สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
ทฤษฎีสมคบคิด จากสารคดี Ancient Alien ทั้งนั้นครับ ว่าด้วยเรื่องเอเลี่ยนคือพระเจ้า แต่หาสาระไม่ค่อยได้
1. เรื่องแรก โยคีลอยตัวได้มัน มันเป็นปาหี่ของแขกข้างถนนชนิดนึง แบบเดียวกับเป่าปี่เรียกงู...หรือปิดผ้าเรียกอับดุลเอ้ย ถามอะไรตอบได้น่ะครับ....ประเทศไทยก็มี...บ้านเราพัฒนาไปถึงขั้นเมียงูลูบได้คลำได้, คนสองหัว, กระสือ etc นั่นแหละครับ... ต้องถามว่าเกิดทันรึเปล่า เพราะจะมีเฉพาะงานวัดสมัยแถบชานเมือง ชนบทสมัยก่อนจริงๆที่จะเก็บค่าเข้าไปดู แบบปิดม่านอย่างเดียวกับลิเกครับ (ไม่รู้สมัยนี้ยังมีอยู่ไม๊นะ)
...และสมัยนี้ฝรั่งมันก็เอามาเล่นกันเยอะ เป็นสตรีตโชว์อย่างนึง(มันเป็นโชว์เชยๆเน้นตลกร้ายน่ะ) ตามรูป คือขึ้นไปนั่งบนแผ่นเหล็กที่ยึดมาอย่างดีซ่อนในไม้คทา และก็ยึดกับแผ่นเหล็ดอีกอันที่ซ่อนไว้ใต้พรหมครับ.... แบบเดียวกับทริกรองเท้าไมเคิล แจ็กสัน เอียงตัว 45 องศา

หรือถ้าเหนือชั้นหน่อยก็พวกเดวิด คอปเปอร์ฟิวด์ ที่สามารถลอยตัวได้ ซึ่งมันก็ใช้สลิงแบบเส้นเล็กมากๆนั่นแหละครับ คนเราจะไม่สังเกตสิ่งเล็กๆ แต่จะมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งใหญ่ๆ จนเกิดเป็นมายากลลวงตาได้ เป็นทริกที่นักมายากลใช้ได้ผลทุกยุค
2. วิมานะ พาหนะลอยฟ้าของพระราม อืม อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ รามเกียรติมันเป็นวรรณกรรมที่ล้อมาจากพงศาวดาร ศึกสงครามระหว่างเผ่าอารยันทางเหนือ กับฝ่ายดราวิเดี้ยนทางใต้ของอินเดีย แต่ใส่อภินิหารเข้ามาเยอะยิ่งกว่า ลอร์ดออฟเดอะริง ซะอีก
ความจริง วิมานะ มันก็แปลว่าวิมาน ที่อยู่ของเทวดา หรือ Heaven นั่นแหละครับ แบบเดียวกับในการ์ตูนแก๊กขายหัวเราะ ในวัฒนธรรมฝรั่งก็มี จีนก็มีหงอคงขี่เมฆสีทอง อันที่จริงคนแต่งนิยายก็จินตนาการมาจากก้อนเมฆนั่นแหละ คอมมอนเซ้นส์มากเลย เวลาใครดูก้อนเมฆก็จินตนาการเป็นนั่นนี่นู่นได้หมดล่ะครับ ไม่แปลกอะไรเลย...

