***
สวัสดีครับ สืบเนื่องจากเมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสเปิดไอจีของ "น้องรตา" แล้วเจอน้องโพสต์ข้อความสนทนาตอบแฟนคลับไว้ (ขออนุญาตไม่นำมาแปะนะครับ ลองไปดูที่ลิงค์ต้นทางด้านล่าง)
ด้วยผมเองอยากทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้นน้องถึงได้ออกมาโพสต์เช่นนั้น?หรือว่ามีใครไปโพสต์ก่อกวน "น้องจ่อ" จนเป็นเรื่องขึ้นมา? จึงไปไล่อ่านดูและพบว่าส่วนมากคอมเมนต์ทั้งหมดเป็นไปในทางเดียวกันกับการโพสต์ถึงเมมเบอร์ทั่วๆไปคือ ชื่นชมบ้าง บอกรักบ้าง ให้กำลังใจบ้าง หรือไม่ก็ หวงไหล่บ้าง หึงบ้าง อยากหยิบไม้เรียวมาตี ฯลฯ อะไรทำนองนี้ แต่กรณีนี้คาดว่าน้องอาจจะจับประเด็นหรือตีความจุดประสงค์ของแฟนคลับหลายคนไม่ถูกจึงออกมาตอบคอมเมนต์แบบนี้ และผมยังได้ลองไปดูโพสต์เก่าๆหรือการไลฟ์ที่มีคนบอกไว้ว่าเกิดกรณีแฟนคลับ "ไม่รู้จักกาละเทศะ" บางคนมาบูลลี่น้อง และการตอบโต้ของน้องในกรณีต่างๆจึงอยากจะเขียนกระทู้นี้ขึ้นมา
ก่อนอื่นขอบอกว่าสำหรับเด็กอายุ17ปีแล้ว "น้องรตา" ถือเป็นคนที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมากคนหนึ่ง เพราะการที่เด็กสาวอายุเท่านี้ต้องจากบ้านเกิดและ "Comfort Zone" มาทำงานแลเรียนหนังสือในที่ห่างไกลด้วยตัวคนเดียว แน่นอนครับบางครั้งเราอาจมีอาการท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยกับปัญหาเรื่องราวต่างๆที่ถาโถมเข้ามาใส่ในทุกๆวัน ทว่าในฐานะที่น้องเป็นบุคลากรในวงการบันเทิงซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือบุคคลสาธารณะนั้น การออกมาตอบโต้กับแฟนคลับในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้ผมกลับคิดว่ามันไม่ส่งผลดีต่อตัว "น้องรตา" เลยไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม
ทั้งนี้โดยส่วนตัวผมเข้าใจน้องนะเพราะเคยบอกในกระทู้ก่อนแล้วว่า ที่ผมเริ่มมาติดตาม "น้องรตา" นั้นเพราะน้องมี "มุม" บางส่วนคล้ายกับผมในช่วงอายุเท่ากัน เพราะสมัยนั้นผมเป็นคนค่อนข้างขี้เหงาพอควร(ออกจะมากด้วยซ้ำ) เวลาว่างนอกจากเรียนพิเศษก็ต้องทำงานจึงไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวเล่นสนุกสนานเฮฮาปาจิงโกะมากมายเหมือนคนอื่น และตัวเองในห้วงนั้นมักจะชอบแบกปัญหาทุกสิ่งอย่างไว้บนบ่า หรือบางครั้งก็ทึกทักหวาดกลัวปัญหาอะไรต่างๆในหลายเรื่อง ทว่าในวันที่ผมโตขึ้นแล้วและมีวุฒิภาวะประสบการณ์ทางด้านจิตใจและอารมณ์มากพอ เมื่อมองย้อนกลับไปกลับกลายเป็นว่าเรื่องราวปัญหาสารพันสารเพต่างๆพวกนั้นกลับกลายเป็นเรื่องตลกร้ายไปเสียแทบทั้งหมด
กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นปัญหาต่างๆหรือแนวความคิดที่เรามีต่อบุคคลรอบข้างนั้นมากกว่าครึ่งก็เป็นสิ่งที่เราหวาดกลัวขึ้นไปเอง อาจจะเป็นเพราะความคาดหวังของคนรอบข้างที่อยากให้เราทำให้ดีที่สุด การอยากจะทำตัวเองให้ดีเลิศเพื่อให้เป็นที่สนใจของคนที่รัก ความกดดันจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ปัญหาเหล่านี้ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปผมก็พบว่าเราสามารถแก้ไขมันได้ง่ายๆด้วยการปล่อยวาง ทำจิตใจให้สงบ หยุดพัก และยกเอาปัญหาอันหนักอึ้งที่แบกไว้บนบ่าทั้งสองลงเสีย แล้วกลับมาตริตรองสิ่งเหล่านั้นอย่างถ่องแท้อีกครั้งแล้วค่อยแก้ไขปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนไปจนจบ
ซึ่งสำหรับกรณีของน้องๆ "BNK48" ที่มีปัญหาชีวิตจากทั้งเรื่องการทำงาน การเรียน แฟนคลับ และอะไรก็ตาม พี่อยากจะขอยกคำพูดใน "การ์ตูนญี่ปุ่น" ระดับตำนานเรื่องหนึ่งมานั่นคือ "Fullmetal Alchemist"

