World war Z เขียนโดย Max Brooks ถูกตีพิมพ์และวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อเดือน
กันยายน 2006 ถือเป็นนิยายแนวซอมบี้ที่ให้มุมมองที่กว้างกว่าเรื่องอื่น ๆ ในแนวเดียวกันซึ่งเป็นมุมมองของบุคคลหรือกลุ่มคนในวิกฤติซอมบี้
ขณะที่ World war Z ให้มุมมองต่อวิกฤติซอมบี้ในระดับรัฐบาลและนานาชาติโดยให้ผู้อ่านประกอบภาพขึ้นเอาเองจากปากคำของบุคคลต่าง ๆ
หลากหลายอาชีพและเชื้อชาติที่ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่อง
ฉบับภาพยนตร์ได้ถูกสร้างและฉายในปี 2013 ซึ่งตัวหนังนั้นแม้จะดูได้สนุกและลุ้นระทึกแต่สำหรับแฟน ๆ ฉบับนิยายแล้ว
นี่คือฝันร้าย (ป่วยแล้วไม่โดนกัด เป็นมุกที่ชวน facepalm ที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยดูหนังมาแต่ก็สนใจว่าผู้เขียนบทจะเขียนให้จบลงอย่างไร)
ฉบับภาพยนตร์มีแผนที่จะสร้างภาคต่อและจะเริ่มถ่ายทำในปี 2019 แต่ก็ถูกยกเลิกไประหว่างกำลังเตรียมการโดยเหตุผลคาดว่า
เพราะจีนที่เป็นตลาดใหญ่แบนหนังแนวผีและซอมบี้
สุดท้ายจึงไม่รู้ว่า WWZ ฉบับภาพยนตร์เรื่องราวจะจบลงแบบไหนและน่าจะเป็นสิ่งที่ค้างคาใจของแฟน ๆ WWZ ฉบับภาพยนต์
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ค้างคา ผู้เขียนจึงจะขอเล่าเรื่องของ WWZ ฉบับนิยายโดยสรุปให้ได้อ่าน
เพื่อให้แฟน ๆ ฉบับภาพยนตร์จะได้ไม่รู้สึกค้างคา
เพื่อเปรียบเทียบฉบับนิยายและฉบับภาพยนต์
และเพื่อให้ผู้อ่านตัดสินว่าฉบับนิยายกับฉบับภาพยนต์แบบไหนถูกฉโลกตนมากกว่ากัน

ก่อนอื่น เรามาปรับพื้นอธิบายความแตกต่างระหว่างฉบับนิยายและภาพยนต์กันก่อน
WWZ ฉบับนิยายและภาพยนตร์นั้นมีจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือซอมบี้
โดยในฉบับภาพยนตร์นั้นซอมบี้จะได้รับอิทธิพลมาจากเรื่อง 28 Day later ที่ซอมบี้วิ่งไล่ล่าเหยื่ออย่างดุดัน
และเมื่อมนุษย์ติดเชื่อแล้วจะกลายเป็นซอมบี้ในเวลาเพียงชั่วครู่แต่ก็สามารถหยุดยั้งได้ง่ายกว่า
ขณะที่ในฉบับนิยายนั้นซอมบี้จะเป็นคลาสสิกซอมบี้ คือเคลื่อนที่ได้ช้าและระยะฟักตัวของเชื้อนาน
ทำให้มนุษย์ที่ติดเชื่อแล้วจะยังไม่แสดงอาการของโรคนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ติดเชื้อแต่ก็หยุดยั้งได้ยากกว่ามาก
ซึ่งจะได้เล่าถึงต่อไปว่าทำไม

ซอมบี้ตัวแรกของโลก
ในฉบับภาพยนต์นั้นเล่าว่าผู้ป่วยหมายเลข 0 หรือซอมบี้ตัวแรกของโลกที่พบนั้นมาจากประเทศเกาหลีเหนือ
ในขณะที่ฉบับนิยายเล่าว่าผู้ป่วยหมายเลข 0 ถูกพบในชนบทห่างไกลของจีน (ไม่ต้องสงสัยว่าเนื้อหาถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้หนังได้รับอนุญาตให้ฉายในจีน)
โดยหมอที่ชื่อว่า Kwang Jingshu (น่าจะอ่านได้ว่า กวาง จิง ชู) ซึ่งเล่าว่า
จากคำบอกเล่าของแม่ของคนไข้ ผู้ป่วยไปดำน้ำหาของกับพ่อแล้วจู่ ๆ ก็ร้องไห้กลับขึ้นมาจากน้ำเพราะถูกอะไรบางอย่างกัด ส่วนคนพ่อหายสาปสูญ
ต่อมาลูกของเธอก็บ้าคลั่งและได้กัดคนไปแล้วจำนวน 7 คน และทั้ง 7 นั้นตอนนี้อยู่ในสภาพที่แทบไม่ได้สติแล้ว
