หลายๆ คนอาจจะรู้ และหลายคนก็อาจจะไม่รู้ว่าในปี 2019 นี้พวกเราคนไทยจะมีโอกาสได้ดู The Lion King ถึง 2 เวอร์ชั่น นั่นคือภาพยนตร์ที่ Jon Favreau กำกับ และ ฉบับละครเวที World Tour ที่จะมาเปิดทำการแสดงที่เมืองไทยรัชดาลัยเธียเตอร์ แถมฉบับ 1994 ก็เรียกได้ว่าทุกบ้านน่าจะมีเก็บในรูปแบบ home entertainment ต่างๆ ทั้ง DVD Bluray หรืออยู่ในแอพสตรีมมิ่งต่างๆ ทั้ง netflix และอื่นๆ เรียกว่าถ้าใครที่จองบัตรละครเวทีไปแล้ว ปีนี้ก็ได้ชม The Lion King ทุกรูปแบบไปเลยค่ะ
ส่วนตัวเราเองก็จองบัตรละครเวทีรอบ 5 ต.ค. 14.30 ไปแล้วค่ะ ถึงแม้ละครเรื่องนี้จะมีมานานกว่า 20 ปี เปิดแสดงครั้งแรกหลังจากภาพยนตร์ออกจากโรงไม่นานนัก แต่เราเองก็ยังไม่เคยชมละครเรื่องนี้เลยค่ะ ทั้งที่มีโอกาสไปต่างประเทซทีไรก็มีเรื่องนี้เปิดแสดงอยู่ใกล้ๆ ตลอดแต่ก็ได้แต่เดินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ไม่ได้เข้าไปชมสักที คราวนี้มาถึงไทย บัตรแพงแค่ไหนก็อยากลองชมสักครั้งค่ะ ยิ่งตอนนี้ The Lion King ขึ้นไปยืนหนึ่งในการจัดอันดับละครบรอดเวย์แล้วด้วย
ในส่วนของเนื้อเรื่อง ถึงแม้จะยังไม่เคยชม แต่จากเพลงที่หามาฟังเนื้อเรื่องไม่ต่างจากภาพยนตร์ค่ะ แต่หลายๆ ฉากในภาพยนตร์ที่เป็นฉากพูดปกติก็ถูกปรับให้เป็นเพลง และด้วยความที่ภาพยนตร์มีความยาวแค่ 1 ชม. 30 นาที พอเป็นละครเวทีก็ถูกปรับให้ยาวขึ้น มีเพิ่มฉากที่สการ์จะทำร้ายนาล่าจนนาล่าต้องหนีออกมาจากแดนทรนงก่อนจะมาเจอซิมบ้า ฉากมูฟาซ่าสอนซิมบ้าเรื่องเจ้าป่าบนดวงดาว และฉากราฟิกีให้ซิมบ้าดูเงาสะท้อนในน้ำก็ถูกปรับเป็นเพลง They/He lives in you ที่ถูกนำมาใส่ประกอบในภาพยนตร์ภาค 2 ส่วนตัวแล้ว ถึงแม้จะยังไม่เคยชมละครเวที แต่จากเพลงต่างๆ ที่ได้ฟังก็สร้างความประทับใจให้เราเป็นอย่างมาก เพราะภาพยตร์เรื่องนี้เราก็ดูมาตั้งแต่เด็ก ทุกฉากทุกตอนอยู่ในความทรงจำเราเป็นอย่างดี พอหลายๆ ฉากที่เคยเป็นบทพูดถูกปรับมาเป็นเพลงที่ไพเราะ ฉากที่เพิ่มเข้ามาก็เหมาะสมลงตัวกับเนื้อเรื่องเดิม ดนตรีของ Hans Zimmer ก็ถูกนำมาใส่เนื้อร้องได้ลงตัว ทำให้เราประทับใจมากๆ แม้จะได้ฟังแค่เพลงก็ตามค่ะ
มาถึงฉบับภาพยนตร์ปี 2019 เราเองก็เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อตั้งแต่ประกาศว่าจะสร้าง เพราะอย่างที่บอกว่าเราชอบภาพยนตร์ปี 1994 มาก Jon Favreau เองก็ทำให้เราประทับใจได้พอสมควรจาก The Jungle Book 2016 ยิ่งพอเห็นตัวอย่างและโปสเตอร์ต่างๆ ออกมาก็ยิ่งอยากดู จนถึงวันนี้ที่ได้ดูแล้วก็ขอพูดตามตรงว่าภาพรวมค่อนข้างผิดหวังค่ะ
