คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
กามภูสูตรที่ ๒
[๕๖๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระกามภูอยู่ที่อัมพาฏกวัน
ใกล้ราวป่ามัจฉิกาสณฑ์ครั้งนั้นแล
จิตตคฤหบดีได้เข้าไปหาท่านพระกามภูถึงที่อยู่
ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ถามท่านพระกามภูว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
สังขารมีเท่าไรหนอแล
ท่านพระกามภูตอบว่า
ดูกรคฤหบดี สังขารมี ๓ คือ
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
[๕๖๑] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า
ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว ชื่นชม
อนุโมทนาภาษิตของท่านพระกามภู
แล้วได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็กายสังขารเป็นไฉน วจีสังขารเป็นไฉน จิตตสังขารเป็นไฉน ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกแลชื่อว่ากายสังขาร
วิตกวิจารชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
[๕๖๒] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็เพราะเหตุไร
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจึงชื่อว่ากายสังขาร
วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นของเกิดที่กาย
ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจึงชื่อว่ากายสังขาร
บุคคลย่อมตรึกตรองก่อนแล้ว
จึงเปล่งวาจาภายหลัง ฉะนั้น
วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาเป็นของเกิดที่จิต ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต
ฉะนั้น สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
[๕๖๓] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติเกิดมีได้อย่างไร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ภิกษุเมื่อจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า
เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วบ้าง
โดยที่ถูกก่อนแต่จะเข้า ท่านได้อบรมจิตที่
จะน้อมไปเพื่อความเป็นจิตแท้ (จิตดั้งเดิม) ฯ
[๕๖๔] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
ธรรมเหล่าไหนดับก่อน คือ
กายสังขาร วจีสังขาร หรือจิตตสังขารดับก่อน ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
วจีสังขารดับก่อน
ต่อจากนั้นกายสังขารดับ
ต่อจากนั้นจิตตสังขารจึงดับ ฯ
[๕๖๕] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนที่ตายแล้ว ทำกาละแล้ว
กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
ทั้งสองนี้มีความต่างกันอย่างไร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
คนที่ตายแล้ว ทำกาละแล้ว
มีกายสังขารดับสงบ
มีวจีสังขารดับสงบ
มีจิตตสังขารดับสงบ
มีอายุสิ้นไป ไออุ่นสงบ
อินทรีย์แตกกระจาย
ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
กายสังขารดับสงบ
วจีสังขารดับสงบ
จิตตสังขารดับสงบ (แต่) ยังไม่สิ้นอายุ
ไออุ่นยังไม่สงบ อินทรีย์ผ่องใส
ดูกรคฤหบดี
คนตายแล้ว ทำกาละแล้ว
กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
มีความต่างกันอย่างนี้ ฯ
[๕๖๖] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ ถามปัญหา
ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมมีอย่างไร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ภิกษุเมื่อจะออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า
เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติบ้าง
เรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติบ้าง
เราออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้วบ้าง
โดยที่แท้ ก่อนแต่จะออก
ท่านได้อบรมจิตที่น้อมเข้าไปเพื่อความเป็นจิตแท้ ฯ
[๕๖๗] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ธรรมเหล่าไหนเกิดก่อน
คือกายสังขาร
วจีสังขาร
หรือจิตตสังขารเกิดก่อน ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
จิตตสังขารเกิดก่อน
ต่อจากนั้นกายสังขารจึงเกิด
ต่อจากนั้นวจีสังขารจึงเกิด ฯ
[๕๖๘] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกจากสัญญา
เวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ผัสสะ ๓ อย่าง คือ
๑ สุญญผัสสะ
อนิมิตตผัสสะ
อัปปณิหิตผัสสะ
ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
[๕๖๙] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมเป็นธรรมชาติ
น้อมไปสู่อะไร โน้มไปสู่อะไร เงื้อมไปสู่อะไร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมเป็นธรรมชาติน้อมไป
สู่วิเวก โน้มไปสู่วิเวก เงื้อมไปสู่วิเวก ฯ
[๕๗๐] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของท่านพระกามภูแล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็ธรรมเท่าไร ย่อมมีอุปการะมากแก่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ท่านถามปัญหาที่ควรจะถามก่อนล่าช้าไปหน่อย
แต่ว่าอาตมาจักพยากรณ์ปัญหาแก่ท่าน
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๒ อย่าง คือ
สมถะ ๑
วิปัสสนา ๑
ย่อมมีอุปการะมากแก่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
จบสูตรที่ ๖
[๕๖๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระกามภูอยู่ที่อัมพาฏกวัน
ใกล้ราวป่ามัจฉิกาสณฑ์ครั้งนั้นแล
จิตตคฤหบดีได้เข้าไปหาท่านพระกามภูถึงที่อยู่
ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ถามท่านพระกามภูว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
