เรื่องสั้นเรื่องที่สองนี้โชว์เดี่ยวละครับ และเป็นกระทู้สุดท้ายสำหรับรอบนี้
เรื่องนี้ จขถม. ตั้งชื่อมาว่า
"ผู้ยิ่งใหญ่มาเยือน"
ผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่านี้จะยิ่งใหญ่แบบไหน อย่างไร ? เป็นผู้มีอำนาจ อิทธิพล อย่างนั้นหรือเปล่า ???
ไม่รู้เหมือนกันเพราะกรรมการก็ยังบ่ได้อ่าน....งั้นมาอ่านไปพร้อมๆ กันครับ ^^
เราชื่อ จู หรือ เด็กหญิง จู
เราไม่รู้หรอกนะว่า จู แปลว่าอะไร เพราะเราไม่ใช่คนมีเชื้อสายจีน แต่ก็มีบางคนบอกว่า จู หมายถึง หมู
บางคน บอกว่า จู หมายถึง ไข่มุก
แต่ไม่ว่าจะเป็น หมู หรือไข่มุก เราก็ไม่สนใจว่ามันจะมีความหมายถูกหรือผิด เพราะไม่รู้ภาษาจีนมากมายนอกจากที่ได้ยินพวกอาแปะคุยกันที่ตลาดออกเสียงอั๊ว – ลื้อกัน เพราะยังไงเราก็เป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวผอมผิวคล้ำ ไม่ได้อ้วนเหมือนหมู หรือผิวพรรณสวยงามงามแบบไข่มุก
ฐานะทางบ้านยากจน พ่อทำงานเป็นคนงานก่อสร้าง แม่เคยทำงานโรงงาน แต่ลาออกมาดูแลบ้านเลี้ยงลูก แต่ก็พอเวลาทำขนมหลายอย่างหาบออกเร่ขายในหมู่บ้าน ฟังดูไม่ค่อยดีนัก แต่พวกเราก็อยู่กันอย่างมีความสุขในห้องเช่าของคุณนายสายทอง ในอำเภอเล็กๆ ห่างไกลจากตัวจังหวัด
เราเคยถามพ่อแม่ว่าทำไมเรียกเราว่าจู คำตอบคือ เพื่อนที่มีเชื้อสายจีนแนะนำมาโดยไม่รู้ความหมาย คิดดูแล้วก็ตลกดี
ถ้ามีความหมายไปทางไม่ดี เราโตเป็นผู้ใหญ่คงอายน่าดู
เราต้องเล่าถึงคุณนายสายทอง เพราะท่านมีส่วนสำคัญมากในเรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้
คุณนายสายทอง สวยผิวขาวเหมือนดาราในทีวี สามีเป็นนายตำรวจรูปหล่อ
ทั้งสองมีลูกชายหนึ่งคน ตัวอ้วนกลมเตี้ย ชื่อแว่น เพราะสวมแว่นตา เพื่อนเลยเรียกแบบนั้น เรียนไม่เก่ง แต่นิสัยดี มักจะเอาขนมมาแบ่งเพื่อนในห้องเสมอ
คุณนายเป็นคนใจดี ไม่วางท่าเย่อหยิ่งเหมือนตัวอิจฉาในละครทีวี
บ้านคุณนายสายทองเป็นบ้านไม้สักขนาดใหญ่มาก ชั้นสองของบ้านมีห้องกว้างวางทีวีเครื่องใหญ่ วันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือช่วงค่ำๆ จะเปิดบริการให้เพื่อน ๆ ของเจ้าแว่นได้ดูกัน บ้านของคุณนายสายทองจึงกลายเป็นแหล่งชุมนุมพลของพวกเราไปโดยปริยาย
บ้านที่มีทีวีมีไม่กี่หลัง เพราะทีวีราคามันแพงมากมาย สำหรับชาวบ้านชนบท ดังนั้นวันหยุด หลายคนยอมเดินทางไกลจากบ้านเป็นกิโล เพื่อมาดูการ์ตูนเช้าวันเสาร์ คุณนายสายทองก็จะเอาน้ำ เอาขนมมาแจกพวกเราด้วย ต่างจากบ้านของเถ้าแก่หน้าอำเภอที่มีทีวี แต่ไม่ยอมให้เพื่อนๆ ของลูกมีโอกาสดูกันเลย
มันเปลืองไฟ...มีเพื่อนๆ เล่าให้ฟังว่าเถ้าแก่มักบอกแบบนั้น เลยไม่มีใครกล้าไปดูทีวีบ้านเถ้าแก่
ไอ้น้อยลูกชายเถ้าแก่คงเหงาพิลึกเมื่อไม่มีเพื่อนเล่น
เพื่อนแว่นบอกข่าวสำคัญของผู้มาเยือนให้พวกเรารู้ ก่อนจะมีการประกาศหน้าเสาธงเสียด้วยซ้ำ
วันจันทร์หน้า จะมีพวกผู้ใหญ่จากในเมือง มาเยี่ยมโรงเรียน