กวาง จิง ชู จึง Vdo call ติดต่อกับเพื่อนหมอที่สถาบันโรคติดเชื้อและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
จากนั้นเพื่อนของเค้าก็โทรติดต่อไปยังหน่วยงานแห่งหนึ่งและขอให้ กวาง จิง ชู รออยู่กับที่ หลังจากนั้นก็มี ฮ. ทหารมาลงจอด
มีคนในชุดป้องกันเชื้อโรค 15 คนลงมาบอกว่ามาจากกระทรวงสาธารณะสุข พวกเค้าเริ่มจากมัดมือมัดเท้าและใส่ตะกร้อปากผู้ป่วยทั้ง
7 คนก่อนเอาขึ้น ฮ. ต่อมาก็ไปหาเด็กที่ถูกขังไว้ พากลับออกมาในถุงพลาสติก จากนั้นก็เรียกชาวบ้านทุกคนมารวมกันก่อนจะ
เปลื้องผ้า เจาะเลือดและทยอยตรวจร่างกายอย่างละเอียดทีละคน
“นี่คือการลงโทษจากเมืองผี” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดไว้

จะเห็นได้ว่าต้นตอของโรคซอมบี้มาจากจีนและซอมบี้ที่พบก็ไม่ใช่ตัวแรกจริง ๆ เพราะทางการจีนทราบเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้วจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
และจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลคนอื่น ๆ ก็จะพบว่าการแพร่กระจายของเชื้อนั้นเกิดขึ้น
ในขณะที่เชื้อยังอยู่ในภาวะฝักตัวและผู้ติดเชื้อยังไม่แสดงอาการของโรค
โดยเชื้อนั้นแพร่ผ่าน 3 ช่องทางหลัก
1. ผ่านขบวนการลักลอบค้ายาเสพติด
โดยผู้ติดเชื้อเป็นสมาชิกในกลุ่มที่ลักลอบขนยาเข้าประเทศต่าง ๆ
แล้วระหว่างทางหรือเมื่อถึงที่หมายแล้วอาการกำเริบไล่กัดและแพร่เชื้อให้กับเพื่อนร่วมทีมเมื่อตายก็กลายเป็นซอมบี้ออกไล่ล่ากัดคนในพื้นที่ต่อ

2. ผ่านกระบวนการลักลอบเข้าเมืองหรือค้ามนุษย์เช่น ผู้ลี้ภัย, ผู้ลักลอบเข้าเมือง, แรงงานผิดกฎหมาย เป็นต้น
โดยเฉพาะในช่วงที่การแพร่ระบาดของเชื้อเริ่มเป็นที่รับรู้นั้นจำนวนผู้ลักลอบเข้าเมืองก็ยิ่งสูงขึ้น
แม้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะเพิ่มความเข้มงวดในการเข้าเมืองแต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้
บ้างเพราะเจ้าหน้าที่รับสินบนหรือไม่ก็ความประมาทเพราะผู้เข้าเมืองมีความน่าเชื่อถือสูง หรือ หลอกตาเจ้าหน้าที่ว่ามีความน่าเชื่อถือสูง
เช่น คนที่แสดงตัวว่าเป็นนักธุรกิจและบินมาด้วยตั๋วชั้น 1 นั้นจะถูกเฝ้าระวังน้อยลง
ในการลักลอบเข้าเมืองนั้นมีกรณีพิเศษอยู่ในการลักลอบเข้าเมืองทางทะเล
หากมีการพบผู้โดยสารติดเชื้อหรือผู้ที่อาการกำเริบบนเรือ
กัปตันเรือมักจะใช้วิธีเอาผู้โดยสารคนนั้นลงจากเรือ บ้างก็เทียบท่าแล้วให้ลงจากเรือไป
บ้างก็โยนลงทะเล ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ตามเกาะต่าง ๆ ไม่ปลอดภัยจากซอมบี้และทำให้เกิดซอมบี้ใต้น้ำ
ที่คอยกัดนักว่ายน้ำหรือประดาน้ำที่ลงไปในน้ำ
มีกรณีที่ซอมบี้ลอยมาตามน้ำแล้วขึ้นเรือที่ทอดสมออยู่ได้จากการซัดของคลื่นอยู่เหมือนกัน

3. ผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
รวมถึงการถ่ายเลือด, ปฏิสนธิเทียม และกระบวนการอื่น ๆ ที่มีการนำสารคัดหลั่งหรือเซลจากผู้ที่ติดเชื้อใส่เข้าไปในร่างกาย
