บทความตามใจฉัน “GOC: Summary of 8”
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านบทความตามใจฉัน หัวข้อ “Game of Consoles”
ทั้งผู้ที่ได้ติดตามอ่านมาโดยตลอดหรือผู้ที่เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจ
ขณะนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมเกมช่วง 1980s ถึงต้น 90s
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุคของเครื่องเกม 8 Bits ก็ได้จบลงแล้ว
แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเกมยุค 8 Bits
ที่ผู้เขียนยังไม่ได้เล่าถึง นั้นก็เพราะผู้เขียนต้องการที่จะโฟกัสบทความไปในหัวข้อสำคัญ
ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกมในยุคนั้นและในอนาคตก่อน
ในบทความนี้จึงเป็นการสรุปความของ “Game of Consoles”
ที่เขียนมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้รวมถึงตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจ
เพื่อเป็นการปิด “Game of Consoles” ในยุค “8 Bits” ซึ่งต่อไปผู้เขียนจะเรียกว่า
“Game of Consoles 8” (GoC8)
และเป็นการปูพื้นสู่บทต่อไป

เริ่มจากบทความแรกของ GoC8 คือ NES
โดยสรุปคือ Nintendo ต้องการเปิดตลาดเครื่องเกม Famicom ที่อเมริกา โดยรวมมือกับ Atari
แต่ดีลกลับล่มไปก่อนจึงตัดสินใจดำเนินการต่อด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จในชื่อ Nintendo Entertainment System (NES)
จุดที่น่าสังเกตคือมุมมองต่ออุตสาหกรรมเกมในขณะนั้นระหว่าง
Nintendo กับนักธุรกิจและนักวิเคราะห์ชาวอเมริกันช่างแตกต่างกันมาก
นักธุรกิจและนักวิเคราะห์ชาวอเมริกัน ณ ตอนนั้นมองว่าอุตสาหกรรมนี้มันตายไปแล้วจากการล่มสลายของบริษัทเครื่องเกมยักษ์ใหญ่ในขณะนั้น
Atari ,ผู้คนเริ่มไม่นิยมเล่นเกม, เครื่องเล่มเกมขายไม่ออก,ผู้ปกครองไม่นิยมที่จะซื้อเครื่องเกมให้บุตรรวมถึงการมาของ
Home Computer ที่ใช้งานได้หลากหลายกว่า
แต่ Nintendo ที่มองจากอีกมุมหนึ่งกลับเห็นว่าอุตสาหกรรมเกมในอเมริกายังคงดีอยู่
โดยจุดที่ Nintendo ตั้งคำถามคือความนิยมในเกมอาเขต
ถ้าผู้คนเริ่มไม่นิยมเล่นเกมแล้วทำไมเกมอาเขตยังได้รับความนิยมอยู่ล่ะ
โดยชุดคำถามนี้คล้ายคลึงกับกรณีของเกม Kantai collection ที่ผู้เขียนเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ที่ว่าตัวเกมฉบับ
PS Vita ไม่ได้รับความนิยมแต่ฉบับตู้เกมอาเขตกลับฮิตถล่มทลาย
และผลคือ Nintendo มองตลาดถูก

อีกจุดสังเกตที่น่าสนใจคือกลยุทธ์ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองซื้อสินค้าของตนเองไปใช้แล้วให้คุณภาพสินค้ามัดใจผู้เล่นเอง
ยอมทำการตลาดแบบม้าไม้เมืองทรอยเอา ROB มาเป็นตัวหลอกล่อผู้ปกครองว่านี่ไม่ใช่เครื่องเกมแต่เป็นของเล่นเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองใช้งานดูก่อน
ซึ่งกลยุทธ์นี้ในปัจจุบันนั้นใกล้เคียงกับกลยุทธ์ Free to Play/Use หรือ Huge Discount เพื่อซึ่งนิยมใช้และประสบความสำเร็จอย่างมาก