สังขารมีเท่าไรหนอแล
ท่านพระกามภูตอบว่า
ดูกรคฤหบดี สังขารมี ๓ คือ
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
[๕๖๑] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า
ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว ชื่นชม
อนุโมทนาภาษิตของท่านพระกามภู
แล้วได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็กายสังขารเป็นไฉน วจีสังขารเป็นไฉน จิตตสังขารเป็นไฉน ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกแลชื่อว่ากายสังขาร
วิตกวิจารชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
[๕๖๒] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็เพราะเหตุไร
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจึงชื่อว่ากายสังขาร
วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นของเกิดที่กาย
ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจึงชื่อว่ากายสังขาร
บุคคลย่อมตรึกตรองก่อนแล้ว
จึงเปล่งวาจาภายหลัง ฉะนั้น
วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาเป็นของเกิดที่จิต ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต
ฉะนั้น สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
[๕๖๓] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติเกิดมีได้อย่างไร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ภิกษุเมื่อจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า
เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วบ้าง
โดยที่ถูกก่อนแต่จะเข้า ท่านได้อบรมจิตที่
จะน้อมไปเพื่อความเป็นจิตแท้ (จิตดั้งเดิม) ฯ
[๕๖๔] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
ธรรมเหล่าไหนดับก่อน คือ
กายสังขาร วจีสังขาร หรือจิตตสังขารดับก่อน ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
วจีสังขารดับก่อน
ต่อจากนั้นกายสังขารดับ
ต่อจากนั้นจิตตสังขารจึงดับ ฯ
[๕๖๕] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนที่ตายแล้ว ทำกาละแล้ว
กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
ทั้งสองนี้มีความต่างกันอย่างไร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
คนที่ตายแล้ว ทำกาละแล้ว
มีกายสังขารดับสงบ
มีวจีสังขารดับสงบ
มีจิตตสังขารดับสงบ
มีอายุสิ้นไป ไออุ่นสงบ
อินทรีย์แตกกระจาย
ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
กายสังขารดับสงบ
วจีสังขารดับสงบ
จิตตสังขารดับสงบ (แต่) ยังไม่สิ้นอายุ
ไออุ่นยังไม่สงบ อินทรีย์ผ่องใส
ดูกรคฤหบดี
คนตายแล้ว ทำกาละแล้ว
กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
มีความต่างกันอย่างนี้ ฯ
[๕๖๖] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ ถามปัญหา
ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมมีอย่างไร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ภิกษุเมื่อจะออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า
เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติบ้าง
เรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติบ้าง
เราออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้วบ้าง
โดยที่แท้ ก่อนแต่จะออก
ท่านได้อบรมจิตที่น้อมเข้าไปเพื่อความเป็นจิตแท้ ฯ
[๕๖๗] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ธรรมเหล่าไหนเกิดก่อน
คือกายสังขาร
วจีสังขาร
หรือจิตตสังขารเกิดก่อน ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
จิตตสังขารเกิดก่อน
ต่อจากนั้นกายสังขารจึงเกิด
ต่อจากนั้นวจีสังขารจึงเกิด ฯ
[๕๖๘] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกจากสัญญา
เวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ผัสสะ ๓ อย่าง คือ
๑ สุญญผัสสะ
อนิมิตตผัสสะ
อัปปณิหิตผัสสะ
ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
[๕๖๙] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมเป็นธรรมชาติ
น้อมไปสู่อะไร โน้มไปสู่อะไร เงื้อมไปสู่อะไร ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมเป็นธรรมชาติน้อมไป
สู่วิเวก โน้มไปสู่วิเวก เงื้อมไปสู่วิเวก ฯ
[๕๗๐] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของท่านพระกามภูแล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็ธรรมเท่าไร ย่อมมีอุปการะมากแก่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
กา. ดูกรคฤหบดี
ท่านถามปัญหาที่ควรจะถามก่อนล่าช้าไปหน่อย
แต่ว่าอาตมาจักพยากรณ์ปัญหาแก่ท่าน
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๒ อย่าง คือ
สมถะ ๑
วิปัสสนา ๑
ย่อมมีอุปการะมากแก่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
จบสูตรที่ ๖
แสดงความคิดเห็น
พระอรหันต์จิตมีนิพพาน
เพราะมีนามรูป มีวิญญาณ มีขันธ์5
จิตไม่มีอวิชชา
จิตมีวิชชา
จิตมีนิพพาน
จิตมีดวงเดียวที่มีนิพพาน
จิตในอภิธรรมเป็นจิตแบบย่อๆๆ
ไม่ใช่จิตเดิมแท้
จิตที่พิสดารเกิดดับเป็นล้านดวง
จิตในอภิธรรมว่าไปแล้ว
มีเป็นล้านดวงไม่ใช่121ดวง
ไม่ใช่จิตเดิมแท้
เป็นจิตที่ถูปรุงแต่งด้วยเจตสิค
และเวทนา สัญญา วิญญาณ
ทำให้เกิดปิยรูป สาตรูป
เห็นจิตแบบอภิธรรม
เป็นจิตที่ย่อมา
ให้ใช้ท่องจำเป็นแบบเรียน
นำมาปฏิบัติไม่ได้
ท่องจำนำมาพูดคุยกัน
สำหรับนักเรียนอภิธรรรมด้วยกัน
เพื่อนำมาสอบแข่งขันกันทางโลก