ขอเริ่มจากงานภาพที่เป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะคะ ด้านงานภาพแน่นอนว่าไม่ผิดหวังอยู่แล้ว สวยงามและสมจริงมากๆ แต่จุดที่หลายคนตำหนิและไม่พอใจหนังเรื่องนี้คือสัตว์แสดงอารมณ์ได้น้อยและแต่ละตัวหน้าตาเหมือนกันไปหมดจนแยกไม่ออก แต่สำหรับเราไม่มีปัญหากับเรื่องนี้นะคะ เราว่าสัตว์ในเรื่องแสดงอารมณ์ออกมาได้ค่อนข้างดีเลย จริงๆ ถ้ารักสัตว์และคลุกคลีกับสัตว์มามากๆ ไม่ว่าจะหมาแมวที่บ้าน หรือดูคลิปหรือสารคดีสัตว์ หรือหนังที่มีสัตว์มาเยอะจะเห็นถึงพฤติกรรมและการแสดงออกทางอารมณ์ของพวกมันอยู่ ซึ่งหนังเรื่องนี้ เอาเข้าจริงๆ ก็พยายามใส่อารมณ์ต่างๆ เข้าไปเยอะกว่าที่สัตว์จริงๆ จะแสดงออกมาได้อยู่ สรุปคือ เราว่าตัวละครในเรื่องแสดงอารมณ์ออกมาได้ค่อนข้างดีแล้วค่ะ โดยเฉพาะสการ์ ทีโมน และพุมบ้า คืออารมณ์พลุ่งพล่านทะลุตัวละคร cg มากๆ แต่ซิมบ้าและนาล่าก็ทำได้ดีมากๆ ทั้งวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว มีบางจุดที่อาจจะยังทำได้ไม่ดี แต่ไม่ใช่เรื่องของตัวละคร cg แต่เป็นเรื่องของเสียงพากย์มากกว่า แต่ต้องบอกว่าเราดูพากย์ไทยนะ ดู soundtrack น่าจะดีขึ้น ส่วนตัวละครสัตว์แต่ละตัวเราว่าเขาก็ทำแต่ละตัวได้มีเอกลักษณ์ดีนะคะ อย่างสิงโตหลายๆ คนบอกว่าแยกออกแค่สการ์ แต่จริงเราว่าอย่างมูฟาซ่าเนี่ยก็แยกออกนะ ซาราบีกับนาล่าก็เหมือนกัน คือมันไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้นอ่ะ แล้วเอาเข้าจริงๆ คือ 4 ตัวนี้มันเหมือนกันตั้งแต่ในการ์ตูนปี 94 แล้วนะ ซิมบ้ากับมูฟาซ่า ซาราบีกับนาล่าคือเหมือนกันมาก มีแค่จุดเล็กๆ ที่ทำให้รู้ว่ามูฟาซ่ากับซาราบีจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ที่เหลือทั้งสีขน แผงคอต่างๆ คือเหมือนกันหมดค่ะ ดังนั้นเราว่าเขาออกแบบมาอย่างนี้คือถูกแล้วค่ะ
หารูปจากอินเทอร์เน็ตมาเปรียบเทียบให้ดูค่ะ


จุดที่เราผิดหวังจริงๆ คือเนื้อเรื่องมากกว่า คือเริ่มช็อคตั้งแต่เห็นคะแนนมะเขือแล้ว จนมาเห็นเวลาฉายคือ 1 ชม. 58 นาที เราว่ามันสั้นนะ แล้วพอมาดูคือเวลาที่เพิ่มมาเกือบครึ่งชม.คือไม่ได้อะไรเพิ่มมาเลย ทุกอย่างเหมือนเดิม เปลี่ยนแค่ภาพ คือแบบ ดูโดราเอมอน เดอะมูฟวีที่มันรีเมคๆ กันยังได้อะไรเพิ่มมาเยอะกว่าอ่ะ เราถึงบอกว่ายึดเอาละครเวทีเป็นมาตรฐานจะดีกว่ามั้ย อันนั้นก็คือเคารพบทต้นฉบับมากๆ แต่ก็ยังมีอะไรใหม่ๆ มาให้ได้ดูชม อย่างนี้คือก็ได้เอาใจคนดูทั้ง 2 ประเภทไง ทั้งพวกแฟนบอยเดนตายที่ไม่ให้แปลงบทเดิมๆ แลัพวกที่ถวิลหาความแปลกใหม่ คือวินๆ กันไป นี่เวลาที่เพิ่มมาเอาไปเล่นกับขี้ยีราฟอะไรไม่รู้