ส่วนที่เป็นรูปยานบนลายแกะสลักหินอินเดีย ที่เป็นคล้ายการปล่อยจรวด ผมว่านักทฤษฎีเอเลี่ยนโบราณ เค้าคิดเชื่อมโยงชักจูงให้คนเชื่อตามนะ ผมดูตอนแรกก็คล้อยตามนิดๆ แต่ดูไปดูมาอีกทีนึง มันเป็นรูปทรงบัลลังค์ แล้วก็แหงนมองดูดาวเฉยๆครับ
4. ชาวแอตแลนติส ถ้ามีอยู่จริง แล้วตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้ว เป็นต้นอารยธรรมของอะไร เทตโนโลยียานเหาะนี่มันสามารถครองโลกได้เลยนะ แล้วจู่ทำไมหายไปเลยล่ะ หรือออกไปอยู่ดาวอังคารแล้ว 555
5. ข้อมูลที่มาจากจีน ขอแหล่งที่มาเพิ่มด้วยครับ เทคโนอวกาศจีนนี่เค้าก็อปปี้เสินเจิ้นจากนาซ่านะ ไม่ได้มาจากแหล่งอารยธรรมโบราณที่ใหน ...แหล่งโบราณสุดของจีนคือสุสานจิ๋นซี ที่จะมีหุ่นสำริดที่เป็นทหาร อาวุธยุโธปกรณ์สมัยนั้นจำลองมาครบทุกชิ้น ...แต่ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า พาหนะลอยฟ้าเลย
6. คานติดเพดานอียิปต์ อันนี้เป็นไวรอลมากตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา ข้อเท็จจริงมันเป็นการสลักข้อความภาพทับไปมาจากของเดิม พูดง่ายๆ คือช่างสลักผิดพลาดจนมั่ว และบางสัญลักษณ์ไปคล้ายกับเรือบิน เฮลิคอปเตอร์สมัยนี้ไปครับ
7. อันสุดท้ายที่เป็นรูปทรงเครื่องบินที่พบในเม็กซิโก ผมเคยดูสารคดีนานละ เค้าบอกว่าแกะสลักเลียนแบบแมลงชนิดนึงครับ แต่รูปทรงมันเป็นไปตามหลักแอโร่ไดนามิคของเครื่องบินสมัยใหม่ ซึ่งผมคิดว่านวัตกรรมของมนุษย์มันก็เลียนแบบธรรมชาติมาอีกทีนะ มากกว่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งประดิษฐ์นอกโลกครับ
1. เรื่องแรก โยคีลอยตัวได้มัน มันเป็นปาหี่ของแขกข้างถนนชนิดนึง แบบเดียวกับเป่าปี่เรียกงู...หรือปิดผ้าเรียกอับดุลเอ้ย ถามอะไรตอบได้น่ะครับ....ประเทศไทยก็มี...บ้านเราพัฒนาไปถึงขั้นเมียงูลูบได้คลำได้, คนสองหัว, กระสือ etc นั่นแหละครับ... ต้องถามว่าเกิดทันรึเปล่า เพราะจะมีเฉพาะงานวัดสมัยแถบชานเมือง ชนบทสมัยก่อนจริงๆที่จะเก็บค่าเข้าไปดู แบบปิดม่านอย่างเดียวกับลิเกครับ (ไม่รู้สมัยนี้ยังมีอยู่ไม๊นะ)
...และสมัยนี้ฝรั่งมันก็เอามาเล่นกันเยอะ เป็นสตรีตโชว์อย่างนึง(มันเป็นโชว์เชยๆเน้นตลกร้ายน่ะ) ตามรูป คือขึ้นไปนั่งบนแผ่นเหล็กที่ยึดมาอย่างดีซ่อนในไม้คทา และก็ยึดกับแผ่นเหล็ดอีกอันที่ซ่อนไว้ใต้พรหมครับ.... แบบเดียวกับทริกรองเท้าไมเคิล แจ็กสัน เอียงตัว 45 องศา

หรือถ้าเหนือชั้นหน่อยก็พวกเดวิด คอปเปอร์ฟิวด์ ที่สามารถลอยตัวได้ ซึ่งมันก็ใช้สลิงแบบเส้นเล็กมากๆนั่นแหละครับ คนเราจะไม่สังเกตสิ่งเล็กๆ แต่จะมีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งใหญ่ๆ จนเกิดเป็นมายากลลวงตาได้ เป็นทริกที่นักมายากลใช้ได้ผลทุกยุค
2. วิมานะ พาหนะลอยฟ้าของพระราม อืม อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ รามเกียรติมันเป็นวรรณกรรมที่ล้อมาจากพงศาวดาร ศึกสงครามระหว่างเผ่าอารยันทางเหนือ กับฝ่ายดราวิเดี้ยนทางใต้ของอินเดีย แต่ใส่อภินิหารเข้ามาเยอะยิ่งกว่า ลอร์ดออฟเดอะริง ซะอีก
ความจริง วิมานะ มันก็แปลว่าวิมาน ที่อยู่ของเทวดา หรือ Heaven นั่นแหละครับ แบบเดียวกับในการ์ตูนแก๊กขายหัวเราะ ในวัฒนธรรมฝรั่งก็มี จีนก็มีหงอคงขี่เมฆสีทอง อันที่จริงคนแต่งนิยายก็จินตนาการมาจากก้อนเมฆนั่นแหละ คอมมอนเซ้นส์มากเลย เวลาใครดูก้อนเมฆก็จินตนาการเป็นนั่นนี่นู่นได้หมดล่ะครับ ไม่แปลกอะไรเลย...

ส่วนที่เป็นรูปยานบนลายแกะสลักหินอินเดีย ที่เป็นคล้ายการปล่อยจรวด ผมว่านักทฤษฎีเอเลี่ยนโบราณ เค้าคิดเชื่อมโยงชักจูงให้คนเชื่อตามนะ ผมดูตอนแรกก็คล้อยตามนิดๆ แต่ดูไปดูมาอีกทีนึง มันเป็นรูปทรงบัลลังค์ แล้วก็แหงนมองดูดาวเฉยๆครับ
4. ชาวแอตแลนติส ถ้ามีอยู่จริง แล้วตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้ว เป็นต้นอารยธรรมของอะไร เทตโนโลยียานเหาะนี่มันสามารถครองโลกได้เลยนะ แล้วจู่ทำไมหายไปเลยล่ะ หรือออกไปอยู่ดาวอังคารแล้ว 555
5. ข้อมูลที่มาจากจีน ขอแหล่งที่มาเพิ่มด้วยครับ เทคโนอวกาศจีนนี่เค้าก็อปปี้เสินเจิ้นจากนาซ่านะ ไม่ได้มาจากแหล่งอารยธรรมโบราณที่ใหน ...แหล่งโบราณสุดของจีนคือสุสานจิ๋นซี ที่จะมีหุ่นสำริดที่เป็นทหาร อาวุธยุโธปกรณ์สมัยนั้นจำลองมาครบทุกชิ้น ...แต่ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่า พาหนะลอยฟ้าเลย
6. คานติดเพดานอียิปต์ อันนี้เป็นไวรอลมากตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหา ข้อเท็จจริงมันเป็นการสลักข้อความภาพทับไปมาจากของเดิม พูดง่ายๆ คือช่างสลักผิดพลาดจนมั่ว และบางสัญลักษณ์ไปคล้ายกับเรือบิน เฮลิคอปเตอร์สมัยนี้ไปครับ
7. อันสุดท้ายที่เป็นรูปทรงเครื่องบินที่พบในเม็กซิโก ผมเคยดูสารคดีนานละ เค้าบอกว่าแกะสลักเลียนแบบแมลงชนิดนึงครับ แต่รูปทรงมันเป็นไปตามหลักแอโร่ไดนามิคของเครื่องบินสมัยใหม่ ซึ่งผมคิดว่านวัตกรรมของมนุษย์มันก็เลียนแบบธรรมชาติมาอีกทีนะ มากกว่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งประดิษฐ์นอกโลกครับ
แสดงความคิดเห็น
เคยมียานพาหนะะที่บินได้ในสมัยโบราณจริงหรือ
ซึ่งมีลักษณะคล้ายยานบินหรือแม้กระทั้งยานอวกาศ เป็นไปได้ไหมว่า ในอดีตนั้นเราเคยมียานที่บินได้ โดยมนุษย์
จากนอกโลกเป็นผู้นำมา และเป็นที่กำเนิดยาน UFO??
หลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์คือในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช(Ashoka) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดีย
มีคำร่ำลือว่าพระองค์เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งแหล่งวิทยาการ “สมาคมลับของบุรุษนิรนามทั้งเก้า”(Secret Society of the
Nine Unknown Men)
ซึ่งปราชญ์อินเดียในสมัยนั้นต่างกระหายที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่พระเจ้าอโศก
กลับงานวิทยาการต่างๆ ของพวกเขาเป็นความลับ เพราะกลัวว่าวิทยาการเหล่านั้นถ้าเผยแพร่ไปอาจเกิดเหตุนองเลือดขึ้นได้
เพราะพระองค์เองเคยใช้วิทยาการเหล่านั้นทำสงครามมาแล้ว พระองค์จึงเน้นทำนุบำรุงศาสนาพุทธแทน
เล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ความลับของแรงโน้มถ่วง(The Secrets of Gravitation) เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ
เนื้อหาในหนังสือเป็นคนละแบบกับ “กฎของแรงโน้นถ่วงของนิวตัน” และหนังสือเก้าเล่มนี้อาจเก็บอยู่ในห้องสมุด
ที่ไหนสักแห่งในอินเดียหรือทิเบต(หรือแม้แต่ในอเมริกา)
เมื่อไม่นานมาแล้ว ชาวจีนได้ค้นพบแท่งหินอักขระจารึกเป้นภาษาสันสกฤตในเมืองลาศา(Lhasa) ในทิเบต และส่งแท่นหินเหล่านี้
ไปศึกษาค้นคว้าที่มหาลับชานดริการ์ ดร.รูท เรย์นา อาจารย์ประจำมหาลัยกล่าวว่า แท่งหินอักขระพวกนี้บ่งบอกถึงวิธีการสร้าง
ยานอวกาศที่สามารถเดินทางไปมาระหว่างดวงดาวได้!!
ซึ่งเป็นแรงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เกิดมาจากพลังจิตของมนุษย์ โดยมีหลักการว่า แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง(Centrifugak Force)
จะมีกำลังมากพอที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกได้ และจากความรู้ทางฮินดูโบราณ(Hindu Yogis)แรงหรือพลัง ลากิมะนี้
สามารถยกมนุษย์ให้ลอยขึ้นฟ้าได้
ดร.เรย์ยังอธิบายอีกว่าสำหรับตัวเครื่องจักรหรือยานพาหนะนี้พวกเขาเรียกว่า “แอสทรา(Astras)” ซึ่งเป็นยานที่สามารถต่อต้าน
แรงดึงดูดของโลกและมีหลักฐานที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชนิดนี้ว่ามีใช้กันในอินเดียสมัยโบราณหรือในสมัยที่ยังมีอาณาจักรของพระรามอยู่
อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ได้ก่อตั้งมานาน 15,000 ปีแล้วในทวีปอินเดีย
ซึ่งตอนนั้นยังแยกออกมาจากทวีปเอเซียอยู่และดำรงมาควบคู่กับอาณาจักรแอตแลนติสที่อยู่กลางมหาสมุทรแอนแลนติกมาก่อน
อาณาจักรพระรามปกครองโดย “สังฆราชาผู้สำเร็จ”(Enlightened Priest-Kings) เรียกชื่อเมืองหลวงทั้งเจ็ดเมืองว่า
เมืองฤษีทั้งเจ็ด(The Seven Risni Cities) ตามหลักฐานของชาวอินเดียโบราณ ผู้คนในสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะ
ที่สามารถบินได้ชื่อ วิมาน(Vimanas)
จากข้อความดังกล่าว ทำให้เราจิตนาการว่ามันคือจากบินหรือเปล่านี่!!
