เสียงหัวใจเต้นแรง พร้อมๆกับเสียงเหนื่อยหอบ และเหงื่อที่ไหลออกมาจากร่างกาย ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยสักแค่ไหนขาก็ยังเดินต่อไปเพื่อไปให้ถึงจุดสุดยอด
ตอนนี้ผมอยู่จังหวัดสุโขทัยซึ่งเป็นที่ตั้งของเขาเขาหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องของความชันของเส้นทางนั้นก็คือดอยหลวงสุโขทัยผมขับรถเดินทางมากจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชม. พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวของโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่รออยู่คืออะไร จะบอกว่ามาด้วยความห้าวก็ได้
หลังจากถึงอุทยานแห่งชาติรามคำแหงผมก็ต้องตกตะลึงกับจำนวนคนที่มาเพื่อพิชิตยอดเขาหลวง จากที่สอบถามเจ้าหน้าที่วันนี้มีคนที่มาเพื่อปีนขึ้นไปประมาณ 200 คน ยิ่งทำให้ผมได้ใจขึ้นไปอีกว่าถ้ามันลำบากคนคงไม่มาเยอะขนาดนี้
พอทำการติดต่อเพื่อขอเข้าอุทยาน จ่ายค่าที่กางเต้น ค่าขยะเสร็จ กินข้าว กินปลา ผมก็เริ่มขึ้นเขาในใจตอนนั้นก็คิดว่าคนเยอะแบบนี้เขานี้คงไม่เท่าไหร่ คงจะจิ๊บๆ..................หลังจากนั้น 30 นาที ความคิดเหล่านั้นก็หายไปเมื่อเจอความชันแรกของทางขึ้น(เห้ยทำไมมันชันขนาดนี้)คิดในใจ กระเป๋าที่เคยเบากับมาหนักซะอย่างงั้นยิ่งเดินยิ่งหนัก จากที่เดินเร็วเริ่มช้า เริ่มเดินๆ หยุดๆ คนอื่นก็เริ่มแซงไป ลูกหาบก็เริ่มแซงไป
หลังจากเดินมาๆด้เกือบครึ่งทางความคิดที่ไม่อยากไปต่อ ความท้อเริ่มเข้ามาในหัว ใอ่คนเก่งก่อนหน้านี้หายไปไหน(ถามตัวเอง) กระเป๋าหนักจนแทบจะยกไม่ไหว รองเท้าก็เริ่มหนักจนต้องถอดออกแล้วเดินเท้าเปล่า ฝืนเดินต่อมาได้อีกหน่อยก็เจอเข้ากับลูกหาบที่เดินสวนลงมาตอนนั้นตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า เสียเท่าไหร่ก็ยอมเอาของพวกนี้ขึ้นไปให้ที
หลังจากเอาของทุกอย่างให้ลูกหาบขึ้นไปให้แล้วตอนนี้ก็เหลือตัวเปล่ากับกล้องตัวเล็ก เออออ!! เดินสบายขึ้นเยอะเลยแต่ทางก็ยังไม่หยุดชันทุกก้าวคือการไต่ระดับความสูงขึ้นไป คือการฝืนแรงโนมถ่วงของโลก ในความคิดเริ่มถามตัวเองว่าเรามาทำอะไรที่นี้ ถ้าขึ้นไปแล้วมันไม่สวยหละ มันไม่ประทับใจหละ จะเป็นยังไงกับความเหนื่อยและลำบากที่แลกไป แต่ถึงจะคิดแบบนั้นสองเท้าก็ยังคงเดินต่อไป เดินขึ้นไป เหนื่อยก็พัก ไหวก็เดินต่อ...........