ด้านเพลง คือเพลงเดิมๆ ก็ดีมากอยู่แล้วแหละ แต่แอบรำคาญลูกเอื้อน R&B ต่างๆ คือดูพากย์ไทยมาแต่รู้เลยว่าพากย์ไทยพยายามร้องตามต้นฉบับที่เป็น Beyonce แล้วบทพากย์ไทยนี่คือเข้าใจอารมณ์ที่บ่นๆ อลาดินพากย์ไทยตอนนั้นแล้วค่ะ อื้อหือ เพลง Circle of Life คือเลวทรามมากกกก แล้วเราว่าความหมายมันไม่ได้ตรงตามภาษาอังกฤษมากขึ้นเลยอ่ะ คือบทเดิมก็ดีอยู่แล้วไปเปลี่ยนมันทำม้ายยย เพลงอื่นๆ ก็พอรับได้ ส่วนเพลงใหม่นี่ถ้าไม่ตั้งใจสังเกตฟังดีๆ นี่อาจพลาดนะ มาแบบงงๆ คลอๆ ไปกับดนตรี แล้วก็แป๊บเดียวจบ คือไม่ได้เศษเสี้ยวของ Speechless เลยอ่ะ แล้วเพลงจากละครเวทีดีๆ เยอะแยะไม่หยิบมาใช้เลย ทั้ง He lives in you, Shadowland ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลา Disney ทำ live action ชอบหนีไม่ใช้ของที่มีในละครเวที กลัวจำเจไม่แปลกใหม่เหรอ หนังเวอร์ชั่นนี้อ่ะจำเจกว่าอีก
ส่วนตัวให้ 6/10 พอค่ะ คะแนนมาจากงานภาพ ซีจีตัวละครสัตว์ การ animated ตัวละครต่างๆ ออกมาได้น่ารัก มีอารมณ์ร่วมดี จริงๆ อยากให้คะแนนนักพากย์ด้วยแต่เผอิญดูพากย์ไทย และหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นบทเรียนของ Disney นะคะว่าการทำทุกอย่างให้เหมือนของเดิมทุกกระเบียดนิ้วมันไม่เวิร์คเสมอไป เรื่องไหนคิดไม่ออกว่าจะทำไงให้หันไปดูละครเวทีของตัวเอง นั่นแหละค่ะ เคารพต้นฉบับ แต่ยังมีฉากมีเพลงใหม่ๆ อยู่ด้วยค่ะ
ขออนุญาตเพิ่มรูปนะคะ
[CR] The Lion King 2019 จริงๆ เอาเวอร์ชั่นละครเวทีเป็นมาตรฐานก็น่าจะดี
ส่วนตัวเราเองก็จองบัตรละครเวทีรอบ 5 ต.ค. 14.30 ไปแล้วค่ะ ถึงแม้ละครเรื่องนี้จะมีมานานกว่า 20 ปี เปิดแสดงครั้งแรกหลังจากภาพยนตร์ออกจากโรงไม่นานนัก แต่เราเองก็ยังไม่เคยชมละครเรื่องนี้เลยค่ะ ทั้งที่มีโอกาสไปต่างประเทซทีไรก็มีเรื่องนี้เปิดแสดงอยู่ใกล้ๆ ตลอดแต่ก็ได้แต่เดินเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา ไม่ได้เข้าไปชมสักที คราวนี้มาถึงไทย บัตรแพงแค่ไหนก็อยากลองชมสักครั้งค่ะ ยิ่งตอนนี้ The Lion King ขึ้นไปยืนหนึ่งในการจัดอันดับละครบรอดเวย์แล้วด้วย