การแพร่กระจายวิธีนี้ทำให้เกิดผู้ติดเชื้อที่ไม่เคยถูกกัดขึ้นมา ซึ่งตรวจสอบได้ยากมากหากไม่ตรวจเลือด

ในฉบับนิยาย Max ได้มีโอกาสสัมภาษณ์อดีตผู้อำนวยการ CIA
ซึ่งได้เล่าให้ฟังว่า จีนได้สร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การลอบสังหารบุคคลสำคัญ
หรือ สร้างความตึงเคลียดระหว่างแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากหน่วยข่าวกรองของชาติต่าง
ๆ โดยเฉพาะคู่ขัดแย้งสำคัญ อเมริกา จากปัญหาโรคซอมบี้ในจีน
ซึ่งก็ได้ผล แต่ก็มีบางคนรวมถึงอดีตผู้อำนวยการคนนี้ด้วยที่จับสัญญาณอะไรบางอย่างจากจีนได้
อดีตผู้อำนวยการคนนี้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้มีอำนาจสั่งการระดับสูงถึงสิ่งที่ตนรู้สึกและกังวลเพียงช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 5 นาที
ในวันรุ่งขึ้นมีคำสั่งย้ายด่วนมาถึงเค้า มีผลทันที
หลังจากนั้นไม่กี่วันอิสราเอลก็ประกาศดำเนินนโยบาย “กักกันโดยสมัครใจ” ซึ่งนำไปสู่สงครามกลางเมืองในที่สุด

จีนไม่ใช่เพียงประเทศเดียวที่เลือกจะปกปิดเรื่องซอมบี้
ประเทศต่าง ๆ ในโลกที่เจอซอมบี้ก็เลือกที่จะปกปิดเช่นเดียวกัน ซึ่งรวมถึงอเมริกาเองด้วย
มีเพียงอิสราเอลเท่านั้นที่แม้จะปกปิดข้อมูลแต่ก็ตื่นตัวต่อเรื่องนี้และแจ้งเตือนร่วมถึงแนบแผนการรับมือไปยังประเทศอื่น ๆ
แต่ก็ไม่มีประเทศไหนให้ความสนใจในรายงานที่ตอนนั้นถูกมองว่าเหลวไหลไร้สาระนี้เลย
ในนิยายแม้จะต้องผจญกับสงครามกลางเมืองจากมาตรการรับมือซอมบี้แต่อิสราเอลก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ
ที่อยู่รอดปลอดจากวิกฤตซอมบี้จนจบสงครามซึ่งต่างจากในฉบับภาพยนต์ที่อิสราเอลพินาศเพราะร้องเพลงกันดังเกินไป

แต่กับบางประเทศ เช่น อเมริกา เลือกที่จะรับมือแบบปกปิดเพื่อไม่ให้ประชาชนแตกตื่นและกระทบกับฐานเสียง
สื่อหลักเองก็ปกปิดเรื่องของซอมบี้เพราะไม่ต้องการให้ความตกตื่นกระทบต่อมูลค่าหุ้น
แม้จะมีสื่อรองที่ให้ความสำคัญและเสนอข่าวซอมบี้แต่ก็ไม่มีใครสนใจเพราะความน่าเชื่อถือน้อยกว่า
ดำเนินมาตรการรับมือของอเมริกาในตอนนั้นคือจัดตั้งทีมรบพิเศษเฉพาะกิจ อัลฟ่าทีม ลงพื้นติดเชื้อเพื่อ สอบสวน โดดเดียว และกำจัดทิ้ง
ปฎิบัติการนี้มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ, รวดเร็วและมีผลสำเร็จสูง ทำเนียบขาวชื่นชอบวิธีนี้มาก
แต่ปัญหาคือวิธีการนี้เป็นเพียงเฟสแรกของมาตรการรับมือทั้งหมดที่ออกแบบไว้เท่านั้น
อัลฟ่าทีม มีเพื่อลดระดับภัยคุกคามและช่วยซื้อเวลาระหว่างที่กำลังดำเนินการในเฟส 2 คือการระดมกำลังพลเพื่อดำเนินการทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ
แต่เนื่องจากการดำเนินการในเฟส 2 มีค่าใช้จ่ายที่สูงและทำเนียบขาวไม่ต้องการให้ประชาชนแตกตื่น เฟส 2 จึงไม่เคยได้เริ่ม
ทางทำเนียบขาวใช้ อัลฟ่าทีม แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ
จนในที่สุดการระบาดของโรคก็เกินที่อัลฟ่าทีมจะรับมือ ถึงตอนนี้ ซอมบี้