ต่อมาคือ 10NES Chip ชิปที่มีเพื่อป้องกันเกมละเมิดลิขสิทธิ์และล๊อกเกมที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก
Nintendo ไม่ให้เล่นบนเครื่อง NES ของตนเองได้
ซึ่งการป้องกันเกมละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยวิธีตรวจสอบแบบนี้และรวมถึงวิธีที่คล้ายคลึงกันนั้นได้มีการพัฒนาและใช้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน
บริษัทใหญ่เช่น Sony หรือ Apple ก็ทำแบบเดียวกัน แต่อาจจะไม่โหดเท่าที่ Nintendo เคยทำสมัยก่อนแล้ว
ข้อสังเกตที่สำคัญในบทความ 10NES Chip คือข้อตกลงเกม Exclusive 2 ปี
ที่หากมองดูอุตสาหกรรมเกมโดยเฉพาะในอเมริกาทั้งก่อนและหลังจากข้อตกลงถูกยกเลิกไปแล้ว
ต้องยอมรับว่าการยกเลิกข้อตกลงนี้ทำให้อุตสาหกรรมเกมพัฒนาไปได้อย่างมากจากการแข่งขันระหว่างบริษัทผู้ผลิตเครื่องเล่นเกม
บริษัทผู้พัฒนาเกมเองก็สามารถสร้างรายได้มากขึ้นจากการแปลงเกมลงเครื่องระบบอื่นจนมีทุนรอนพอที่เอามาจะพัฒนาโปรดักส์ของตนในอนาคต

บทความถัดมาคือ “Famicom Disk system” และ Nintendo ปะทะ ร้าน VDO”
เนื้อหาของทั้งสองบทความนี้บ่งบอกชัดเจนถึงความพยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายและราคาขายของเกมโดยการใช้สื่อแบบอื่นที่ราคาถูกกว่าตลับเช่น
Diskette หรือการใช้วิธีการเช่าแทนซื้อ
แต่ด้วยเทคโนโลยีในสมัยนั้นทำให้สื่อบรรจุเกมยังไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าใช้ตลับที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้

จากนั้นก็ “GOC-Cheating Begin” ที่แสดงถึงความยากและไม่สะดวกในการเล่นเกมจนต้องโกง
ในจุดนี้มีข้อน่าสังเกตที่ว่าบางเกมนั้นยากเพราะปัญหาการออกแบบและเขียนโปรแกรม
ประกอบกับสมัยนั้นตัวเกมยังไม่สามารถใส่ระบบหรือความสามารถของตัวละครที่หลากหลายได้
ทำให้ผู้เล่นไม่มีทางเลือกมากในวิธีการเล่น
กรณีนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับกรณีเกมตระกูล Soul ที่ตัวเกมมีความยากสูงมาก
แต่มีระบบและตัวละครมีทักษะให้เลือกใช้ที่มากพอจะทำให้ผู้เล่นแต่ละคนสร้างวิธีการผ่านด้านของตนเองได้

สุดท้ายคือ Goc D-pad ที่คงไม่ต้องสรุปอะไรมากนักเพราะผลกระทบจากสิ่งนี้ยังสามารถเห็นได้แม้ในปัจจุบัน
นี่ก็คือสรุปโดยสังเขปและข้อสังเกตต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในบทความ GoC8
บทต่อไป “Game of Consoles 16” (GoC16) นั้นผู้อ่านจะได้พบกับ
(ลำดับอาจมีการเปลี่ยนแปลง)

“สิ่งที่มาก่อนกาลและสายเกินเกณฑ์”

“การดิ้นรนครั้งสุดท้าย”

“Monster of 16”

“New Kingdom”

“ความรุนแรงและการควบคุม”

“ยักษ์ตนใหม่”

“ยักษ์ชนยักษ์”

“ผู้ชนะ”

และ “One man who bring doom to them all”

ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/
บทความตามใจฉัน “GOC: Summary of 8”
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านบทความตามใจฉัน หัวข้อ “Game of Consoles”
ทั้งผู้ที่ได้ติดตามอ่านมาโดยตลอดหรือผู้ที่เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อที่สนใจ
ขณะนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับการแข่งขันในอุตสาหกรรมเกมช่วง 1980s ถึงต้น 90s
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุคของเครื่องเกม 8 Bits ก็ได้จบลงแล้ว
แน่นอนว่ายังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเกมยุค 8 Bits
ที่ผู้เขียนยังไม่ได้เล่าถึง นั้นก็เพราะผู้เขียนต้องการที่จะโฟกัสบทความไปในหัวข้อสำคัญ
ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกมในยุคนั้นและในอนาคตก่อน
ในบทความนี้จึงเป็นการสรุปความของ “Game of Consoles”
ที่เขียนมาทั้งหมดจนถึงตอนนี้รวมถึงตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจ
เพื่อเป็นการปิด “Game of Consoles” ในยุค “8 Bits” ซึ่งต่อไปผู้เขียนจะเรียกว่า
“Game of Consoles 8” (GoC8)
และเป็นการปูพื้นสู่บทต่อไป
เริ่มจากบทความแรกของ GoC8 คือ NES
โดยสรุปคือ Nintendo ต้องการเปิดตลาดเครื่องเกม Famicom ที่อเมริกา โดยรวมมือกับ Atari
แต่ดีลกลับล่มไปก่อนจึงตัดสินใจดำเนินการต่อด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จในชื่อ Nintendo Entertainment System (NES)
จุดที่น่าสังเกตคือมุมมองต่ออุตสาหกรรมเกมในขณะนั้นระหว่าง
Nintendo กับนักธุรกิจและนักวิเคราะห์ชาวอเมริกันช่างแตกต่างกันมาก
นักธุรกิจและนักวิเคราะห์ชาวอเมริกัน ณ ตอนนั้นมองว่าอุตสาหกรรมนี้มันตายไปแล้วจากการล่มสลายของบริษัทเครื่องเกมยักษ์ใหญ่ในขณะนั้น
Atari ,ผู้คนเริ่มไม่นิยมเล่นเกม, เครื่องเล่มเกมขายไม่ออก,ผู้ปกครองไม่นิยมที่จะซื้อเครื่องเกมให้บุตรรวมถึงการมาของ
Home Computer ที่ใช้งานได้หลากหลายกว่า
แต่ Nintendo ที่มองจากอีกมุมหนึ่งกลับเห็นว่าอุตสาหกรรมเกมในอเมริกายังคงดีอยู่
โดยจุดที่ Nintendo ตั้งคำถามคือความนิยมในเกมอาเขต
ถ้าผู้คนเริ่มไม่นิยมเล่นเกมแล้วทำไมเกมอาเขตยังได้รับความนิยมอยู่ล่ะ
โดยชุดคำถามนี้คล้ายคลึงกับกรณีของเกม Kantai collection ที่ผู้เขียนเคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ที่ว่าตัวเกมฉบับ
PS Vita ไม่ได้รับความนิยมแต่ฉบับตู้เกมอาเขตกลับฮิตถล่มทลาย
และผลคือ Nintendo มองตลาดถูก
อีกจุดสังเกตที่น่าสนใจคือกลยุทธ์ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองซื้อสินค้าของตนเองไปใช้แล้วให้คุณภาพสินค้ามัดใจผู้เล่นเอง
ยอมทำการตลาดแบบม้าไม้เมืองทรอยเอา ROB มาเป็นตัวหลอกล่อผู้ปกครองว่านี่ไม่ใช่เครื่องเกมแต่เป็นของเล่นเพื่อให้ลูกค้าได้ทดลองใช้งานดูก่อน
