของพ่อแม่ เพื่อทดแทนคุณของท่าน เมื่อท่านสิ้นแล้ว ก็ทำบุญทำทานไปหา ในท้ายที่สุดแล้ว เทพเทวาอารักษ์ต่างยกย่องสรรเสริญและอนุโมทนาสาธุการในความกตัญญูนี้
บางคนอาจจะตั้งคำถามว่า
1. เรากตัญญูไปทำไม
2. กตัญญูแล้วเราจะได้อะไร
3. กตัญญูแล้วชีวิตเราจะดีขึ้นไหม
4. ทำไมกตัญญูแล้วชีวิตยังตกต่ำเหมือนเดิม
ตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านว่า "กตัญญู" แปลว่า รู้คุณ ส่วน "กตเวทิตา" แปลว่า ตอบแทนคุณ ดังนั้น คำว่า กตัญญูกตเวทิตา แปลว่า การรู้จักคุณและเมื่อมีโอกาสตอบแทนคุณ ก็ได้ตอบแทนคุณ แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ก็ตาม
วันนี้จะมาเล่าให้ฟังครับ เกี่ยวกับเรื่องราวของความกตัญญู
โดยเฉพาะกับพ่อแม่ ครูอาจารย์ และสิ่งใกล้ตัว
1. ความกตัญญูกตเวทิตากับพ่อแม่ บางคนอาจทำเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว คือ หาโอกาสตอบแทนบุญคุณท่านบ้าง
แต่ด้วยความที่ปัจจุบันเป็นสังคมผู้สูงอายุ มีคนแก่หรือพ่อแม่ปู่ย่าตายายเราเพิ่มขึ้นในสังคมไทย เรามักจะเห็นปัญหาบ่อยๆ เช่น
-คนแก่ถูกทอดทิ้ง
-ลูกเกี่ยงกันดูแลพ่อแม่
-ลูกบ่น ลูกโกรธ ว่าการดูแลพ่อแม่มันเหนื่อย
-ลูกน้อยใจที่ดูแลพ่อแม่แล้วชีวิตยังไม่เจริญก้าวหน้า
เราจะมาพูดให้ฟังว่า จากประสบการณ์การดูแลคุณตานั้น ตอนนั้นเราเหนื่อยมาก เราต้องซื้อข้าว ซื้อน้ำ ซื้ออาหาร ไปให้ทั้งคนป่วยและคนเฝ้าที่โรงพยาบาล ถึงแม้จะเหนื่อยมาก หนักมาก แต่เราก็ยอมทำ (บ่นบ้าง เหนื่อยบ้าง) เพราะเวลาที่ตาเรานอนร้องครวญครางเจ็บ - ป่วย - ปวด เราแค่หวังว่า เราจะมีส่วนช่วยทำให้ตาเราหายเจ็บหายปวดหายป่วยบ้าง เราจึงดูแลร่างกายของตาเราให้ดีที่สุด
สิ่งที่เราลืม คือ ลืมดูแลหัวใจของตาเรา เราลืมว่าตาก็มีหัวใจ แพทย์ พยาบาล ต่างก็ใช้ทฤษฎีต่างๆ ทางการแพทย์ดูแลร่างกายของตามากพอแล้ว เราเองในฐานะลูกหลาน เวลาท่านบ่น ท่านบอกว่าป่วย อยากพัก เราจึงมีหน้าที่เข้าใจ และหากถูกจับมัดติดเตียง ก็คงต้องคลายมัดบ้าง ไม่ใช่มัดตลอดเวลา พอมานึกได้ตอนนี้แล้วเราเสียใจในบางอย่างที่ไม่ได้ดูแลเรื่องหัวใจ เอาแต่ที่ตัวเราเองสบายใจ
แต่เราจะบอกว่าตอนนี้ตาเราเสียแล้ว เราไม่เคยเสียใจเลย เพราะเกือบตลอดเวลาที่ตาเราป่วยและเจ็บหนักๆ เราเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด
ส่วนตอนนี้ยายเราป่วย ลักษณะของยายเราคือ นอนติดเตียง ต้องใส่แพมเพิร์ส ชอบถามเวลาซ้ำๆ ซากๆ ชอบถามและพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ซากๆ ยึดติดสิ่งของ เช่น นาฬิกา เสื้อผ้า กระเป๋าเงิน รองเท้า (กลัวว่าตายไปจะเอาของไปไม่ครบ) ชอบนั่งมองหน้าบ้าน กลัวว่าลูกขี้เมาจะมาขอเงิน บางครั้งเราโมโหบ้าง เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่า ยายก็มีหัวใจ อาจจะต้องพูดดีๆ เอาอกเอาใจบ้าง
เราถือคติว่า เราจะทำหน้าที่หลานให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพราะไม่รู้ว่า ยายซึ่งเลี้ยงเรามาจะอยู่กับเราได้อีกนานเท่าไหร่ เวลาท่านสิ้น เราจะได้ไม่เสียใจ