ที่เป็นเพียงข่าวลือก็เริ่มมาเคาะประตูบ้านทักทายประชาชนแล้ว

ความอลหม่านครั้งใหญ่
ตอนที่ อัลฟ่าทีมยังคงพอรับมือกับสถานการณ์ได้นั้น
ข่าวลือเรื่องซอมบี้ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วในหมู่ประชาชนแต่ก็ไม่มีใครเชื่อมากนัก
ผู้คนเห็นว่าซอมบี้เป็นเพียงเรื่องราวหรือเรื่องแต่งขึ้นเท่านั้น
ในตอนนั้นพวกเค้าเชื่อว่ามันเป็นโรคพิษสุนัขบ้าสายพันธ์ใหม่ที่เรียกกันทั่วไปว่า
โรคพิษสุนัขบ้าสายพันธ์แอฟริกาใต้ มากกว่า (ที่เรียกว่าสายพันธ์แอฟริกาใต้ก็เพราะที่แอฟริกาใต้เกิดการระบาดอย่างรุนแรงก่อนเป็นประเทศแรก)
แล้วก็มีคนหัวใสเอาวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้ามาขายโดยแอบอ้างว่าเป็นวัคซีนที่ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแอฟริกาใต้ได้ ชื่อว่า Phalanx (แฟแลงซ์)
มันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทำเอาผู้ขายรวยไม่รู้เรื่อง
แต่ปัญหาคือมันไม่ได้ช่วยป้องกันโรคซอมบี้ได้จริง ๆ รัฐบาลเองก็รู้เรื่องนี้แต่ก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะวัคซีนปลอมนี้จะช่วยให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก
ซึ่งก็ได้ผลแต่ก็ทำให้ความระมัดระวังของประชาชนต่อซอมบี้ลดลงนำมาซึ่งอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น
กว่าจะความแตกว่า Phalanx ไม่ได้ช่วยอะไร โรคก็ระบาดจนเกินรับมือไปแล้ว
ส่วนคนขายนั้นก็หอบเอาเงินที่ได้มาหนีไปอยู่สถานีวอสตอคในรัสเซียที่ทวีปแอนตาร์กติกา
ตอนที่ Max ไปสัมภาษณ์หลังสงครามก็พบว่าเค้ายังแข็งแรง อยู่ดีมีสุขมาตลอด
“ถ้าจะโทษใครก็ไปโทษคนที่เรียกโรคซอมบี้ว่าพิษสุนัขบ้าเถอะ หรือไม่ก็
คนที่รู้ว่าไม่ใช่พิษสุนัขบ้าแต่ก็ยังบอกว่าเป็นพิษสุนัขบ้านั้นล่ะ”

ถึงจุดนี้ผู้คนต่างแตกตื่นวุ่นวายไปหมด
บ้านไม่เป็นบ้าน เมืองไม่เป็นเมือง มีทั้งคนที่พยายามหนีตายจากซอมบี้,
ปล้นชิงอาหารและยา, กักตุนอาวุธ, ยิงคนที่เข้ามาใกล้ไปทั่ว
ในเรื่องเรียกช่วงเวลานี้ว่า ความอลหม่านครั้งใหญ่ (Great Panic)
ในฉบับภาพยนตร์เรื่องราวจะเริ่มจากจุดนี้และเป็นหนึ่งในจุดที่มีความใกล้เคียงกับฉบับนิยายมากที่สุดจุดหนึ่ง
เมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้รัฐบาลอเมริกันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำให้ประชาชนสงบลงให้ได้โดยเร็วที่สุด
ก่อนเพื่อที่จะได้ไปแก้ปัญหาซอมบี้ได้อย่างจริง ๆ จัง ๆ
และวิธีที่ทำให้ประชาชนสงบลงให้ได้อย่างชะงักที่สุดคือ
การแสดงอำนาจทางทหารให้ประชาชนเห็นว่าสถานะการณ์ยังอยู่ในความความคุม
กำลังพลและอาวุธยุทธปกรณ์จึงถูกระดมมาเพื่อทำสงครามเรียกศรัทธาของประชาชน
โดยสนามที่รบที่ถูกเลือกคือ Yonkers
เมืองซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในอเมริกา New York

to be continued in Part 2 “การศึกที่ยอนเกอร์”
“มันเป็นไอเดียที่ดี เพียงไอเดียเดียวในวันนั้น”

ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน” โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
บทความตามใจฉัน “เล่า World war Z เทียบกับฉบับภาพยนตร์” Part 1
กันยายน 2006 ถือเป็นนิยายแนวซอมบี้ที่ให้มุมมองที่กว้างกว่าเรื่องอื่น ๆ ในแนวเดียวกันซึ่งเป็นมุมมองของบุคคลหรือกลุ่มคนในวิกฤติซอมบี้
ขณะที่ World war Z ให้มุมมองต่อวิกฤติซอมบี้ในระดับรัฐบาลและนานาชาติโดยให้ผู้อ่านประกอบภาพขึ้นเอาเองจากปากคำของบุคคลต่าง ๆ
หลากหลายอาชีพและเชื้อชาติที่ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่อง
ฉบับภาพยนตร์ได้ถูกสร้างและฉายในปี 2013 ซึ่งตัวหนังนั้นแม้จะดูได้สนุกและลุ้นระทึกแต่สำหรับแฟน ๆ ฉบับนิยายแล้ว
นี่คือฝันร้าย (ป่วยแล้วไม่โดนกัด เป็นมุกที่ชวน facepalm ที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยดูหนังมาแต่ก็สนใจว่าผู้เขียนบทจะเขียนให้จบลงอย่างไร)
ฉบับภาพยนตร์มีแผนที่จะสร้างภาคต่อและจะเริ่มถ่ายทำในปี 2019 แต่ก็ถูกยกเลิกไประหว่างกำลังเตรียมการโดยเหตุผลคาดว่า
เพราะจีนที่เป็นตลาดใหญ่แบนหนังแนวผีและซอมบี้
สุดท้ายจึงไม่รู้ว่า WWZ ฉบับภาพยนตร์เรื่องราวจะจบลงแบบไหนและน่าจะเป็นสิ่งที่ค้างคาใจของแฟน ๆ WWZ ฉบับภาพยนต์
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ค้างคา ผู้เขียนจึงจะขอเล่าเรื่องของ WWZ ฉบับนิยายโดยสรุปให้ได้อ่าน
เพื่อให้แฟน ๆ ฉบับภาพยนตร์จะได้ไม่รู้สึกค้างคา
เพื่อเปรียบเทียบฉบับนิยายและฉบับภาพยนต์
และเพื่อให้ผู้อ่านตัดสินว่าฉบับนิยายกับฉบับภาพยนต์แบบไหนถูกฉโลกตนมากกว่ากัน
ก่อนอื่น เรามาปรับพื้นอธิบายความแตกต่างระหว่างฉบับนิยายและภาพยนต์กันก่อน
WWZ ฉบับนิยายและภาพยนตร์นั้นมีจุดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือซอมบี้
โดยในฉบับภาพยนตร์นั้นซอมบี้จะได้รับอิทธิพลมาจากเรื่อง 28 Day later ที่ซอมบี้วิ่งไล่ล่าเหยื่ออย่างดุดัน
และเมื่อมนุษย์ติดเชื่อแล้วจะกลายเป็นซอมบี้ในเวลาเพียงชั่วครู่แต่ก็สามารถหยุดยั้งได้ง่ายกว่า
ขณะที่ในฉบับนิยายนั้นซอมบี้จะเป็นคลาสสิกซอมบี้ คือเคลื่อนที่ได้ช้าและระยะฟักตัวของเชื้อนาน
ทำให้มนุษย์ที่ติดเชื่อแล้วจะยังไม่แสดงอาการของโรคนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ติดเชื้อแต่ก็หยุดยั้งได้ยากกว่ามาก
ซึ่งจะได้เล่าถึงต่อไปว่าทำไม
ซอมบี้ตัวแรกของโลก
ในฉบับภาพยนต์นั้นเล่าว่าผู้ป่วยหมายเลข 0 หรือซอมบี้ตัวแรกของโลกที่พบนั้นมาจากประเทศเกาหลีเหนือ
ในขณะที่ฉบับนิยายเล่าว่าผู้ป่วยหมายเลข 0 ถูกพบในชนบทห่างไกลของจีน (ไม่ต้องสงสัยว่าเนื้อหาถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้หนังได้รับอนุญาตให้ฉายในจีน)
โดยหมอที่ชื่อว่า Kwang Jingshu (น่าจะอ่านได้ว่า กวาง จิง ชู) ซึ่งเล่าว่า
จากคำบอกเล่าของแม่ของคนไข้ ผู้ป่วยไปดำน้ำหาของกับพ่อแล้วจู่ ๆ ก็ร้องไห้กลับขึ้นมาจากน้ำเพราะถูกอะไรบางอย่างกัด ส่วนคนพ่อหายสาปสูญ
ต่อมาลูกของเธอก็บ้าคลั่งและได้กัดคนไปแล้วจำนวน 7 คน และทั้ง 7 นั้นตอนนี้อยู่ในสภาพที่แทบไม่ได้สติแล้ว