และในที่สุดผมก็ถึงยอดเขาหลวงสุโขทัย ผมล้มลงนอนบนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม และมองไปบนท้อง ถึงแล้ว ถึงแล้ว ถึงแล้ว นั้นคือคำพูดเดียวที่ดังอยู่ในใจ
หลังจากกางเต็นท์และพักผ่อนสักพักผมก็เริ่มเดินไปที่ผาแม่ย่าซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก 800 เมตร จากเต็นท์ไปพาแม่ย่าเป็นอะไรที่ทรมานขาผมมาก แต่มาแล้วนิยังไงก็ต้องไป พอถึงพระอาทิตย์สีส้มก็เริ่มตกพอดีถึงจะไม่ใช่พระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น แต่มันเป็นพระอาทิตย์ตกที่ทำให้ผมเหนื่อยที่สุด ฮ่าๆ
กลับมาที่เต็นท์ซดมาม่าและปลากระป๋องที่แสนจะแพงลงท้อง ของทุกอย่างบวกค่าลูกหาบไปในตัวสินค้าหมดแล้ว(ให้เขาไปเถอะ) บนยอดไม่ได้ลำบากอะไรมีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำแยกชายหญิง น้ำให้อารมณ์เหมือนพึ่งเอาออกมาจากตู้เย็น ห้องข้างๆ ที่ผมอาบร้องปี๊ดออกมาด้วยความเย็นเลย555
4:30 เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นข้างหูผม จริงๆ ผมไม่ได้หลับสนิดอะไรเลยเพราะลมที่แรงมาก แรงจนเหมือนว่าจะพัดเต็นท์ผมลอยขึ้นไปทั้งคืนแต่ฝนกับไม่ตกซะงั้น! ใส่เสื้อกันหนาว ใส่รองเท้า ออกเดินไปที่ ผานารายณ์ที่ห่างจากเต้นท์ไป 300 เมตร และก็อีกตามเคยผมมาไม่ทันนักท่องเที่ยวคนอื่น ที่นั้งมุมดีๆ ที่ดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือถ่ายรูปถูกจับจองหมดผมได้แต่นั้งหลบหลังหิน แอบมองพระอาทิตย์555 ชีวิตดูเศร้านะ
วันนี้ไม่มีหมอกเพราะเมื่อคืนฝนไม่ตก มองลงไปเห็นหมู่บ้านเล็กๆ และทุ่งนา ในใจอยากจะขึ้นไปถ่ายรูปบนก้อนหินที่เป็นซิกเนเจอร์ ใจจะขาดแต่เห็นกำนวนคนแล้วกลับไปเก็บเต็นท์ให้ลูกหาบแบกลงดีกว่า ฮ่า ฮ่า
ขาลงผมใช้เวลาลงดีกว่าขาขึ้นประมาณ 4 ชม. ก็ถึงข้างล่างละ แต่มันก็ทำเอาหัวเข่าผมดังเหมือนหัวเข่าคนแก่อายุ 60-70 ไปเลย ลงมาถึงผมกินข้าว อาบน้ำ เก็บของขึ้นรถเพื่อที่จะกลับ นึกขึ้นได้ เอ้ย เราอยู่สุโขทัยนิ ถ้าอย่างงั้นก็ต้องมีวัดสวยๆ สิ และภาพของพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาวที่ผมเก็บไว้ในใจมานานก็กลับขึ้น หลังจากหาใน Google ใช่แล้ววัดศรีชุม
งามจริงๆ ผมมาถึงวัดศรีชุมที่นี่สงบมาก ดูเก่า ดูขลัง คงจะเป็นเพราะจำนวนคนที่ไม่มากนักเดินถ่ายรูปอยู่สักพักก็ตัดสินใจเดินทางกลับ
สุโขทัยเป็นเมืองที่เงียบสงบ วัดสวย บ้านเรือนสวย คงความเก่าและผสานเข้ากับโลกยุคใหม่ได้อย่างดี และสองข้างทางมองได้ไม่เบื่อเลย
.........................................................................................
