ต้องขอบคุณ ความทุกข์ ที่ทำให้แสวงหาความรู้และปัญญาจนบังเกิดธรรม สามารถสละทรัพย์เงินเป็นล้านบาทให้กับแม่ได้

ผมขอยกผลที่ปรากฏมาบอกก่อน เพื่อให้เป็นที่น่าติดตาม
     (แต่ผมไม่ได้หวัง ความศรัทธาจากผู้ใด แม้ลาภและยศ เพราะได้หลีกเลี่ยงมาตลอด เพราะการมี อิสระ ไม่เกาะเกี่ยวกับผู้คนมากหนัก ก็จะเป็นปกติสุขสำหรับผม ซ้ำพัฒนาทั้งปัญญาทางธรรม ความรู้ วางแผนทั้งฐานะและการเงินได้อย่างเหมาะสม ในเพศฆารวาส)

    ผลลัพธ์ที่ 1. ผมได้สละทรัพย์เพื่อแม่ที่ติดเตียงตลอด 7 ปี เฉพาะเงินส่วนจากผมคนเดียว ประมาณ 1 ล้านบาทนิดหน่อยไปแล้ว ส่วนพี่สาว 2 คนรวมๆ ประมาณ 2.4 แสนบาท(คนหนึ่งจ่ายมากกว่า อีกคนจ่ายอยู่ที่ไม่กี่หมืน) ส่วนพี่อีก 2 คนที่เหลือไม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปก็เป็นเช่นนั้นเอง
    ผลลัพธ์ที่ 2.ผมอดทน มีเงินเก็บเกือบ 0 บาทอยู่อย่างจนกว่ารายได้เป็นเวลา 10 ปีแรก ทำให้ปัจจุบันทรัพย์สินหลัก บ้าน ที่ดิน รถ หมดหนี้แล้ว จากเป็นมนุษย์เงินเดือน
    ผลลัพธ์ที่ 3.ด้วยผมต้องจ่ายเงินให้แม่ไปเกินครึ่งที่ผมควรจะเก็บได้หลังเกษียณ( 2 ล้านบาท) จึงหาลู่ทางอื่นมาชดเชย ก็ทำได้แม้ผมไม่ทำงานประจำแล้ว จากคอนโด และหุ้นปันผล 5-6 % ถ้ารวมเงินกำไรในพอร์ตด้วยก็ 10 % ไปแล้ว ที่พอทำได้นั้นเอง ....จากที่ศึกษามา 7 ปี ที่พอทำได้นั้นเอง ในกระทู้ จะตั้งต่อไป ประเมินผลครบ 6 เดือน เมื่อรู้จักในการลงทุนในหุ้น หลังจากทดลองผลมา 1 ปี แล้วลงทุนเพิ่ม....
    ผลลัพธ์ที่ 4.ผมไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ และไม่ต้องช่วยบำบัดความใคร่ด้วยตัวเองอีกแล้ว ด้วยกิเลสที่เบาบางลง ทุกข์ทางใจก็น้อยลง

      เริ่มเรื่อง ทำไมผมจึงทุกข์ เป็นทุกข์ เพราะตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ก็รู้ว่าตนเองมีฐานะต่ำต้อยในสังคม และขาดอิสระภาพ ไม่เหมือนเด็กทั่วๆ ไป เป็นลูกผู้อพพย ไม่มีสัญชาติไทย จึงถูกกดดันจากฐานะทางสังคม จากพ่อตนเอง จากกฏหมาย อย่างรุนแรงทีเดียว แต่ดันเรียนเก่งขึ้นเรื่อยๆ ในชั้นประถม ซึ่งเห็นตัวอย่างจากพี่ชายคนโต ที่ได้ข่าวว่าเรียนเก่งมากและพ่อรักมาก แต่ด้วยกฏหมาย ที่แม้เรียนสูงก็ไม่สามารถทำงานได้ และมีสิทธิ์ในการเรียนแค่ชั้นมัธยมปลายเท่านั้น พ่อจึงบังคับให้หยุดเรียนตั้งแต่จบ ม.3 เพราะใจพี่อยากเรียนต่อ จึงไม่มีกำลังใจในการทำงานต่างๆ (ตัดผมชาย)และทะเราะกับพ่อเป็นประจำ จนพี่คนโต ก็ค่อยๆ บ้าไป (นี้แหละกรรมและวิบากแห่งกรรม ของแต่ละบุคคล) หลังจากนั้นมาพ่อ ก็จะบังคับให้ลูกๆ หยุดเรียนในชั้น ป.4 ภายหลัง ป.7 ที่เปิดสอนในตำบลเท่านั้น สำหรับพี่ๆ ที่เหลือก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเรียนกันไม่เก่งจึงไม่เกิดปัญหาอะไร.

      หมายเหตุ การที่ผมเรียนเก่งขึ้นก็ด้วยเหตุนี้ เพราะรู้สึกต่ำต้อยในฐานะตนเอง จึงน้อมความรู้สึกอยู่กับตัวเองเป็นส่วนมาก ไม่ได้ปล่อยให้เพลิดเพลินไปแบบเด็กทั่วไปที่มีอิสระ แต่ผมชอบเผลอใจลอยในห้องเรียนบ่อยมาก แต่ผมก็ชอบฟังพระเทศนาในช่วงเข้าพรรษาเป็นประจำ พระก็สอนเรื่องสติ ครูก็สอนเรื่องจำ จดจำ ตอนเรียน ป.3 ชั่วโมง วิชาเลข ผมไปมองทางหน้าต่างห้อง เห็นกอไฝ่ ลมพัดไหวๆ ใจจึงลอยไปเรือยเปลื่อย จนผมต้องดึงใจมีสติกลับมาที่ตัว แล้วตั้งปฏิภานไว้ว่า จะไม่ให้ตัวเองเผลอใจลอยอีก จึงหาวิธีที่ไม่ให้ใจตนเองเผลอลอยอีกคือ 1.เมื่อรู้ตัวว่าตนเองกำลังใจลอยต้องดึงสติกลับมารู้ที่ร่างกายชัดทันที 2.ต้องทบทวนว่าขณะที่ผ่านมาได้ทำคิดอะไรไว้บ้างที่ผ่านมา ผมฝึกตนเองเรื่อยๆ จนใจไม่ลอยอีกเลย ทำไปตามประสาเด็กที่คิดวิธีไปเอง แต่กลับกลายเป็นการฝึก สติสัมปชัญญะ ตั้งแต่เรียน ป.3 และการเป็นทุกข์กดดันจากฐานะตนเองทางสังคม จึงน้อมความรู้สึกมาอยู่ที่ร่างกายและใจตนเองโดยส่วนมาก ไม่ปล่อยให้เพลิดเพลินไปตามเด็กทั่วไปที่มีอิสระ ก็เป็นบื้องต้นของอินทรียสังวร ซึ่งเป็นไปตามกรรมวาสนาส่วนตนนั้นเอง.

       ซึ่งผมกลับเรียนเก่งขึ้นเรื่อยๆ ใจผมจึงมุ่งไปที่แสวงหา ปัญญา และความรู้เป็นหลักแม้แลกด้วยความทุกข์ และชีวิต ดำเนินไปตามทิศทางคล้ายพี่คนโต แล้วรู้ว่าต้องเจอสถานะการณ์แบบนั้น เพียงแต่ผมจะไม่นำตน หรือต่อต้านพ่อตนเอง จนทำให้ตนเองเข้าสู่มุมอับทางจิตใจแบบพี่คนโต ด้วยเพราะไม่มีมนุษย์คนไหนช่วยได้ ใจก็หวังว่าอาจมีคนช่วย แต่เปล่าเลย แต่ด้วยอยู่ในชนบทต่างจังหวัดย่อมใกล้ชิดกับวัด และมีความศรัทธาต่อพระสงฆ์มาแต่ต้น(เป็นเอง) เมื่อไม่มีใครหรือคนไหนช่วยได้ จึงหวังพึ่งพระพุทธเจ้าให้ช่วย โดยนั่งสมาธิด้วยตนเอง ตามแบบพระพุทธรูป ไห้วพระสวดมนตร์ อธิษฐานก่อนนอนเป็นประจำ ตั้งแต่วัยเด็ก 10 กว่าปี ซึ่งไม่มีเด็กคนใหนในชนบทนั้นทำกัน แต่แล้วพ่อก็บังคับให้ผมหยุดเรียนเมื่อจบ ป. 7 จนได้ ต้องทำงานและช่วยงานที่บ้าน ขายของชำ ซ้อมจักรยาน ลับมีด หัดซ่อมวิทยุทรานชิลเตอร์ ซึ่งตอนนั้นอาชีพตัดผมโดนกฏหมายห้ามไปแล้ว แต่ใจผมนั้นก็ประสงค์จะเรียนต่ออยู่ดีไม่ถอย แต่ไม่ให้ตัวเองบ้าแบบพี่ชายคนโตที่บ้าไปแล้ว และเป็นช่วงที่พ่อแม่ผมกลัวว่าผมจะเป็นบ้าแบบพี่ชายคนโต จึงออกอุบาย เอา เงิน-ทอง ทั้งหมดที่สะสมมามากองให้ผมดู โดยมีทองเกือบ 40 บาท เงินที่เก็บ ซ่อนไว้ในส่วนต่างๆ ของบ้าน รวมแล้ว ก็หลายแสน หรือเกือบ 1 ล้านบาท เมื่อ พ.ศ 2516-17 คือรวยระดับเศรษฐี เงินล้าน ในตำบลนั้น แต่ทำตัวอยู่แบบไม่ได้รวย เพื่อปกปิดเพราะมีฐานะบอบบางทางสังคม แต่ภายหลังรู้จักเอาเงินฝากธนาคาร และสร้างบ้านเป็นตึกหลังแรกๆ ของตำบล เมื่อพ่อมีเงินฝากแบ็งค์เป็น ล้าน คนทั่วไปจึงได้ทราบกัน มีรายได้จากดอกเบี้ยเกือบเป็นหมื่นต่อเดือน เพราะดอกเบี่ยร้อยละ 10-12 บาทต่อปี ทั้งที่ข้าราชการแรกเข้าระดับปริญญาตรีได้เงินเดือนเพียง 2 พันบาทต่อเดือน แต่พ่อก็ยังประหยัดจนขี้เหนียวสุดๆ จนลูกๆ อยู่อย่างลำบาก และลำบากต่อไป ต้องดิ้นรนด้วยตนเอง แต่มีข้อดีอยู่คือ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงพ่อ-แม่ ไม่ต้องพะวงหลังว่าพ่อแม่ลำบาก. แต่เงิน ล้านกว่าบาทนั้นคงอยู่เท่านั้นเป็น เวลา เกือบ 20 ปี ที่กินดอกเบี้ย ที่ลดลงไปตามลำดับ ไม่มีงอกเงยขึ้น และกระจายจนหมดไปหมดสิ้นเมื่อพ่อเสียไป

         ความทุกข์ยากลำบากจึงตกอยู่กับแม่ เมื่อแม่กระจายเงินให้กับลูกทุกคนจนหมด และเมื่อต้องมาป่วยติดเตียงจากที่ความดันสูงจนเส้นเลือดฝ่อยในสมองแตกจึงเป็นอัมพฤต หลังจากผมเกิดสะโตร๊ก(มัจจุราชเงียบ) น็อกหมดสติขณะเดินแต่ได้เชฟตนเองได้ทันด้วยสติที่ฝึกมาดีแล้วในขณะนั้น เมื่อเชขม้ำไปข้างหน้า ก็รู้ว่าควบคุมร่างกายไม่ได้แล้วจึงเบี่ยงตัวไปตามแรงที่เช หันหลัง ให้ยันกับกำแพงประตูไว้ แล้วปล่อยให้ครูดลงหมดสติไปเอง เข้าห้อง ไอชียู เป็นอัมพาตอัมพฤตอยู่ 24 ชั่วโมง ดีที่เส้นเลือดสมองยังไม่แตกแต่บอบช้ำมาก อาจเป็นเพราะไม่ล้มแบบหัวฟาดพื้นช้ำจากจะหนักจึงเป็นเบา ก่อนแม่เป็นไม่ถึงปี แต่ผมก็ยังโผเป้อยู่ภายใน(กินเวลา 4 ปีกว่าจึงรู้สึกว่าตนเองหายเป็นปกติ) สำหรับช่วงปีแรกๆ ก็ไม่มีอะไรหรอกกับการดูแลท่านตามแบบบ้านๆ ก็ไม่ถูกหลักในการดูแล แต่แม่ไม่มีความทุกข์กดดันทางจิตใจ ด้วยผมและพี่สาวจ่ายเดือนละ 9,000 บาท (ผมจ่าย 5-6 พันบาท ที่เหลือพี่สาว 2 คนจ่าย 3 พัน) พี่ชายรับไปดูแล แต่หลังจากนั้น แม่ต้องทุกข์จนจิตใจแย่มากๆ เพราะความกดดันจากลูก พี่สาวงคนหนึ่งของดจ่าย อีกคนขอลดการจ่ายลงมา แม่จึงกลายเป็นหนังหน้าไฟ ประชดกดดันลงที่แม่เพื่อกระทบไปยังพี่สาวสองคน ผมอยู่ตรงกลาง ผมจึงเพิ่มเงินให้เท่าเดิม แต่เมื่อปะทุขึ้นแล้วมันไม่จบเพียงแค่นั้น ซึ่งก็เป็นจริงตามคำที่ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เกิดสภาวะไม่อยากเอาแม่เกิดขึ้น ผมจะทำอย่างไร มีหนี้ผ่อนบ้าน 2 หลัง ผ่อนรถ ส่งลูกชายยังเรียนอยู่ และประเมินแล้วว่า หลังผมเกิดสะโตร็กใหม่ๆ ค่อยดีขึ้น ผมหมดหนี้บ้านที่ดินรถ เมื่อผมเกษียณ 60 ปี กรณีไม่มีปัญหาเรื่องแม่ ผมจะมีเงินเก็บส่วนตัวผมไม่เกียวกับของภรรยา 2 ล้าน มีค่าเช้าบ้าน และบำนาณประกันสังคม กินแบบสบายๆ ส่วนตัว เพราะภรรยาจะมีบำนาณข้าราชการส่วนตัวเขาอยู่แล้ว 
       หมายเหตุ นี้ก็ ผมก็อายุ 60 ปีแล้ว แม่ติดเตียงมา 7 ปีไปแล้ว เงินก้อนที่จะเป็นส่วนตัวผมก็หายไปตามนั้นจริงๆ แต่เงินส่วนที่ลดหายไป ทำให้ผมต้องหาแนวทางเพื่อ มีรายได้ชดเชยหลังเกษียณจากงานจริงไว้ แล้วโอกาศเปิดให้พอเหมาะพอเจาะได้คอนโดราคาไม่เกิน 1 ล้าน คือ ซื้อผ่อนคอนโดไว้ และกันเงินไว้โปะหมดเมื่อครบสัญญา 3 ปี ได้พอดี แต่ต้องซื้อรถดาวส์ให้ลูกชาย ตามสัญญาที่เคยให้ไว้ตอนดาวส์รถให้พี่สาว เมื่อลูกชายเรียนจบได้งานทำ เงินสดส่วนตัวก็ลดไปอีกส่วนหนึ่ง ก็มีผลต่อการลงทุนของผมในหุ้นอย่างมากในปัจจุบัน แต่ผมไม่ได้มีปัญหาหรือเสียดายโอกาศใดๆ

       สิ่งที่ประมินไว้ทุกอย่างต้องผมต้องเปลี่ยนแผนทั้งหมด ผมต้องรีบโปะบ้าน 2 หลังให้หมดภายใน 1-2 ปี ไม่เช่นนั้นฟื้นฟูจิตใจแม่กลับคืนมาได้ยาก ซึ่งแม่เคยยากลำบาก และทุกข์ส่งผมเรียน ทั้งที่โดนกดดันจากพ่ออย่างยิ่ง โดนพ่อปลุกมาด่าทุกเขัามืด ขัดขวางไม่ให้ส่งเงินให้ผม เป็นเวลา 3 ปี (ผมต้องรีบเรียนให้จบภายใน 3 ปี เพื่อบรรเทาแม่ที่ต้องทุกข์จากพ่อ) ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ผมเรียนจบมา คงหางานทำไม่ได้ คือเปล่าประโยขน์ แต่ก็ต้องทนเพื่อไม่ให้ลูกเป็นบ้าแบบลูกคนโต สุดท้ายผมก็จัดการช่วยแม่ไว้ได้ก่อนที่จิตใจท่านจะกู้กลับคืนได้ยากกว่านี้ได้เช่นกัน

     สรุป ตั้งแต่เล็กนั้นมาผมจอทุกข์เป็นทุกข์อีกมากมาย สำหรับผู้พอเข้าใจชีวิต ก็ย่อมทราบโดยปริยาย โดยประมาณแล้วว่า ผมต้องเจอทุกข์และฟันฝ่าอีกมากมาย ทั้งจากพ่อ ก็ขัดขวาง กฏหมายก็ไม่ให้เรียน ผมต้องถูกบังคับให้หยุดเรียนไป 2 ปี ที่เดียว จนจบปริญญาตรีมาได้ วิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ ซึ่งใช้เวลา เรียนแค่ 3 ปีจบ

           ทำไมผมไม่บ้าไม่ผิดเพี้ยนไปเสียก่อน ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์เป็นนักศึกษาอย่างเต็มภูมิ แต่ดื่อเพ่งเรียนไป ทั้งที่ยังขาดหลักฐานการอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทยให้เรียนในระดับอุดมศึกษาได้ เงินที่ได้มาเรียนก็แทบไม่พอกินแต่ละเดือน เพราะพ่อก็ขัดขวางอย่างยิ่ง แม่สามารถส่งเงินให้ผมได้เพียงเดือนละ 800-850 บาท เมื่อปี พ.ศ 2523 ผมยังเป็นโรคที่เจ็บปวดทรมานยิ่งเกือบทุกเดือน 3-7 วัน เป็นดังมนุษย์เปรต แต่ไม่กล้าไปหาหมออย่างถูกต้องเพราะหนีไปเรียนอยู่นอกเขตจังหวัดควบคุม เป็นทุกข์ทางร่างกายและโดนกดดันทางจิตใจสุดแสนสาหัสที่บุคคลทั่วไปพึ่งเป็นบ้าและผิดเพี้ยนไปก่อนได้ สิ่งที่รักษาใจผมไว้ได้เพราะ เมื่อผมได้เรียนในชั้นที่สูงขึ้น ผมก็ได้ศึกษาอ่านหนังสือธรรมเพิ่มขึ้น ได้ปฏิบัติธรรมตามที่อ่านศึกษาด้วยตนเองเพิ่มขึ้น ก็อาศัย ภาวนา พุทธ-โธ หรืออานาปานสติเป็นหลัก และน้อมความรู้สึกตัว ที่ร่างกายตนเองอยู่เนืองๆ

           และผมก็ได้แบ่งเวลาอ่านหนังสือเรียน ออกเป็น 2 ส่วนโดยให้เวลาพอๆ กัน คือ หนังสือเรียน กับ อ่านศึกษาธรรมในห้องสมุด ทำไมผมจึงทำอย่างนั้น เพราะเมื่อผมอ่านศึกษาหนังสือธรม ผมเกิดปิติและสุขเล็กน้อย ทำให้ความทุกข์ที่กลุ่มรุมอยู่ตามฐานะที่ต้องต่อสู้โดยไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงเลย ว่าเรียนสอบจบแล้วจะได้รับปริญญาหรือเปล่า ผมปฏิบัติดูลมหายใจตลอดเวลาที่ระลึกได้ จนสติความรู้สึกมาจับอยู่ที่ปลายจมูกตลอดเวลาที่รู้สึกตัว เป็นมากถึงขนาดนั้น แต่ทำให้อดทนมีขันติอยู่ได้โดยไม่บ้าไปเสียก่อน ด้วยความทุกข์ความกดดัน ผมก็พยายามถือศีล 8 ช่วงขึ้นเรียนปีที่ 3

         เมื่อใกล้เรียนจบผมได้มีโอกาศเข้าวัดปฏิบัติธรรมในวัดมหาธาตุ คณะ 5 ท่าพระจันทร์ จนผมสอบจบทุกวิชาที่เรียนหนังสือ ก็เข้าวัดปฏิบัติธรรมต่อ ปฏิบัติธรรมจนยอมสละชีวิตให้กับธรรมปฏิบัติได้เห็นทุกข์มากมายจากวิปัสสนาญาณต่างๆ พร้อมทั้งบังเกิดฌาน ไปตามลำดับด้วยความเป็นทุกข์มาอย่างยาวนานตั้งแต่เด็ก และเห็นทุกข์ในวิปัสสนาญาณไปตามลำดับ ภายใน 3-4 เดือน จึงปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวด สละชีวิตตายจากไปจริงๆ ในขณะปัจจุบันที่กำหนดภาวนาอยู่ ไตรลักษณ์ประกฏแจ้งยิ่ง จนตายดับสิ้นไป พ้นไป แล้วเกิดขึ้นมาใหม่

          จึงรู้ชัดว่า เราจะไม่บ้าแบบพี่ชายคนโตอีกแล้ว แม้ที่เรียนมาเสมือนสูญเปล่า ไม่ได้ปริญญา หรือโดนกดดันใดๆ รอบด้าน และอีกมากหลังจากนั้น เพราะยังไม่ได้รับสัญชาติไทย ต้องเจอทุกข์กายทุกข์ใจอีกมากมายรูปแบบต่างๆ  ในฐานะอันต่ำต้อยทางสังคมนั้น ที่วิบากกรรมที่ทำชั่วรุนแรงถ้ามีอยู่ก็จะส่งผลโดยง่ายให้ทุกข์ยิ่งขึ้นไปอีก  แต่เมื่ออายุ เกือบ 36 ปี จึงได้รับสัญชาติไทย ด้วยเหตุ เพียงแค่นี้ เป็นเหตุเริ่มต้น ทำให้เกิดผลลัพย์ ที่กล่าวแล้วตามมาด้านบน
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่