กวาง จิง ชู จึง Vdo call ติดต่อกับเพื่อนหมอที่สถาบันโรคติดเชื้อและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น
จากนั้นเพื่อนของเค้าก็โทรติดต่อไปยังหน่วยงานแห่งหนึ่งและขอให้ กวาง จิง ชู รออยู่กับที่ หลังจากนั้นก็มี ฮ. ทหารมาลงจอด
มีคนในชุดป้องกันเชื้อโรค 15 คนลงมาบอกว่ามาจากกระทรวงสาธารณะสุข พวกเค้าเริ่มจากมัดมือมัดเท้าและใส่ตะกร้อปากผู้ป่วยทั้ง
7 คนก่อนเอาขึ้น ฮ. ต่อมาก็ไปหาเด็กที่ถูกขังไว้ พากลับออกมาในถุงพลาสติก จากนั้นก็เรียกชาวบ้านทุกคนมารวมกันก่อนจะ
เปลื้องผ้า เจาะเลือดและทยอยตรวจร่างกายอย่างละเอียดทีละคน
“นี่คือการลงโทษจากเมืองผี” ชาวบ้านคนหนึ่งพูดไว้
จะเห็นได้ว่าต้นตอของโรคซอมบี้มาจากจีนและซอมบี้ที่พบก็ไม่ใช่ตัวแรกจริง ๆ เพราะทางการจีนทราบเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้วจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
และจากการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลคนอื่น ๆ ก็จะพบว่าการแพร่กระจายของเชื้อนั้นเกิดขึ้น
ในขณะที่เชื้อยังอยู่ในภาวะฝักตัวและผู้ติดเชื้อยังไม่แสดงอาการของโรค
โดยเชื้อนั้นแพร่ผ่าน 3 ช่องทางหลัก
1. ผ่านขบวนการลักลอบค้ายาเสพติด
โดยผู้ติดเชื้อเป็นสมาชิกในกลุ่มที่ลักลอบขนยาเข้าประเทศต่าง ๆ
แล้วระหว่างทางหรือเมื่อถึงที่หมายแล้วอาการกำเริบไล่กัดและแพร่เชื้อให้กับเพื่อนร่วมทีมเมื่อตายก็กลายเป็นซอมบี้ออกไล่ล่ากัดคนในพื้นที่ต่อ
2. ผ่านกระบวนการลักลอบเข้าเมืองหรือค้ามนุษย์เช่น ผู้ลี้ภัย, ผู้ลักลอบเข้าเมือง, แรงงานผิดกฎหมาย เป็นต้น
โดยเฉพาะในช่วงที่การแพร่ระบาดของเชื้อเริ่มเป็นที่รับรู้นั้นจำนวนผู้ลักลอบเข้าเมืองก็ยิ่งสูงขึ้น
แม้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะเพิ่มความเข้มงวดในการเข้าเมืองแต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้
บ้างเพราะเจ้าหน้าที่รับสินบนหรือไม่ก็ความประมาทเพราะผู้เข้าเมืองมีความน่าเชื่อถือสูง หรือ หลอกตาเจ้าหน้าที่ว่ามีความน่าเชื่อถือสูง
เช่น คนที่แสดงตัวว่าเป็นนักธุรกิจและบินมาด้วยตั๋วชั้น 1 นั้นจะถูกเฝ้าระวังน้อยลง
ในการลักลอบเข้าเมืองนั้นมีกรณีพิเศษอยู่ในการลักลอบเข้าเมืองทางทะเล
หากมีการพบผู้โดยสารติดเชื้อหรือผู้ที่อาการกำเริบบนเรือ
กัปตันเรือมักจะใช้วิธีเอาผู้โดยสารคนนั้นลงจากเรือ บ้างก็เทียบท่าแล้วให้ลงจากเรือไป
บ้างก็โยนลงทะเล ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ตามเกาะต่าง ๆ ไม่ปลอดภัยจากซอมบี้และทำให้เกิดซอมบี้ใต้น้ำ
ที่คอยกัดนักว่ายน้ำหรือประดาน้ำที่ลงไปในน้ำ
มีกรณีที่ซอมบี้ลอยมาตามน้ำแล้วขึ้นเรือที่ทอดสมออยู่ได้จากการซัดของคลื่นอยู่เหมือนกัน
3. ผ่านการปลูกถ่ายอวัยวะทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย
รวมถึงการถ่ายเลือด, ปฏิสนธิเทียม และกระบวนการอื่น ๆ ที่มีการนำสารคัดหลั่งหรือเซลจากผู้ที่ติดเชื้อใส่เข้าไปในร่างกาย