ขอบคุณความเหนื่อยหล้าที่ทำให้เรารู้คุณค่าของจุดหมาย
Facebook :
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2121677924802565&id=2110216769282014
#wanttogo
#Sukhothai
#KhaoLuangSukhothai
เขาหลวงสุโขทัย : Khao Luang Sukhothai
เสียงหัวใจเต้นแรง พร้อมๆกับเสียงเหนื่อยหอบ และเหงื่อที่ไหลออกมาจากร่างกาย ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยสักแค่ไหนขาก็ยังเดินต่อไปเพื่อไปให้ถึงจุดสุดยอด
ตอนนี้ผมอยู่จังหวัดสุโขทัยซึ่งเป็นที่ตั้งของเขาเขาหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องของความชันของเส้นทางนั้นก็คือดอยหลวงสุโขทัยผมขับรถเดินทางมากจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชม. พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวของโดยที่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่รออยู่คืออะไร จะบอกว่ามาด้วยความห้าวก็ได้
หลังจากถึงอุทยานแห่งชาติรามคำแหงผมก็ต้องตกตะลึงกับจำนวนคนที่มาเพื่อพิชิตยอดเขาหลวง จากที่สอบถามเจ้าหน้าที่วันนี้มีคนที่มาเพื่อปีนขึ้นไปประมาณ 200 คน ยิ่งทำให้ผมได้ใจขึ้นไปอีกว่าถ้ามันลำบากคนคงไม่มาเยอะขนาดนี้
พอทำการติดต่อเพื่อขอเข้าอุทยาน จ่ายค่าที่กางเต้น ค่าขยะเสร็จ กินข้าว กินปลา ผมก็เริ่มขึ้นเขาในใจตอนนั้นก็คิดว่าคนเยอะแบบนี้เขานี้คงไม่เท่าไหร่ คงจะจิ๊บๆ..................หลังจากนั้น 30 นาที ความคิดเหล่านั้นก็หายไปเมื่อเจอความชันแรกของทางขึ้น(เห้ยทำไมมันชันขนาดนี้)คิดในใจ กระเป๋าที่เคยเบากับมาหนักซะอย่างงั้นยิ่งเดินยิ่งหนัก จากที่เดินเร็วเริ่มช้า เริ่มเดินๆ หยุดๆ คนอื่นก็เริ่มแซงไป ลูกหาบก็เริ่มแซงไป
หลังจากเดินมาๆด้เกือบครึ่งทางความคิดที่ไม่อยากไปต่อ ความท้อเริ่มเข้ามาในหัว ใอ่คนเก่งก่อนหน้านี้หายไปไหน(ถามตัวเอง) กระเป๋าหนักจนแทบจะยกไม่ไหว รองเท้าก็เริ่มหนักจนต้องถอดออกแล้วเดินเท้าเปล่า ฝืนเดินต่อมาได้อีกหน่อยก็เจอเข้ากับลูกหาบที่เดินสวนลงมาตอนนั้นตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า เสียเท่าไหร่ก็ยอมเอาของพวกนี้ขึ้นไปให้ที
หลังจากเอาของทุกอย่างให้ลูกหาบขึ้นไปให้แล้วตอนนี้ก็เหลือตัวเปล่ากับกล้องตัวเล็ก เออออ!! เดินสบายขึ้นเยอะเลยแต่ทางก็ยังไม่หยุดชันทุกก้าวคือการไต่ระดับความสูงขึ้นไป คือการฝืนแรงโนมถ่วงของโลก ในความคิดเริ่มถามตัวเองว่าเรามาทำอะไรที่นี้ ถ้าขึ้นไปแล้วมันไม่สวยหละ มันไม่ประทับใจหละ จะเป็นยังไงกับความเหนื่อยและลำบากที่แลกไป แต่ถึงจะคิดแบบนั้นสองเท้าก็ยังคงเดินต่อไป เดินขึ้นไป เหนื่อยก็พัก ไหวก็เดินต่อ...........