ในส่วนของเนื้อเรื่อง ถึงแม้จะยังไม่เคยชม แต่จากเพลงที่หามาฟังเนื้อเรื่องไม่ต่างจากภาพยนตร์ค่ะ แต่หลายๆ ฉากในภาพยนตร์ที่เป็นฉากพูดปกติก็ถูกปรับให้เป็นเพลง และด้วยความที่ภาพยนตร์มีความยาวแค่ 1 ชม. 30 นาที พอเป็นละครเวทีก็ถูกปรับให้ยาวขึ้น มีเพิ่มฉากที่สการ์จะทำร้ายนาล่าจนนาล่าต้องหนีออกมาจากแดนทรนงก่อนจะมาเจอซิมบ้า ฉากมูฟาซ่าสอนซิมบ้าเรื่องเจ้าป่าบนดวงดาว และฉากราฟิกีให้ซิมบ้าดูเงาสะท้อนในน้ำก็ถูกปรับเป็นเพลง They/He lives in you ที่ถูกนำมาใส่ประกอบในภาพยนตร์ภาค 2 ส่วนตัวแล้ว ถึงแม้จะยังไม่เคยชมละครเวที แต่จากเพลงต่างๆ ที่ได้ฟังก็สร้างความประทับใจให้เราเป็นอย่างมาก เพราะภาพยตร์เรื่องนี้เราก็ดูมาตั้งแต่เด็ก ทุกฉากทุกตอนอยู่ในความทรงจำเราเป็นอย่างดี พอหลายๆ ฉากที่เคยเป็นบทพูดถูกปรับมาเป็นเพลงที่ไพเราะ ฉากที่เพิ่มเข้ามาก็เหมาะสมลงตัวกับเนื้อเรื่องเดิม ดนตรีของ Hans Zimmer ก็ถูกนำมาใส่เนื้อร้องได้ลงตัว ทำให้เราประทับใจมากๆ แม้จะได้ฟังแค่เพลงก็ตามค่ะ
มาถึงฉบับภาพยนตร์ปี 2019 เราเองก็เฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อตั้งแต่ประกาศว่าจะสร้าง เพราะอย่างที่บอกว่าเราชอบภาพยนตร์ปี 1994 มาก Jon Favreau เองก็ทำให้เราประทับใจได้พอสมควรจาก The Jungle Book 2016 ยิ่งพอเห็นตัวอย่างและโปสเตอร์ต่างๆ ออกมาก็ยิ่งอยากดู จนถึงวันนี้ที่ได้ดูแล้วก็ขอพูดตามตรงว่าภาพรวมค่อนข้างผิดหวังค่ะ
ขอเริ่มจากงานภาพที่เป็นจุดขายของหนังเรื่องนี้ก่อนแล้วกันนะคะ ด้านงานภาพแน่นอนว่าไม่ผิดหวังอยู่แล้ว สวยงามและสมจริงมากๆ แต่จุดที่หลายคนตำหนิและไม่พอใจหนังเรื่องนี้คือสัตว์แสดงอารมณ์ได้น้อยและแต่ละตัวหน้าตาเหมือนกันไปหมดจนแยกไม่ออก แต่สำหรับเราไม่มีปัญหากับเรื่องนี้นะคะ เราว่าสัตว์ในเรื่องแสดงอารมณ์ออกมาได้ค่อนข้างดีเลย จริงๆ ถ้ารักสัตว์และคลุกคลีกับสัตว์มามากๆ ไม่ว่าจะหมาแมวที่บ้าน หรือดูคลิปหรือสารคดีสัตว์ หรือหนังที่มีสัตว์มาเยอะจะเห็นถึงพฤติกรรมและการแสดงออกทางอารมณ์ของพวกมันอยู่ ซึ่งหนังเรื่องนี้ เอาเข้าจริงๆ ก็พยายามใส่อารมณ์ต่างๆ เข้าไปเยอะกว่าที่สัตว์จริงๆ จะแสดงออกมาได้อยู่ สรุปคือ เราว่าตัวละครในเรื่องแสดงอารมณ์ออกมาได้ค่อนข้างดีแล้วค่ะ โดยเฉพาะสการ์ ทีโมน และพุมบ้า คืออารมณ์พลุ่งพล่านทะลุตัวละคร cg มากๆ แต่ซิมบ้าและนาล่าก็ทำได้ดีมากๆ ทั้งวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว มีบางจุดที่อาจจะยังทำได้ไม่ดี แต่ไม่ใช่เรื่องของตัวละคร cg แต่เป็นเรื่องของเสียงพากย์มากกว่า แต่ต้องบอกว่าเราดูพากย์ไทยนะ ดู soundtrack น่าจะดีขึ้น ส่วนตัวละครสัตว์แต่ละตัวเราว่าเขาก็ทำแต่ละตัวได้มีเอกลักษณ์ดีนะคะ อย่างสิงโตหลายๆ คนบอกว่าแยกออกแค่สการ์ แต่จริงเราว่าอย่างมูฟาซ่าเนี่ยก็แยกออกนะ ซาราบีกับนาล่าก็เหมือนกัน คือมันไม่ได้เหมือนกันขนาดนั้นอ่ะ แล้วเอาเข้าจริงๆ คือ 4 ตัวนี้มันเหมือนกันตั้งแต่ในการ์ตูนปี 94 แล้วนะ ซิมบ้ากับมูฟาซ่า ซาราบีกับนาล่าคือเหมือนกันมาก มีแค่จุดเล็กๆ ที่ทำให้รู้ว่ามูฟาซ่ากับซาราบีจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่า ที่เหลือทั้งสีขน แผงคอต่างๆ คือเหมือนกันหมดค่ะ ดังนั้นเราว่าเขาออกแบบมาอย่างนี้คือถูกแล้วค่ะ