แม้ว่าไม่มีใครอยากดูแลคนป่วย เพราะการดูแลคนป่วยนั้น หนักมาก ถึงมากที่สุด เราในฐานะลูกหลาน จึงต้องศึกษาเรียนรู้จากกระทู้ต่างๆ ในเฟซบุ๊ก ในพันทิป รวมทั้งหลักการต่างๆ จากสื่อต่างๆ เพื่อดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ โดยไม่ได้ให้กระทบทั้งร่างกายและจิตใจ
ที่เราทำทั้งหมด เราแค่คิดว่า ปู่ย่าตายาย มีบุญคุณกับเรา ป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนขนม ให้เงินตามกำลังทรัพย์ อยู่เป็นเพื่อน พูดคุย หยอกล้อ พาไปเที่ยว เราเลยต้องตอบแทนบุญคุณบ้าง ตามกำลังที่เรามีอยู่
ส่วนพ่อแม่ของเรา ก็ช่วยกันดูแลปู่ย่าตายาย ยายมาอยู่บ้านเรา พ่อก็ช่วยดูแลยายด้วย ในขณะเดียวกัน พ่อก็ไปดูแลย่า เปลี่ยนแพมเพิร์สให้ย่า อาบน้ำให้ย่า พาย่าเดิน ที่บ้านย่าด้วย (บ้านใกล้กัน ขี่รถไปๆ มาๆ)
ตอนเราอยู่ที่มหาวิทยาลัย เราด็ดูแล-ช่วยเหลือ อาจารย์ผู้ใหญ่ให้รอดพ้นจากวิกฤติไปได้เช่นเดียวกัน เพื่อหวังจะตอบแทนบุญคุณที่อาจารย์ได้ให้ความรู้ เปรียบเสมือนเป็นพ่อแม่คนที่สองของเรา
เรามองพ่อแม่ปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์อยู่ในสถานะเดียวกัน คือ เป็นผู้ให้ (กำเนิด) ดังนั้น เราสามารถมองข้ามข้อเสียได้ทุกอย่าง
เราอยากจะบอกว่า ทุกๆ ครั้งที่เจออุปสรรค ทุกๆ ครั้งที่อยู่ในช่วงคับขันของชีวิต ทุกๆ ครั้งที่แบบจะไม่ไหวแล้วนะ จะไม่ไหวแล้ว เรารู้สึกได้ว่าจะมีคนที่คอยยื่นมือมาพยุงหรือโอบอุ้มเราตลอด จนทำให้เราสามารถผ่านพ้นวิกฤติไปได้
ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนที่จะต้องดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์หรือใครๆ ก็ตาม สิ่งนี้เป็นโอกาสให้เราได้สร้างสมบุญบารมี และสิ่งนี้เป็นปัจจัตตัง คือ ต้องทำด้วยตนเองเท่านั้นถึงจะรู้ว่าเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ส่งผลดีโดยตรงต่อตัวเรา
ใครมีความทุกข์ เรื่องการดูแลคนป่วย ก็มาระบายได้ ส่วนถ้าใครมีประสบการณ์ปาฏิหาริย์ หรืออานิสงส์ของการกตัญญูกตเวทิตา ก็เข้ามาแบ่งปันกันได้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังดูแลพ่อแม่ปู่ย่าตายายครูบาอาจารย์
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า "นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา" ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายแห่งคนดี ในทางโลกล้วนได้รับการสรรเสริญ ในทางธรรมล้วนได้รับการยกย่อง
พ่อแม่อยากจะบอกเพียงว่า :-
จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววานของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
แต่ชีพมิทนนาน ต้องร้าวรานสลายไป
ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนแก่ชะแรวัย คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า เพียเมตตาช่วยอาทร
ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ
เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ผล เติบโตจนสง่างาม
ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง"