ย้อนรอย ปี 1985 ความขัดแย้ง ความละเลย นำมาสู่หายนะ การเปลี่ยนแปลงของการบินแคนาดาและสหรัฐ ( ภาค 1 )

ทีมสืบสวนด้านความปลอดภัยด้านการคมนาคมมีหน้าที่ในการทำงานร่วมกันและส่งรายงานบทสรุปการสิบสวนให้องค์กรบริหารการบินเพื่อส่งต่อให้สายการบินนำไปปฏิบัติต่อไป

สหรัฐ ทีมสืบสวนคือ คณะกรรมการด้านความปลอดภัยทางการคมนาคมแห่งชาติ หรือ
national transportation safety board ; NTSB
และผู้ออกกฎและบริหารการบินคือ สำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ หรือ Federal Aviation Administration ; FAA 

แต่ถ้าวันหนึ่งสมาชิกในทีมเกิดแตกคอกันเอง อะไรมันจะเกิดขึ้น วันนี้ผมจะขอมาย้อนรอยการสืบสวนที่จะเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ด้านการบินและองค์กรการบินครั้งใหญ่ของแคนาดาไปเลยทีเดียว

สาเหตุการตก เป็นสาเหตุธรรมดาที่เรารู้จักกันดีและน่าเคยรู้จักกันมาบ้าง แต่ความน่าสนใจอยู่ที่การทำงานที่ขาดความรับผิดชอบและส่งผลถึงในระดับการเมืองระหว่างประเทศเลยทีเดียวครับ

นี้คือเรื่องจริงอ้างอิงจากรายงานอย่างเป็นทางการและบทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง


วันที่  12 ธันวาคม ปี 1985 สายการบิน Arrow Air  เที่ยวบินที่ 1285 โดยเครื่อง DC8 กำลังจะสิ้นสุดการเดินทางข้ามทวีปจาก กรุงไคโร ประเทศอิยิปต์ ไปยัง ฟอร์ตแคมป์เบล เคนตักกี้  สหรัฐอเมริกา 


บนเครื่องมีลูกเรือ 8 คน พร้อมผู้โดยสาร 248 คน โดยผู้โดยสารส่วนใหญ่คือ ทหารในหน่วยพลขนส่งทางอากาศ Screaming Eagle 101 
พวกเขามีชื่อเสียงมากในการโดดร่มในสมรภูมิ นอร์มังดี ในสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาอยู่ที่ ไซนาย มา 5 เดือนครึ่งแล้ว และอยากจะกลับบ้านไปหาครอบครัวเต็มทีแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อปี 70 ถึง 80 เป็นเรื่องปกติที่ รัฐบาลจะทำสัญญากับสายการบินพลเรือนเพื่อส่งกำลังพลเข้าและออกนอนกประเทศ 

 

เวลา 5.30AM เครื่องลงที่สนามบินนานาชาติ  Gander International airport เพื่อเติมน้ำมัน ก่อนจะเดินทางขั้นสุดท้ายไปยัง ฟอร์ตแคมป์เบล เคนตักกี้นักบินประจำเที่ยวบิน  John Griffin อยู่กับสายการบินมา 4 ปีครึ่งแล้ว อีกทั้งยังเป็นครูการบินด้วย


นักบินที่ 1  John Connelly จะเป็นผู้ควบคุมการบินออกจาก Gander และ Michael Fowler เป็นวิศวกรการบิน 

ระหว่างที่นักบินกำลังรอถอยออกจากเกต พวกเขาจะต้องคำนวณน้ำหนักเพื่อให้เหมาะสมนอกจากนี้ ฟาวเลอร์ ยังต้องไปตรวจสภาพเครื่องว่ามีน้ำแข็งเกาะหรือไม่ จากการเดินตรวจ ทุกอย่างปกติ 


ในเครื่องมือวัดความเร็วมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Bug เพื่อให้สามารถกำหนดความเร็วที่เหมาะสมในการเทคออฟได้ ที่ 144 นอต และเริ่มเดินเครื่องไปรันเวย์

ที่หอควบคุม ATC แจ้งให้พวกเขาย้ายไปรันเวย์ 22 ในนาทีสุดท้าย และเริ่มเร่งกำลังเครื่องและออกบิน ในเวลา 6.46AM 

   

และอยู่ดีๆ เครื่องก็เริ่มเสียความเร็ว กำลังเครื่องลดลงและเริ่มร่วงหล่น

 

ในที่สุดเครื่องก็พุ่งเข้าชนกับต้นไม้ในป่าใกล้สนามบิน 

 
ทีมฉุกเฉินเดินทางไปที่เกิดเหตุทันที กัปตันกองทัพอากาศ Tom Badcock ไปถึงที่เกิดเหตุก่อนเป็นคนแรกและพบกับภาพที่น่าสยดสยอง สภาพซากแทบไม่ใกล้เคียงกับเครื่องบินเลย และหลังจากทีมกู้ภัย หลังจากดับไฟได้ก็พบว่าไม่มีผู้รอดชีวิต ผู้โดยสารและลูกเรือรวม 256 คนเสียชีวิต

 
เนื่องจากเครื่องตกที่แคนาดา หน้าที่จึงตกเป็นของคณะกรรมการความปลอดภัยทางการบินของแคนาดา หรือ  Canadian Aviation Safety Board ; CASB โดย David Mcnair จะเป็นผู้รับผิดชอบ โดยร่วมกับผู้ร่วมงาน Peter boag

 

ในขณะที่สหรัฐ ข่าวแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว อเมริกาแถลงการณ์ไว้อาลัยต่อผู้เสียชีวิตและญาติผู้เสียชีวิตต้องการคำตอบ

 

ทีมสืบสวนเริ่มสอบปากคำเจ้าหน้าที่ภาคพิ้นทันทีโดยทราบเรื่องที่น่าสนใจว่าเครื่อง มีการก่อตัวของน้ำแข็งเล็กน้อยแต่กัปตันก็ตัดสินใจที่จะไม่กำจัดน้ำแข็งและเตรียมพร้อมออกบิน


สภาพอากาศเวลานั้นเย็นมากนอกจากนี้ยังมีการตกของฝนเยือกแข็งด้วย โดยทีมสืบสวนทราบว่า มีเครื่อง 2 ลำเทคออฟเวลาเดียวกันมี 737 กำจัดน้ำแข็งและเครื่อง British airway DC10  อยู่บนรันเวย์ 50 นาที และไม่ได้กำจัดน้ำแข็ง แต่มันก็ทะยานขึ้นไปตามปกติ เมื่อตรวจสอบพบว่าพวกเขานำเครื่องขึ้นภายใน 2 ชั่วโมง

ทีมสืบสวนมองว่าน้ำแข็งอาจไม่ใช้แค่สาเหตุเดียว พวกเขาจึงมาดูปัจจัยอื่น การเปลี่ยนมา รันเวย์ 22 ในนาทีสุดท้ายแต่ รันเวย์ 22 เป็นรันเวย์ที่ยาวที่สุดของสนามบิน มันดีกว่าเดิมเสียอีกที่ได้ย้ายมารันเวย์นี้เพราะได้เวลาในการเตรียมตัวเพิ่มขึ้น


เมื่อพยานไม่สามารถให้ข้อมูลเพื่อช่วยในการสืบสวนให้ชัดเจนขึ้น Mcnair  จึงเปลี่ยนมาดูลักษณะการร่วงหล่นของเครื่องแทนสภาพพื้นที่เป็นป่าทึบ พวกเขาต้องการทราบว่าเครื่องชนต้นไม้จุดแรกที่ระยะความสูงเท่าไรนอกจากนี้พวกเขายังพบอุปกรณ์ที่ต้องการด้วย นั้นคือ กล่องดำ


แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อกล่องดำที่ได้มานั้นเก่ามากมันอาจจะแสดงข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อการสืบสวนได้ พวกเขาต้องส่งมันไปที่สภาวิจัยแห่งชาติด้านการบินที่ออตตาวาเพื่อวิเคราะห์  

เครื่องบันทึกข้อมูลแบบเก่า ออกแบบมาโดยใช้วิธีสลักข้อมูลบนแผ่นสแตนเลส แม้จะทนทานแต่มันบันทึกข้อมูลไม่ละเอียด เต็มที่คือ 4-5 ตัวแปรเช่น ความสูง ความเร็ว แต่ไม่ได้บันทึกข้อมูลอื่นๆ ซ้ำร้าย CVR ที่ได้มายังไม่บันทึกข้อมูลการสนทนาที่ควรจะเป็นด้วย

เท่านั้นยังไม่พอยังเกิดคำถามมากขึ้น เมื่อมีผู้โทรศัพท์ไปยังสถานกงสุลสหรัฐในต่างประเทศแสดงความรับผิดชอบว่าอยู่เบื้องหลังการตกของเครื่อง Arrow Air จึงเกิดคำถามใหญ่ขึ้นมาว่ามันคือการก่อการร้ายหรือไม่ เขาอ้างว่ากระทำโดยกลุ่ม Islamic Jihad และสร้างความตึงเครียดไปทั่วโลก เนื่องจากเครื่องมีผู้โดยสารส่วนใหญ่ที่เป็นทหารสหรัฐการวางระเบิดจึงอาจจะเป็นไปได้

Mcnair จึงตรวจสภาพพื้นทีเกิดเหตุทันที ถ้ามีการระเบิดจะมีต้องชิ้นส่วนที่กระจายออกมาจากตัวเครื่องจากการระเบิดนอกจากนี้เขายังส่งซากบางชิ้นไปตรวจที่นิติวิทยาศาสตร์กรมตำรวจแคนาดาเพื่อหาสารตกค้างของระเบิดด้วย ผลลัพธ์ที่ออกมาพวกเขาไม่พบสารตกค้างในชิ้นส่วนเลย 

1 ในผลประโยชน์ที่ผู้ก่อการร้ายจะได้เวลาอ้างความรับผิดชอบคือชื่อเสียงและปลูกฝังความกลัวซึ้งในลักษณะนี้ทางจิตวิทยาการจะแยกความเป็นจริงกับนิยายเป็นเรื่องที่ยากมาก 

เมื่อหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจนว่าการก่อร้ายเป็นไปได้น้อยมากๆMcnair จึงกลับมาดูที่ตัวเครื่องต่อ เขาพบว่าเครื่องชนกับต้นไม้ต้นแรกประมาณครึ่งไมล์จากปลายรันเวย์ เครื่องอยู่ในลักษณะเชิดหัวสูงทำให้มันไม่ได้แรงยกที่เพียงพอ สัมพันธ์กับลักษณะของต้นไม้ที่หัก

คำถามแรกคือทำไมเครื่องเชิดหัวสูงขนาดนั้น  เบาะแสหนึ่งมาจากตัวบ่งชี้ความเร็ว นักบินตั้งที่ 144 นอตแต่เครื่องไปแตะที่ความเร็วอย่างน้อย 165 นอต
 
ด้วย CVR ที่ไม่ได้บันทึกอะไรเลยจึงไม่ได้ช่วยอะไรเลย พวกเขาจึงมาดูเครื่องบันทึกการบินและมันก็บันทึกแค่นิดเดียวเท่านั้น เช่นความสูง ทิศทาง ความเร็ว เท่านั้น


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่