เราเองไม่เข้าใจนักว่า ผู้ใหญ่ที่ว่า ใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าจะให้เดาก็คงตัวอ้วนใหญ่พุงพลุ้ย เหมือนอาเสี่ยตัวโกงในหนังไทย แต่ก็ไม่แน่ว่าพวกผู้ใหญ่อาจรูปร่างดี เหมือนพระอินทร์ที่เห็นในหนังสือก็เป็นได้
สังเกตว่าทุกคนพากันตื่นเต้นดีใจกันมาก เราไม่รู้หรอกว่า พวกผู้ใหญ่คืออะไร เป็นใคร
แต่ท่าทางคงสำคัญน่าดู เพราะทางโรงเรียนเกณฑ์ให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นครู ครูใหญ่ ภารโรง นักเรียน เตรียมการต้อนรับอย่างเต็มที่ ผนังอาคารเรียนมีการทาสีใหม่ แต่ละห้องเรียนมีการจัดบอร์ดหน้าห้องหลังห้องใหม่ทั้งหมด ข้างถนนมีการเอาพืชพรรณไม้มาลง นักเรียนถูกสั่งให้ขัดถูโต๊ะเก้าอี้ให้สะอาด พื้นห้องลงเทียนมันวับ จนเราเริ่มสงสัยว่า พวกผู้ใหญ่ เป็นชาวฟ้าชาวสวรรค์เสร็จลงมาโปรดชาวบ้านหรือยังไง
เราเรียนอยู่ชั้น ป 5 เพื่อนๆ นักเรียนหญิง ช่วงเที่ยงและหลังเลิกเรียน พวกเราถูกคุณครูจับไปฝึกซ้อมฟ้อนรำเพื่อต้อนรับผู้ใหญ่ทั้งหลาย กว่าจะกลับบ้านได้ก็หกโมงเย็นกว่า ๆ
พวกเราทั้งเหนื่อยและหิว อยากกลับบ้านไปเก็บผักริมรั้วจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นก็ไม่ได้ คุณครูบอกทุกคนต้องทำเพื่อโรงเรียน ปกติเวลาเที่ยง เราจะวิ่งกลับบ้านที่ห่างจากโรงเรียนประมาณ 1 กิโลเมตร เพราะรู้ว่าแม่เตรียมอาหารง่าย ๆ ไว้ให้ ข้าวสวยหนึ่งจานน้ำพริกที่เค็มปะแหล่มๆ กับยอดผัก ก็ทำให้เรากินอย่างอร่อย แล้ววิ่งกลับโรงเรียนเพื่อเข้าเรียนภาคบ่ายให้ทัน
แต่พอข่าวพวกผู้ใหญ่จะมา เราก็วิ่งกลับบ้านไม่ได้เสียแล้ว ต้องไปตั้งขบวนฝึกฟ้อนรำทั้งที่หิวข้าวแทบจะเป็นลม
แต่เราก็เชื่อครู..ทำเพื่อชื่อเสียงโรงเรียน ผู้ใหญ่จะมาเยี่ยมโรงเรียน
ทุกคนดูตื่นเต้นกันเหลือเกิน ตกแต่งโรงเรียนงดงามยิ่งกว่าวันปีใหม่ แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลงทุนทำขนาดนี้
ทั้งโรงเรียนแทบไม่เป็นการเรียนการสอน เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว เพลียก็เพลีย แต่พวกเราก็ไม่ย่อท้อ ฝึกฟ้อนรำ เพื่อต้อนรับพวกผู้ใหญ่
“ค่าชุด คนละห้าสิบบาท” เป็นคำพูดที่ครูประจำชั้นฝากถึงผู้ปกครอง
พอเราบอกแม่ เราเห็นแม่หน้าเศร้า เราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเศร้า ในเมื่อลูกของแม่จะมีโอกาสต้อนรับผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าคนนายคน มีหน้ามีตา
แต่แล้วนางฟ้าที่ยื่นมือมาช่วยเหลือเรื่องชุดฟ้อนต้อนรับของเรา ก็คือคุณนายสายทองนั่นเอง
ท่านรู้ข้อมูลทางบ้านของเราดี ห้าสิบบาทในยุคที่ก๋วยเตี๋ยวชามละสองบาทกับคนฐานะยากจนก็ถือว่าหนักพอสมควร
ถึงวันนั้น ครูพานักเรียนทั้งโรงเรียนที่มีหลายร้อยคนไปตั้งแถวหน้าประตูโรงเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า
ทีมฟ้อนรำอยู่ด้านหน้าถัดจากคนถือธงชาติและฝ้าป้ายยาวเหยียด ครูทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส
พวกครูพากันแต่งตัวแต่งชุดขาวติดเครื่องหมายแปลกๆสวยงาม ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ดูดีเชียวละ ไม่รู้ว่าพวกท่านไปหามาจากไหน สังเกตให้ดีจะพบว่ามีคับไปบ้าง หลวมไปบ้าง คงเป็นเพราะไปยืมเขามาหรือตัดชุดไว้นานเกินไปก็ไม่รู้
แต่พวกเราท่าทางจะแย่ เพราะต้องมาโรงเรียนตั้งแต่หกโมง ข้าวเช้ายังไม่ได้กิน มาแต่งตัว ฝึกซ้อม เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ผิดพลาด
เก้าโมงเช้าผ่านไป ทุกคนเข้าแถว ตั้งหน้าตั้งตารอรับขบวนที่ว่ากันว่า นายอำเภอ ปลัด ผู้ว่า หรืออะไรเราก็ไม่แน่ใจจะพากันมา
แต่ยังไม่มีใครมา แสงแดดร้อนแรงขึ้นทุกที แต่เราก็พอต้องทน เพราะคุณครูคอยกำกับอยู่ใต้ร่มจามจุรีและใต้ต้นสนเรียงรายสองข้างทาง
ชุดฟ้อนรำมันทำให้รู้สึกร้อนและไม่สบายตัว แต่เราก็ต้องทน
เราปาดเหงื่อออกจากใบหน้า ไม่พยายามมองท้องฟ้า ที่แสงแดดร้อนมากขึ้นทุกที
พวกเราไม่เคยเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่จะมาเยี่ยม เลยไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนหรือเป็นเทวดา จะตัวเขียว ๆ ไหมนะ หรือจะแสดงอภินิหารอะไรให้พวกเราดู จะเหาะเหินเดินอากาศได้ไหม คงรูปร่างดีสง่างามออกแสงเหมือนสังข์ทองถอดรูป พวกเราคิดแบบนี้จริง ๆ
มีเสียงร้องเอะอะโวยวาย มีนักเรียนบางคนเป็นลม จนเพื่อน ๆ ต้องพากันประคองเข้าร่มไม้ แต่ครูผู้หญิงรีบพาตัวไปไหนก็ไม่รู้ มีเสียงบ่นว่า ไม่อยากให้พวกผู้ใหญ่มาเห็นเด็กอ่อนแอ มันบ่งชี้ว่าคนในชุมชนอ่อนแอ เสียภาพของโรงเรียน
แต่ทำไมไม่คิดเลยว่าเอาเด็กที่ส่วนใหญ่ไม่ได้กินข้าวเช้า ต้องมาตั้งแถวกลางแดด มันสาหัสขนาดไหน
พวกเราได้แต่รอไปเรื่อย ๆ
เราเห็นเจ้าแว่นเป็นลม เขาน่าสงสารมาก เพราะรูปร่างหน้าตาดีจึงถูกจัดให้ยืนถือธงชาติอยู่ด้านหน้า
เขาเป็นลม เดาเอาว่าคงเพราะไม่คุ้นเคยกับการอยู่กลางแดดนาน ๆ มากกว่า
เพื่อนแว่นถูกหามออกจากแถว พวกครูพากันวิ่งไปดูแลแบบเป็นพิเศษจนรู้สึกได้
เออ ถ้าเราเป็นลมแดด จะมีคนสนใจแบบนี้ไหมนะ
เราคิดถึงข้าวในหม้อที่บ้าน ถึงจะเป็นน้ำพริกง่าย ๆ แต่นั่นละคืออาหารในฝัน อยากกินเหลือเกิน กินเสร็จแล้วก็ไปเอากระบวยตักน้ำจากโอ่งดินที่เย็นชื่นใจมาดื่มส่งท้าย เศษอาหารเศษปลาแบ่งให้หมาแมวก็ยังได้
เราหิวและคอแห้ง แต่ไม่กล้าแตกแถว เพราะคุณครูที่แต่งตัวสวยงามชุดขาวคอยดูอยู่ทุกขณะ ต้องพากันยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ทั้งที่อากาศร้อนขนาดนั้น
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังประตูโรงเรียน สายลมพัดผ่านต้นสนใบสนดังหวีดหวิว แต่ความร้อนยังไม่จางหาย เรารู้สึกว่าคอแห้งผาก แต่กัดฟันทน
เผื่อว่าทางโรงเรียนจะถ่ายภาพเรา เก็บไปอวดทางบ้าน
“ใครเป็นลม จะถูกหักคะแนน” เสียงคุณครูคนหนึ่งร้องเสียงดัง ทำให้พวกเราตัวลีบแทบจะหดหายไปจากโลก
เกือบเที่ยง
แล้วเราก็หน้ามืดวูบลง.....
มารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องพยาบาลของโรงเรียน
คนที่เอาผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าเรา ไม่ใช่ครูพยาบาล แต่เป็นใบเตย เพื่อนร่วมห้อง
พวกเราจัดว่าอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ใบเตยไม่มีเงินจ่ายค่าชุดฟ้อนรำ
ครอบครัวของใบเตยยากจนมาก จึงถูกวางตัวเป็นเด็กช่วยงานทั่วไป แต่พวกเธอโชคดีไม่ต้องออกไปกลางแดด
แต่ก็ต้องเช็ดถูทางเดินอาคารเรียนที่คาดว่าพวกผู้ใหญ่จะเดินผ่านมาไม่รู้กี่รอบ เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะสะอาดมากพอในการต้อนรับฝ่าเท้าของผู้มาเยือน
เราเป็นลม ไม่ใช่เพราะทนอากาศร้อนไม่ได้เหมือนเจ้าแว่น แต่เพราะหิวข้าวมากกว่า
เราใจหายวาบ เมื่อนึกถึงหน้าที่ของนางรำ
“ไม่ต้องไปแล้วละ” ใบเตยบอกเสียงแผ่ว น้ำเสียงมีแววโล่งใจ “พวกผู้ใหญ่ติดธุระในเมือง ไม่มาเยี่ยมโรงเรียนแล้วละ ครูเพิ่งประกาศเมื่อกี้”
เราใจหาย แม้รู้ว่าต่อให้มา เราก็คงไม่มีบุญเห็นพวกผู้ใหญ่ดังกล่าวเพราะเป็นลมไปเสียก่อน
ความสงสัยของเรา ยังคงมีต่อไป
พวกนั้นจะเหาะได้ไหมนะ หน้าตาจะเหมือนคนหรือไม่ เป็นผู้วิเศษลงมาหรือยังไง จะเก่งเท่านักเล่นกลงานวัดไหนนะ ทางโรงเรียนถึงให้ความสำคัญขนาดนี้
เสียดาย เราไม่มีโอกาสได้เห็นเทวดาตัวเป็นๆ
ช่างหัวมันประไร เราลุกขึ้นอย่างคนเพิ่งคิดได้... มองหากระเป๋านักเรียน และนึกถึงรสชาติของน้ำพริกง่ายๆ ที่บ้าน ฝีมือของคุณแม่
เห็นเด็กนักเรียนพากันเดินเข้าห้องเรียนด้วยสีหน้าโล่งอกโล่งใจที่พวกผู้ใหญ่ไม่มา
(ต่ออีกนิดครับ) ^^
👩🏽☀👧🏻THE LEISURE GLOVES ถุงมือยามว่าง# 7 เรื่องสั้น "ผู้ยิ่งใหญ่มาเยือน"-ถุงมือเด็กหลังห้อง 👧🏻☀👩🏽
เรื่องนี้ จขถม. ตั้งชื่อมาว่า "ผู้ยิ่งใหญ่มาเยือน"
ผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่านี้จะยิ่งใหญ่แบบไหน อย่างไร ? เป็นผู้มีอำนาจ อิทธิพล อย่างนั้นหรือเปล่า ???
ไม่รู้เหมือนกันเพราะกรรมการก็ยังบ่ได้อ่าน....งั้นมาอ่านไปพร้อมๆ กันครับ ^^