ยานวิมาน บินด้วย “ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลม(Speed of The Wind)และมีเสียงที่ดังมาก ยานนี้มีรูปร่างที่ต่างๆ กันถึงสี่แบบ
มีรูปร่างคล้ายกับจานบินบ้าง หรือไม่ก็มีรูปร่างคล้ายกระบอกยาวๆ บ้าง (หรือมีรูปร่างคล้ายซิการ์ดังเช่น UFO)
ชาวอินเดียโบราณผลิตยานเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง และพวกเขาได้เขียนวิธีควบคุมยานบินทั้งสี่แบบเหล่านี้ไว้ซะด้วย!!
ในปี ค.ศ.1875 มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับยานชนิดนี้ในวัดแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นหลักฐานที่มีอายุออยู่ในช่วงศตวรรษ
ที่สี่ก่อนคริสต์ศักราช ในหลักฐานนั้นบ่บอกถึงวิธีการควบคุมยานวิมาน รวมถึงการบังคับเลี้ยว การระมัดระวังในการเดินทาง
การป้องกันยานจากพายุและสายฟ้า และยังบอกวิธีการขับเคลื่อนโดยการใช้แสงอาทิตย์ที่คล้ายๆ กับ “แรงต่อต้านแรงโน้นถ่วง”
นอกจากนี้ หลักฐานชิ้นนี้ยังบอกวิธีการสร้างยานวิมานอย่างละเอียดถึงชิ้นส่วนของยาน 31 ชิ้น และวัสดุที่ใช้สร้างอีก 16 อย่าง
ซึ่งวัสดุพวกนี้มีคุณสมบัติที่ดูดซับแสงและความร้อนได้ และนี่คงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างยานที่สามารถขับเคลื่อนไปบนฟ้าได้
และยังสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ราวกับเฮลิคอปเตอร์หรือยานบินในสมัยนี้ซะอีก
ในด้านพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนนั้นหลักฐานกล่าวไว้ว่า ยานวิมานใช้ของเหลวสีขาวอมเหลือง(Yellowish white liguid)
เป็นสารประกอบที่คล้ายกัยปรอท ดูเหมือนว่าบางทีของเหลวสีขาวอมเหลืองนี้อาจเป็นสารที่คล้ายๆ กับน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้
เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเครื่องยนต์ไอพ่นก็ได้
นอกเหนือจากหลักฐานแท่งอักขระแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องบางส่วนในมหากาพย์มหาภารตะกับรามายณะที่บรรยายลักษณะของ
ยานวิมานว่ามีรูปร่างเป็นทรงกลมและขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลมโดยใช้ปรอทเป็นตัวขับเคลื่อน การขับเคลื่อน
คล้ายกับ UFO ไม่มีผิด
ยานวิมานเป็นเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็ก เชื่อมติดกันอย่างดีและเรียบร้อยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยใช้ปรอทพ่นออกมา
จากข้างหลังของตัวยานในรูปแบบของเปลวไฟคำราม (Roaring Flame)
นักวิทยาศาสตร์ชาวโซเวียตได้ค้นพบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องมือในยุคโบราณที่ใช้ระบบนำร่องของยาน”
ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศตุรกีและในทะเลทรายโกบี มันเป็น “อุปกรณ์” ที่เป็นรูปทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากแก้วเหมือนถ้วบชาม
โดยส่วนปลายสุดจะเรียวเล็กลงเป้นรูปกรวยและมีสารปรอทอยู่ภายในด้วย หลักฐานบ่ชี้ว่าชาวอินเดียในสมัยโบราณเคยใช้
พาหนะนี้บินผ่านทั่วเอเชียมาแล้ว และอาจจะเคยบินผ่านทวีปแอตแลนตีสมาแล้วด้วย
นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงรถศึกเพลิงกัลป์(Fiery Charot)ไว้ในมหากาพย์มหาภารตยุทธว่า
“ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า
ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิงที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้
ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล”
เป็นยานที่มีสองเครื่องยนต์, วิมานรูปช้าง(Elephant VimanaX,มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และระบุชื่อยานวิมานรูปแบบอื่นๆ
ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ต่างๆ