การแพร่กระจายวิธีนี้ทำให้เกิดผู้ติดเชื้อที่ไม่เคยถูกกัดขึ้นมา ซึ่งตรวจสอบได้ยากมากหากไม่ตรวจเลือด
ซึ่งได้เล่าให้ฟังว่า จีนได้สร้างสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การลอบสังหารบุคคลสำคัญ
หรือ สร้างความตึงเคลียดระหว่างแผ่นดินใหญ่กับไต้หวันเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากหน่วยข่าวกรองของชาติต่าง
ๆ โดยเฉพาะคู่ขัดแย้งสำคัญ อเมริกา จากปัญหาโรคซอมบี้ในจีน
ซึ่งก็ได้ผล แต่ก็มีบางคนรวมถึงอดีตผู้อำนวยการคนนี้ด้วยที่จับสัญญาณอะไรบางอย่างจากจีนได้
อดีตผู้อำนวยการคนนี้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้มีอำนาจสั่งการระดับสูงถึงสิ่งที่ตนรู้สึกและกังวลเพียงช่วงสั้น ๆ ไม่เกิน 5 นาที
ในวันรุ่งขึ้นมีคำสั่งย้ายด่วนมาถึงเค้า มีผลทันที
หลังจากนั้นไม่กี่วันอิสราเอลก็ประกาศดำเนินนโยบาย “กักกันโดยสมัครใจ” ซึ่งนำไปสู่สงครามกลางเมืองในที่สุด
จีนไม่ใช่เพียงประเทศเดียวที่เลือกจะปกปิดเรื่องซอมบี้
ประเทศต่าง ๆ ในโลกที่เจอซอมบี้ก็เลือกที่จะปกปิดเช่นเดียวกัน ซึ่งรวมถึงอเมริกาเองด้วย
มีเพียงอิสราเอลเท่านั้นที่แม้จะปกปิดข้อมูลแต่ก็ตื่นตัวต่อเรื่องนี้และแจ้งเตือนร่วมถึงแนบแผนการรับมือไปยังประเทศอื่น ๆ
แต่ก็ไม่มีประเทศไหนให้ความสนใจในรายงานที่ตอนนั้นถูกมองว่าเหลวไหลไร้สาระนี้เลย
ในนิยายแม้จะต้องผจญกับสงครามกลางเมืองจากมาตรการรับมือซอมบี้แต่อิสราเอลก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ
ที่อยู่รอดปลอดจากวิกฤตซอมบี้จนจบสงครามซึ่งต่างจากในฉบับภาพยนต์ที่อิสราเอลพินาศเพราะร้องเพลงกันดังเกินไป
แต่กับบางประเทศ เช่น อเมริกา เลือกที่จะรับมือแบบปกปิดเพื่อไม่ให้ประชาชนแตกตื่นและกระทบกับฐานเสียง
สื่อหลักเองก็ปกปิดเรื่องของซอมบี้เพราะไม่ต้องการให้ความตกตื่นกระทบต่อมูลค่าหุ้น
แม้จะมีสื่อรองที่ให้ความสำคัญและเสนอข่าวซอมบี้แต่ก็ไม่มีใครสนใจเพราะความน่าเชื่อถือน้อยกว่า
ดำเนินมาตรการรับมือของอเมริกาในตอนนั้นคือจัดตั้งทีมรบพิเศษเฉพาะกิจ อัลฟ่าทีม ลงพื้นติดเชื้อเพื่อ สอบสวน โดดเดียว และกำจัดทิ้ง
ปฎิบัติการนี้มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำ, รวดเร็วและมีผลสำเร็จสูง ทำเนียบขาวชื่นชอบวิธีนี้มาก
แต่ปัญหาคือวิธีการนี้เป็นเพียงเฟสแรกของมาตรการรับมือทั้งหมดที่ออกแบบไว้เท่านั้น
อัลฟ่าทีม มีเพื่อลดระดับภัยคุกคามและช่วยซื้อเวลาระหว่างที่กำลังดำเนินการในเฟส 2 คือการระดมกำลังพลเพื่อดำเนินการทางทหารอย่างเต็มรูปแบบ
แต่เนื่องจากการดำเนินการในเฟส 2 มีค่าใช้จ่ายที่สูงและทำเนียบขาวไม่ต้องการให้ประชาชนแตกตื่น เฟส 2 จึงไม่เคยได้เริ่ม
ทางทำเนียบขาวใช้ อัลฟ่าทีม แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ
จนในที่สุดการระบาดของโรคก็เกินที่อัลฟ่าทีมจะรับมือ ถึงตอนนี้ ซอมบี้
ที่เป็นเพียงข่าวลือก็เริ่มมาเคาะประตูบ้านทักทายประชาชนแล้ว
ความอลหม่านครั้งใหญ่
ตอนที่ อัลฟ่าทีมยังคงพอรับมือกับสถานการณ์ได้นั้น
