ความเชื่อถือได้? ของ การสแกนลายนิ้วมือ dermatoglyphic เพื่อหาพรสวรรค์ ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์

กระทู้สนทนา
ใครที่อยากไปสแกนลายนิ้วมือ ควรอ่าน 
เนื่องจากผู้เขียนกำลังทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องเครื่องมือวัดทางจิตวิทยา
เลยต้องหาข้อมูลเรื่อง การสแกนลายนิ้วมือ dermatoglyphic เพื่อหาศักยภาพด้วย
และได้ทดลองไปใช้บริการที่บริษัทแห่งหนึ่งในราคาหลายพันบาท

จากการรวบรวมข้อมูล

การแบ่งศาสตร์การสแกนลายนิ้วมือ
ศาสตร์การสแกนลายนิ้วมือ dermatoglyphic นั้นแยกเป็น 2 แขนงตามศาสตร์ทางวิชาการ และแยกเป็น 2 วิธีตามแนวทางการศึกษา คือ
1 แบ่งตามศาสตร์ทางวิชาการ
1.1 ทางการแพทย์ โดยมองว่ายีนส่งผลต่อลายนิ้วมือ ลายนิ้วมือจึงมีแนวโน้มจะบอกเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ทางกายที่เกี่ยวข้องกับยีนได้ เช่น ดาวน์ซินโดรม, โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตบางชนิด, โรคทันตกรรมบางชนิด เป็นต้น หรือใช้ในทางนิติวิทยาศาสตร์ ถ้าท่านไปค้นใน google จะเจอตำราและงานวิจัยเชิงทดลองเป็นจำนวนมาก ผลการวิจัยค่อนข้างบอกว่ามีความสัมพันธ์กัน
(รูปศาสตร์การสแกนลายนิ้วมือทางการแพทย์)

1.2 ทางจิตวิทยาพัฒนาการ โดยมองว่ายีนส่งผลต่อลายนิ้วมือ ลายนิ้วมือจึงมีแนวโน้มจะบอกเกี่ยวกับศักยภาพทางสติปัญญาได้ จึงมีการวิจัยหาความสัมพันธ์ โดยศาสตร์แขนงนี้ พบน้อยกว่าและไม่ได้แพร่หลายมากนัก พบมากในประเทศแถบเอเชีย และผลการวิจัยมีทั้งยืนยันว่าสัมพันธ์กันและไม่สัมพันธ์กัน
(รูปศาสตร์การสแกนลายนิ้วมือทางจิตวิทยา)

2. แบ่งวิธีตามแนวทางการศึกษา
2.1 ศึกษารูปแบบลายนิ้วมือ เช่น ลายมัดหวาย ลายก้นหอย ลายโค้ง เป็นต้น 
2.2 ศึกษาจำนวนและความหนาแน่นของรอยโค้ง (Finger Ridge Count)

ข้อสังเกตุจากการโปรโมทของบริษัทสแกนลายนิ้วมือ
จากการทดลองไปใช้บริการสแกนลายนิ้วมือ dermatoglyphic เพื่อหาศักยภาพ
โดยผู้วิจัยได้ไปเข้างานสัมมนาเพื่อทราบข้อมูลเบื้องต้นด้วย พบว่า
1. การประชาสัมพันธ์ มีการบิดเบือนศาสตร์ทางวิชาการ โดยใช้ศาสตร์ทางการแพทย์ มาใช้โปรโมทตนเอง ทั้งที่ตนเองเป็นศาสตร์ทางจิตวิทยา เช่น
- มีการกล่าวอ้าง การใช้ในทางนิติวิทยาศาสตร์ของ FBI
- ในไสลด์ที่ประชุม มีการนำรูปจากตำราเกี่ยวกับศาสตร์ทางการแพทย์ เช่น Dermatoglyphics in Medical Disorders มานำเสนอ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับศาสตร์ทางจิตวิทยาของตนเอง
2. มีการนำเสนอว่า ปี 1970 โซเวียตใช้การดูลายนิ้วมือเพื่อเลือกนักกีฬาไปแข่งโอลิมปิกส์ อันนี้สืบค้นแล้วไม่พบหลักฐาน ถ้าใครพบรบกวนเม้นไว้หน่อย แต่พบว่างานวิจัยที่มีการนำการสแกนลายนิ้วมือมาใช้ดูศักยภาพของนักกีฬา เริ่มปรากฎราวๆ ปี 2012 และยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

รูปแบบการนำไปทำธุรกิจ
พบว่า แต่ละบริษัทจะใช้วิธีการดูลายทั้ง 2 แบบ คือ ศึกษารูปแบบลายนิ้วมือ และ ศึกษาจำนวนและความหนาแน่นของรอยโค้ง
โดยใช้การดูรูปแบบลายนิ้วมือเป็นตัวกระตุ้นให้คนเกิดความสนใจ เพราะ ดูง่าย
ในขณะที่การดูจำนวนและความหนาแน่นของรอยโค้ง (Finger Ridge Count) จะดูได้ก็ต่อเมื่อจ่ายเงินเท่านั้นและต้องผ่านซอฟต์แวร์