หารูปจากอินเทอร์เน็ตมาเปรียบเทียบให้ดูค่ะ
จุดที่เราผิดหวังจริงๆ คือเนื้อเรื่องมากกว่า คือเริ่มช็อคตั้งแต่เห็นคะแนนมะเขือแล้ว จนมาเห็นเวลาฉายคือ 1 ชม. 58 นาที เราว่ามันสั้นนะ แล้วพอมาดูคือเวลาที่เพิ่มมาเกือบครึ่งชม.คือไม่ได้อะไรเพิ่มมาเลย ทุกอย่างเหมือนเดิม เปลี่ยนแค่ภาพ คือแบบ ดูโดราเอมอน เดอะมูฟวีที่มันรีเมคๆ กันยังได้อะไรเพิ่มมาเยอะกว่าอ่ะ เราถึงบอกว่ายึดเอาละครเวทีเป็นมาตรฐานจะดีกว่ามั้ย อันนั้นก็คือเคารพบทต้นฉบับมากๆ แต่ก็ยังมีอะไรใหม่ๆ มาให้ได้ดูชม อย่างนี้คือก็ได้เอาใจคนดูทั้ง 2 ประเภทไง ทั้งพวกแฟนบอยเดนตายที่ไม่ให้แปลงบทเดิมๆ แลัพวกที่ถวิลหาความแปลกใหม่ คือวินๆ กันไป นี่เวลาที่เพิ่มมาเอาไปเล่นกับขี้ยีราฟอะไรไม่รู้
ด้านเพลง คือเพลงเดิมๆ ก็ดีมากอยู่แล้วแหละ แต่แอบรำคาญลูกเอื้อน R&B ต่างๆ คือดูพากย์ไทยมาแต่รู้เลยว่าพากย์ไทยพยายามร้องตามต้นฉบับที่เป็น Beyonce แล้วบทพากย์ไทยนี่คือเข้าใจอารมณ์ที่บ่นๆ อลาดินพากย์ไทยตอนนั้นแล้วค่ะ อื้อหือ เพลง Circle of Life คือเลวทรามมากกกก แล้วเราว่าความหมายมันไม่ได้ตรงตามภาษาอังกฤษมากขึ้นเลยอ่ะ คือบทเดิมก็ดีอยู่แล้วไปเปลี่ยนมันทำม้ายยย เพลงอื่นๆ ก็พอรับได้ ส่วนเพลงใหม่นี่ถ้าไม่ตั้งใจสังเกตฟังดีๆ นี่อาจพลาดนะ มาแบบงงๆ คลอๆ ไปกับดนตรี แล้วก็แป๊บเดียวจบ คือไม่ได้เศษเสี้ยวของ Speechless เลยอ่ะ แล้วเพลงจากละครเวทีดีๆ เยอะแยะไม่หยิบมาใช้เลย ทั้ง He lives in you, Shadowland ไม่เข้าใจว่าทำไมเวลา Disney ทำ live action ชอบหนีไม่ใช้ของที่มีในละครเวที กลัวจำเจไม่แปลกใหม่เหรอ หนังเวอร์ชั่นนี้อ่ะจำเจกว่าอีก
ส่วนตัวให้ 6/10 พอค่ะ คะแนนมาจากงานภาพ ซีจีตัวละครสัตว์ การ animated ตัวละครต่างๆ ออกมาได้น่ารัก มีอารมณ์ร่วมดี จริงๆ อยากให้คะแนนนักพากย์ด้วยแต่เผอิญดูพากย์ไทย และหวังว่าเรื่องนี้จะเป็นบทเรียนของ Disney นะคะว่าการทำทุกอย่างให้เหมือนของเดิมทุกกระเบียดนิ้วมันไม่เวิร์คเสมอไป เรื่องไหนคิดไม่ออกว่าจะทำไงให้หันไปดูละครเวทีของตัวเอง นั่นแหละค่ะ เคารพต้นฉบับ แต่ยังมีฉากมีเพลงใหม่ๆ อยู่ด้วยค่ะ
ขออนุญาตเพิ่มรูปนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้