และในที่สุดผมก็ถึงยอดเขาหลวงสุโขทัย ผมล้มลงนอนบนพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม และมองไปบนท้อง ถึงแล้ว ถึงแล้ว ถึงแล้ว นั้นคือคำพูดเดียวที่ดังอยู่ในใจ
หลังจากกางเต็นท์และพักผ่อนสักพักผมก็เริ่มเดินไปที่ผาแม่ย่าซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก 800 เมตร จากเต็นท์ไปพาแม่ย่าเป็นอะไรที่ทรมานขาผมมาก แต่มาแล้วนิยังไงก็ต้องไป พอถึงพระอาทิตย์สีส้มก็เริ่มตกพอดีถึงจะไม่ใช่พระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น แต่มันเป็นพระอาทิตย์ตกที่ทำให้ผมเหนื่อยที่สุด ฮ่าๆ
กลับมาที่เต็นท์ซดมาม่าและปลากระป๋องที่แสนจะแพงลงท้อง ของทุกอย่างบวกค่าลูกหาบไปในตัวสินค้าหมดแล้ว(ให้เขาไปเถอะ) บนยอดไม่ได้ลำบากอะไรมีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำแยกชายหญิง น้ำให้อารมณ์เหมือนพึ่งเอาออกมาจากตู้เย็น ห้องข้างๆ ที่ผมอาบร้องปี๊ดออกมาด้วยความเย็นเลย555
4:30 เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นข้างหูผม จริงๆ ผมไม่ได้หลับสนิดอะไรเลยเพราะลมที่แรงมาก แรงจนเหมือนว่าจะพัดเต็นท์ผมลอยขึ้นไปทั้งคืนแต่ฝนกับไม่ตกซะงั้น! ใส่เสื้อกันหนาว ใส่รองเท้า ออกเดินไปที่ ผานารายณ์ที่ห่างจากเต้นท์ไป 300 เมตร และก็อีกตามเคยผมมาไม่ทันนักท่องเที่ยวคนอื่น ที่นั้งมุมดีๆ ที่ดูพระอาทิตย์ขึ้น หรือถ่ายรูปถูกจับจองหมดผมได้แต่นั้งหลบหลังหิน แอบมองพระอาทิตย์555 ชีวิตดูเศร้านะ
วันนี้ไม่มีหมอกเพราะเมื่อคืนฝนไม่ตก มองลงไปเห็นหมู่บ้านเล็กๆ และทุ่งนา ในใจอยากจะขึ้นไปถ่ายรูปบนก้อนหินที่เป็นซิกเนเจอร์ ใจจะขาดแต่เห็นกำนวนคนแล้วกลับไปเก็บเต็นท์ให้ลูกหาบแบกลงดีกว่า ฮ่า ฮ่า
ขาลงผมใช้เวลาลงดีกว่าขาขึ้นประมาณ 4 ชม. ก็ถึงข้างล่างละ แต่มันก็ทำเอาหัวเข่าผมดังเหมือนหัวเข่าคนแก่อายุ 60-70 ไปเลย ลงมาถึงผมกินข้าว อาบน้ำ เก็บของขึ้นรถเพื่อที่จะกลับ นึกขึ้นได้ เอ้ย เราอยู่สุโขทัยนิ ถ้าอย่างงั้นก็ต้องมีวัดสวยๆ สิ และภาพของพระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาวที่ผมเก็บไว้ในใจมานานก็กลับขึ้น หลังจากหาใน Google ใช่แล้ววัดศรีชุม
งามจริงๆ ผมมาถึงวัดศรีชุมที่นี่สงบมาก ดูเก่า ดูขลัง คงจะเป็นเพราะจำนวนคนที่ไม่มากนักเดินถ่ายรูปอยู่สักพักก็ตัดสินใจเดินทางกลับ
สุโขทัยเป็นเมืองที่เงียบสงบ วัดสวย บ้านเรือนสวย คงความเก่าและผสานเข้ากับโลกยุคใหม่ได้อย่างดี และสองข้างทางมองได้ไม่เบื่อเลย
.........................................................................................
ขอบคุณความเหนื่อยหล้าที่ทำให้เรารู้คุณค่าของจุดหมาย
Facebook : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2121677924802565&id=2110216769282014
#wanttogo
#Sukhothai
#KhaoLuangSukhothai