ข้อสังเกตของการใช้ความหนาแน่นของรอยโค้ง (Finger Ridge Count) ในการประมวลผล ของบริษัทสแกนลายนิ้วมือ
แต่ละบริษัทสแกนลายนิ้วมือจะมี Software เป็นของตนเอง แตกต่างกันออกไป
จุดที่น่าสงสัยคือ...
Software นี้ได้ฐานข้อมูลการวิจัยมาจากไหน
และการที่แต่ละบริษัทมี Software แตกต่างกัน แสดงว่าใช้ฐานข้อมูลการวิจัยแตกต่างกัน
ผู้วิจัยจึงสอบถามผู้บริหารของบริษัทสแกนลายนิ้วมือว่า กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูลมาสร้างซอฟต์แวร์คือใคร ประเทศอะไร อายุเท่าไร จำนวนเท่าไร 
คำตอบคือ ==> ไม่ได้คำตอบ ถามยังไงก็ไม่ได้คำตอบ แต่จะมีการเบี่ยงเบนประเด็นไปในเชิงให้ดูที่ผลลัพธ์ดีกว่า และมีผู้บริหารคนนึงบอกเลยว่าไม่สนใจเรื่องนี้ สนแต่ว่าเขาใช้การได้ก็พอ !!!!!

ต่อไปนี้คือความคิดเห็นของผู้เขียนเอง
1. เราเสียเงินไปหลายพันบาท เพื่อได้การแปรผลที่เราไม่รู้ความน่าเชื่อถือเลย
2. แต่ละบริษัทจะมีซอฟท์แวร์แตกต่างกัน แสดงว่าใช้ ฐานข้อมูลการวิจัยแตกต่างกัน ดังนั้นจุดสำคัญที่น่าจะเป็นการโปรโมทและแข่งขัน คือการให้ข้อมูลเกี่ยวกับ software ของตนเอง เช่น "ซอฟท์แวร์ของฉันดีกว่าเพราะฐานข้อมูลของฉันดีกว่า ฉันใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นคนไทย ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย อายุ 5-50 ปี จำนวน 1 หมื่นคน ใช้สถิติ...ในการแปรผล ทำให้การแปลผลตรงสุดๆ" อะไรก็ว่าไป แต่กลับมุ่งไปโฆษณาอะไรอย่างอื่น เช่น เล่มของตนละเอียดกว่า หนากว่า ซึ่งถ้าเชื่อถือฐานข้อมูลไม่ได้ ไอ้ที่ว่าเล่มหนาก็เท่ากับขยะหนานั่นเอง หรือคนแปลผลเป็นใครก็ตามก็เท่ากับมาเล่าขยะให้ฟัง
3. ในปี 2013 การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลายนิ้วมือกับศักยภาพของมนุษย์ในการวิจัยทางวิชาการยังมีไม่เยอะเลย และผลการทดลองก็บอกว่าต้องศึกษาให้มากขึ้น แต่เจ้าซอฟต์แวร์ของบางบริษัทบอกว่าใช้มากว่า 10 ปีแล้ว บางบริษัทบอกว่าใช้ฐานข้อมูลมากกว่า 5 ล้านคนทั่วโลก (นั้นคืองานวิจัยระดับรางวัลโนเบลเลยนะ)
4. ธุรกิจนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของสถิติและการวิจัย แต่ผู้บริหารหลายคนไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย ทั้งที่มันคือหัวใจ
5. ศาสตร์ลายนิ้วมือเป็นวิทยาศาสตร์ในแง่ของวิชาการที่เขาทำวิจัยกัน แต่ในแง่ที่เอามาทำเป็นธุรกิจแบบนี้ไม่สามารถเรียกว่าวิทยาศาสตร์ได้ 100%
6. จากการพูดคุยกับผู้บริหารหลายท่าน พบว่ามีความตั้งใจดี อยากพัฒนาการศึกษาและสังคม แต่การเลือกใช้เครื่องมือของท่านไม่ถูกต้อง

สรุปในมุมมองของผู้เขียน
1. ข้อมูลการแปรผลรูปแบบลายนิ้วมือ เชื่อถือได้
2. ข้อมูลการแปลผลจำนวนและความหนาแน่นของรอยโค้ง (Finger Ridge Count) ที่ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ของศักยภาพด้านต่าง ๆ ไม่น่าเชื่อถือ
3. ควรแยกให้ออกระหว่าง ความน่าเชื่อถือของข้อมูลจริงๆ กับ การพูดให้ดูน่าเชื่อถือ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่