ชาวแอตแลนติสเคยใช้ยานบินที่เรียกว่า “ไวลิกซี(Vaillxl)” มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องบินในสมัยนี้ หลักฐานของอินเดียว่าคนทวีปนี้
ต้องการจะใช้ยานของเขาเพื่อครอบครองโลก(ติดตามได้ในเมื่อนาซีค้นหาแอตแลนตีส)
ยานของแอตแลนตีสเรียกว่า “อัศวิน(Asvins)”และยังบอกว่าชาวแอตแลนตีสมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าของอินเดียและยังเป็น
ที่ชื่นชอบการทำสงครามด้วย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกถึงยานบินวืมานก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างอยู่บ้าง เช่นว่า
รูปร่างคล้ายซิการ์และสามารถแทรกตัวลงใต้น้ำได้ดีพอๆ กับการบินผ่านชั้นบรรยากาศหรือนอกโลก
ในทวีปแอตแลนติส และส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายๆ จานแบนๆ ภาคตัวยานตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีเครื่องยนต์รูปครึ่งวงกลมสามตัว
ติดตั้งอยู่ส่วนล่างของยาน...พวกเขาใช้อุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้นถ่วงที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ที่มีกำลังประมาณ 30,000แรงม้า
บางตอนในมหากาพย์รามายณะกับมหาภารตะก็เคยกล่าวถึงสงครามมหาประลัย ครั้งนั้นว่า
“อาวุธที่เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้งปลดปล่อยพลังของเอกภพมาอย่างมหาศาล เปลวเพลิงและควันที่ลุกโซติช่วงราวกับ
มีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่นับพันดวง...พายุสายฟ้ากัมปนาท ผู้ส่งสารแห่งความตาย ที่นำมาซึ่งขี้เถ้า เผ่าพันธุ์ทั้งปวง....
....ซากศพกลับถูกเผาไหม้ จนจำหน้าตาไม่ได้ ผมและเล็บก็หลุดร่วงออกมาเครื่องดินเผาต่างๆ กลับแจกหักโดยไม่รู้สาเหตุ
และนกก็เปลี่ยนเป็นสีขาว.........หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงอาหารทั้งหมดก็เป็นพิษ เพื่อที่จะหนีออกมาจากไฟบรรลัยกัลป์นี้
ชะล้างตัวพวกเขาและเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเขาด้วย”
นี้เขาบรรยายมหาภารตะหรือบรรยายเรื่องมหาสงครามนิวเคลียร์
เมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกเขาพบโครงกระดูกหลายศาก บางโครงนอนกุมมืดอยู่บนหน้าอกด้วยความกลัว ราวกับมีหายนะครั้งใหญ่
นอกจากนี้เขายังพบสารกัมมันตรังรังสีค้างอยู่ในตัวด้วย
เมื่ออาณาจักรแอตแลนตีสกับรามาล่มสลายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรืออะไรก็เถอะ โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคหิน และประวัติศาสตร์สมัยใหม่
ก็ดำเนินต่อไปอีกนับพันปี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของจานบินวิมานยุคโบราณจะไม่สูญหายไปไหน เพราะมันปรากฏอีกทีก็บันทึก
ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกโจมตีอินเดียเมื่อสองพันปีก่อน มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีโดยโล่บินได้
ที่ทำให้รถศึกและกองทัพของพระองค์ต้องหวั่นเกรงไปตามกัน
ว่ากันว่า สมาคมลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหน
สักแห่งในทิเบตหรือเจกลางเอเซียรวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์(Lop Nor Desert) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญ
กันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO
วิทยาการในสมัยโบราณที่พวกเขาเชื่อว่าเคยมีอยู่จริง พวกเขาเชื่อว่าอารยธรรมในอดีตนั้นมียานบินต่างๆ และรวมไปถึงอาวุธ
ทำลายล้างที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต
โดยมีผู้สังเกตการณ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้, อาฟริกา, แถบแปซิฟิก และอื่นๆ เกือบทั่วโลก และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง
นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังคงได้ศึกษาวิจัยต่อจากประเทศอเมริกาและโซเวียตให้การสนับสนุน