ข่าวลือเรื่องซอมบี้ก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วในหมู่ประชาชนแต่ก็ไม่มีใครเชื่อมากนัก
ผู้คนเห็นว่าซอมบี้เป็นเพียงเรื่องราวหรือเรื่องแต่งขึ้นเท่านั้น
ในตอนนั้นพวกเค้าเชื่อว่ามันเป็นโรคพิษสุนัขบ้าสายพันธ์ใหม่ที่เรียกกันทั่วไปว่า
โรคพิษสุนัขบ้าสายพันธ์แอฟริกาใต้ มากกว่า (ที่เรียกว่าสายพันธ์แอฟริกาใต้ก็เพราะที่แอฟริกาใต้เกิดการระบาดอย่างรุนแรงก่อนเป็นประเทศแรก)
แล้วก็มีคนหัวใสเอาวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้ามาขายโดยแอบอ้างว่าเป็นวัคซีนที่ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าแอฟริกาใต้ได้ ชื่อว่า Phalanx (แฟแลงซ์)
มันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทำเอาผู้ขายรวยไม่รู้เรื่อง
แต่ปัญหาคือมันไม่ได้ช่วยป้องกันโรคซอมบี้ได้จริง ๆ รัฐบาลเองก็รู้เรื่องนี้แต่ก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะวัคซีนปลอมนี้จะช่วยให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนก
ซึ่งก็ได้ผลแต่ก็ทำให้ความระมัดระวังของประชาชนต่อซอมบี้ลดลงนำมาซึ่งอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น
กว่าจะความแตกว่า Phalanx ไม่ได้ช่วยอะไร โรคก็ระบาดจนเกินรับมือไปแล้ว
ส่วนคนขายนั้นก็หอบเอาเงินที่ได้มาหนีไปอยู่สถานีวอสตอคในรัสเซียที่ทวีปแอนตาร์กติกา
ตอนที่ Max ไปสัมภาษณ์หลังสงครามก็พบว่าเค้ายังแข็งแรง อยู่ดีมีสุขมาตลอด
“ถ้าจะโทษใครก็ไปโทษคนที่เรียกโรคซอมบี้ว่าพิษสุนัขบ้าเถอะ หรือไม่ก็
คนที่รู้ว่าไม่ใช่พิษสุนัขบ้าแต่ก็ยังบอกว่าเป็นพิษสุนัขบ้านั้นล่ะ”
ถึงจุดนี้ผู้คนต่างแตกตื่นวุ่นวายไปหมด
บ้านไม่เป็นบ้าน เมืองไม่เป็นเมือง มีทั้งคนที่พยายามหนีตายจากซอมบี้,
ปล้นชิงอาหารและยา, กักตุนอาวุธ, ยิงคนที่เข้ามาใกล้ไปทั่ว
ในเรื่องเรียกช่วงเวลานี้ว่า ความอลหม่านครั้งใหญ่ (Great Panic)
ในฉบับภาพยนตร์เรื่องราวจะเริ่มจากจุดนี้และเป็นหนึ่งในจุดที่มีความใกล้เคียงกับฉบับนิยายมากที่สุดจุดหนึ่ง
เมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้รัฐบาลอเมริกันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำให้ประชาชนสงบลงให้ได้โดยเร็วที่สุด
ก่อนเพื่อที่จะได้ไปแก้ปัญหาซอมบี้ได้อย่างจริง ๆ จัง ๆ
และวิธีที่ทำให้ประชาชนสงบลงให้ได้อย่างชะงักที่สุดคือ
การแสดงอำนาจทางทหารให้ประชาชนเห็นว่าสถานะการณ์ยังอยู่ในความความคุม
กำลังพลและอาวุธยุทธปกรณ์จึงถูกระดมมาเพื่อทำสงครามเรียกศรัทธาของประชาชน
โดยสนามที่รบที่ถูกเลือกคือ Yonkers
เมืองซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในอเมริกา New York
to be continued in Part 2 “การศึกที่ยอนเกอร์”
“มันเป็นไอเดียที่ดี เพียงไอเดียเดียวในวันนั้น”
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน” โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ https://www.facebook.com/uptomejournal/