ซึ่งกลยุทธ์นี้ในปัจจุบันนั้นใกล้เคียงกับกลยุทธ์ Free to Play/Use หรือ Huge Discount เพื่อซึ่งนิยมใช้และประสบความสำเร็จอย่างมาก
ต่อมาคือ 10NES Chip ชิปที่มีเพื่อป้องกันเกมละเมิดลิขสิทธิ์และล๊อกเกมที่ไม่ผ่านการตรวจสอบจาก
Nintendo ไม่ให้เล่นบนเครื่อง NES ของตนเองได้
ซึ่งการป้องกันเกมละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยวิธีตรวจสอบแบบนี้และรวมถึงวิธีที่คล้ายคลึงกันนั้นได้มีการพัฒนาและใช้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน
บริษัทใหญ่เช่น Sony หรือ Apple ก็ทำแบบเดียวกัน แต่อาจจะไม่โหดเท่าที่ Nintendo เคยทำสมัยก่อนแล้ว
ข้อสังเกตที่สำคัญในบทความ 10NES Chip คือข้อตกลงเกม Exclusive 2 ปี
ที่หากมองดูอุตสาหกรรมเกมโดยเฉพาะในอเมริกาทั้งก่อนและหลังจากข้อตกลงถูกยกเลิกไปแล้ว
ต้องยอมรับว่าการยกเลิกข้อตกลงนี้ทำให้อุตสาหกรรมเกมพัฒนาไปได้อย่างมากจากการแข่งขันระหว่างบริษัทผู้ผลิตเครื่องเล่นเกม
บริษัทผู้พัฒนาเกมเองก็สามารถสร้างรายได้มากขึ้นจากการแปลงเกมลงเครื่องระบบอื่นจนมีทุนรอนพอที่เอามาจะพัฒนาโปรดักส์ของตนในอนาคต
บทความถัดมาคือ “Famicom Disk system” และ Nintendo ปะทะ ร้าน VDO”
เนื้อหาของทั้งสองบทความนี้บ่งบอกชัดเจนถึงความพยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายและราคาขายของเกมโดยการใช้สื่อแบบอื่นที่ราคาถูกกว่าตลับเช่น
Diskette หรือการใช้วิธีการเช่าแทนซื้อ
แต่ด้วยเทคโนโลยีในสมัยนั้นทำให้สื่อบรรจุเกมยังไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าใช้ตลับที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้
จากนั้นก็ “GOC-Cheating Begin” ที่แสดงถึงความยากและไม่สะดวกในการเล่นเกมจนต้องโกง
ในจุดนี้มีข้อน่าสังเกตที่ว่าบางเกมนั้นยากเพราะปัญหาการออกแบบและเขียนโปรแกรม
ประกอบกับสมัยนั้นตัวเกมยังไม่สามารถใส่ระบบหรือความสามารถของตัวละครที่หลากหลายได้
ทำให้ผู้เล่นไม่มีทางเลือกมากในวิธีการเล่น
กรณีนี้สามารถเปรียบเทียบได้กับกรณีเกมตระกูล Soul ที่ตัวเกมมีความยากสูงมาก
แต่มีระบบและตัวละครมีทักษะให้เลือกใช้ที่มากพอจะทำให้ผู้เล่นแต่ละคนสร้างวิธีการผ่านด้านของตนเองได้
สุดท้ายคือ Goc D-pad ที่คงไม่ต้องสรุปอะไรมากนักเพราะผลกระทบจากสิ่งนี้ยังสามารถเห็นได้แม้ในปัจจุบัน
นี่ก็คือสรุปโดยสังเขปและข้อสังเกตต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในบทความ GoC8
บทต่อไป “Game of Consoles 16” (GoC16) นั้นผู้อ่านจะได้พบกับ
(ลำดับอาจมีการเปลี่ยนแปลง)
“สิ่งที่มาก่อนกาลและสายเกินเกณฑ์”
“การดิ้นรนครั้งสุดท้าย”
“Monster of 16”
“New Kingdom”
“ความรุนแรงและการควบคุม”
“ยักษ์ตนใหม่”
“ยักษ์ชนยักษ์”
“ผู้ชนะ”
และ “One man who bring doom to them all”
ปล.ตอนนี้ผมได้เปิด Facebook Page “บทความตามใจฉัน”
โดยบทความจะหลายหลากคละประเภทกันไปความตามความสนใจนั้นขณะนั้น
ถ้าสนใจก็กดติดตามได้ครับ
https://www.facebook.com/uptomejournal/