พระอรหันต์จิตมีนิพพาน

พระอรหันต์จิตมีนิพพาน
เพราะมีนามรูป มีวิญญาณ  มีขันธ์5
จิตไม่มีอวิชชา
จิตมีวิชชา
จิตมีนิพพาน
จิตมีดวงเดียวที่มีนิพพาน
จิตในอภิธรรมเป็นจิตแบบย่อๆๆ
ไม่ใช่จิตเดิมแท้
จิตที่พิสดารเกิดดับเป็นล้านดวง
จิตในอภิธรรมว่าไปแล้ว
มีเป็นล้านดวงไม่ใช่121ดวง
ไม่ใช่จิตเดิมแท้
เป็นจิตที่ถูปรุงแต่งด้วยเจตสิค
และเวทนา สัญญา วิญญาณ
ทำให้เกิดปิยรูป สาตรูป
เห็นจิตแบบอภิธรรม
เป็นจิตที่ย่อมา
ให้ใช้ท่องจำเป็นแบบเรียน
นำมาปฏิบัติไม่ได้
ท่องจำนำมาพูดคุยกัน
สำหรับนักเรียนอภิธรรรมด้วยกัน
เพื่อนำมาสอบแข่งขันกันทางโลก
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
กามภูสูตรที่ ๒
             [๕๖๐] สมัยหนึ่ง ท่านพระกามภูอยู่ที่อัมพาฏกวัน
ใกล้ราวป่ามัจฉิกาสณฑ์ครั้งนั้นแล
จิตตคฤหบดีได้เข้าไปหาท่านพระกามภูถึงที่อยู่
ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ถามท่านพระกามภูว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
สังขารมีเท่าไรหนอแล
ท่านพระกามภูตอบว่า
ดูกรคฤหบดี สังขารมี ๓ คือ
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
             [๕๖๑] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า
ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว ชื่นชม
อนุโมทนาภาษิตของท่านพระกามภู
แล้วได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็กายสังขารเป็นไฉน วจีสังขารเป็นไฉน จิตตสังขารเป็นไฉน ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกแลชื่อว่ากายสังขาร
วิตกวิจารชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
             [๕๖๒] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็เพราะเหตุไร
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจึงชื่อว่ากายสังขาร
วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกเป็นของเกิดที่กาย
ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกจึงชื่อว่ากายสังขาร
บุคคลย่อมตรึกตรองก่อนแล้ว
จึงเปล่งวาจาภายหลัง ฉะนั้น
วิตกวิจารจึงชื่อว่าวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาเป็นของเกิดที่จิต ธรรมเหล่านี้เนื่องด้วยจิต
ฉะนั้น สัญญาและเวทนาจึงชื่อว่าจิตตสังขาร ฯ
             [๕๖๓] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติเกิดมีได้อย่างไร ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
ภิกษุเมื่อจะเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า
เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
เราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วบ้าง
โดยที่ถูกก่อนแต่จะเข้า ท่านได้อบรมจิตที่
จะน้อมไปเพื่อความเป็นจิตแท้ (จิตดั้งเดิม) ฯ

             [๕๖๔] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
ธรรมเหล่าไหนดับก่อน คือ
กายสังขาร วจีสังขาร หรือจิตตสังขารดับก่อน ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
วจีสังขารดับก่อน
ต่อจากนั้นกายสังขารดับ
ต่อจากนั้นจิตตสังขารจึงดับ ฯ
             [๕๖๕] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ คนที่ตายแล้ว ทำกาละแล้ว
กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
ทั้งสองนี้มีความต่างกันอย่างไร ฯ

             กา. ดูกรคฤหบดี
คนที่ตายแล้ว ทำกาละแล้ว
มีกายสังขารดับสงบ
มีวจีสังขารดับสงบ
มีจิตตสังขารดับสงบ
มีอายุสิ้นไป ไออุ่นสงบ
อินทรีย์แตกกระจาย
ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
กายสังขารดับสงบ
วจีสังขารดับสงบ
จิตตสังขารดับสงบ (แต่) ยังไม่สิ้นอายุ
ไออุ่นยังไม่สงบ อินทรีย์ผ่องใส
ดูกรคฤหบดี
คนตายแล้ว ทำกาละแล้ว
กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
มีความต่างกันอย่างนี้ ฯ
             [๕๖๖] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ ถามปัญหา
ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็การออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมมีอย่างไร ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
ภิกษุเมื่อจะออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ไม่ได้คิดอย่างนี้ว่า
เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติบ้าง
เรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติบ้าง
เราออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้วบ้าง
โดยที่แท้ ก่อนแต่จะออก
ท่านได้อบรมจิตที่น้อมเข้าไปเพื่อความเป็นจิตแท้ ฯ

             [๕๖๗] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ธรรมเหล่าไหนเกิดก่อน
คือกายสังขาร
วจีสังขาร
หรือจิตตสังขารเกิดก่อน ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
จิตตสังขารเกิดก่อน
ต่อจากนั้นกายสังขารจึงเกิด
ต่อจากนั้นวจีสังขารจึงเกิด ฯ
             [๕๖๘] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกจากสัญญา
เวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
ผัสสะ ๓ อย่าง คือ
๑ สุญญผัสสะ
อนิมิตตผัสสะ
อัปปณิหิตผัสสะ
ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
             [๕๖๙] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมเป็นธรรมชาติ
น้อมไปสู่อะไร โน้มไปสู่อะไร เงื้อมไปสู่อะไร ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
จิตของภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ
ย่อมเป็นธรรมชาติน้อมไป
สู่วิเวก โน้มไปสู่วิเวก เงื้อมไปสู่วิเวก ฯ
             [๕๗๐] จิตตคฤหบดีกล่าวว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ ดังนี้แล้ว
ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของท่านพระกามภูแล้ว
ได้ถามปัญหายิ่งขึ้นไปอีกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ก็ธรรมเท่าไร ย่อมมีอุปการะมากแก่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
             กา. ดูกรคฤหบดี
ท่านถามปัญหาที่ควรจะถามก่อนล่าช้าไปหน่อย
แต่ว่าอาตมาจักพยากรณ์ปัญหาแก่ท่าน
ดูกรคฤหบดี ธรรม ๒ อย่าง คือ
สมถะ ๑
วิปัสสนา ๑
ย่อมมีอุปการะมากแก่สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ฯ
จบสูตรที่ ๖
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่