แขนกลคนแปรธาตุ) ซึ่งส่วนตัวพี่ถือว่าเป็นการ์ตูนที่ทำออกมาได้ "สมบูรณ์แบบ" ในทุกๆด้านและให้ข้อคิดสอนใจที่ดีแก่คนดูในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นสำคัญที่เกือบจะเป็นแกนหลักของเรื่องนั่นคือ "กฏของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม" นั่นเองครับ

การที่น้องๆหลายคนต้องมารับหน้าที่การเป็นสมาชิกของวงไอดอลชื่อดังนั้น ส่วนตัวพี่ถือว่าพวกเธอได้รับโอกาสที่ดียิ่งมากกว่าเด็กสาวหลายคนในช่วงวัยวุฒิเท่าๆกัน ถ้าลองตรองให้ดีจะพบว่ามันเป็นโอกาสเกือบจะ1ในล้านที่น้อยคนนักจะได้รับ แต่ทว่า "รางวัล" ของโอกาสอันดีนี้ก็ย่อมมีสิ่งตอบแทนแลกเปลี่ยนของมันอยู่เช่นกัน เหมือนที่ "เอ็ดเวิร์ด" และ "อัลฟรองเซ่" สองพี่น้องตัวละครหลักในการ์ตูนเรื่องข้างต้นพูดอยู่เสมอว่า "สิ่งต่างๆบนโลกนี้ล้วนไม่มีอะไรได้มาโดยง่ายดาย ถ้าเราอยากได้อะไรมาก็ต้องแลกกับสิ่งอื่นๆที่มีค่าทัดเทียมกันกลับไป" เช่นถ้าอยากเป็นนักกีฬาเหรียญทองก็ต้องแลกมาด้วยการอดทนฝึกซ้อมอย่างหนัก อยากเรียนให้ได้เกียรตินิยมก็ต้องแลกมาด้วยการขยันอ่านตำราทบทวนบทเรียนมากกว่าคนอื่น อยากก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่การงานก็ต้องขยันขันแข็ง ขวนขวายหาความรู้ และปรับตัวให้เข้ากับสถาณการณ์โดยรอบเสมอ แม้กระทั่งถ้าจู่ๆมีเงินร่วงลงมาจากฟ้าตกตรงพื้นเบื้องหน้า ถ้าอยากได้เราก็ยังต้องยอมสูญเสียกำลังกายและเวลาก้มลงไปเก็บเงินก้อนนั้นขึ้นมา
ดังนั้นเมื่อน้องๆเลือกที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เมื่อเราได้โอกาสที่ดีนั้นมาก็ย่อมต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอะไรบางอย่างไป ทั้งเวลาว่าง ช่วงชีวิตวัยรุ่น และอิสระเสรีภาพในการกระทำสิ่งต่างๆ เพราะเมื่อเรามาอยู่ใน "โลกมายา" แล้วต้องการจะเติบโตไปบนเส้นทางสายนี้อย่างมั่นคง การพูด การเขียน หรือกระทำการอันใดแบบตรงไปตรงมาเหมือนสมัยที่เราเป็น "Nobody" นั้นย่อมส่งผลร้ายอย่างใหญ่หลวง ในบางครั้งเราก็จำต้องปรับตัวและสวม "หน้ากาก" เข้าหากันหรืออดทนทำและรับฟังเรื่องบางเรื่องถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนจนเกินควร ซึ่งเรื่องนี้อย่าว่าแต่ดารานักร้องเลยครับเพราะมันอาจเป็นสัจธรมของคนทำงานทุกผู้บนโลกใบนี้เลยก้ได้
ซึ่งพี่อยากให้น้องๆลองดูต้นแบบของคนบันเทิงในตำนานอย่าง "พี่เบิร์ด ธงไชยฯ" ที่น้องๆหลายคนในวงได้มีโอกาสไปร่วมงานด้วย ถ้าใครได้ตาม "พี่เบิร์ด" มาตั้งแต่ยุคแรกๆจะพบว่าตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ "พี่เบิร์ด" แทบไม่เคยมีข่าวฉาวๆเสียหายที่มีมูลความจริงออกมาเลย(เรียกว่าไม่เคยได้ยินเลยจะดีกว่า) พี่เขารักษาภาพลักษณ์ การวางตัว การถนอมน้ำใจแฟนคลับตลอดมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าจะมีเสียงก่นด่าหรือการแอนตี้จากคนที่ต่อต้านก็ตาม เราจึงไม่เคยเห็นภาพพี่เบิร์ดออกมาตอบโต้แฟนคลับหรือให้สัมภาษณ์ในทางเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งจนเกินงาม เรียกว่าทุกการกระทำและคำพูดของพี่เขานอกจากมีพลัง ความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน และความน่าชื่นชมแล้วยังเป็นการรักษาน้ำใจของแฟนคลับและคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี

ทว่าการที่กล่าวเช่นนี้ก็มิได้หมายความว่าเหล่าแฟนคลับ (หรือ "โอตะ" ที่คนชอบเรียกกัน) จะสามารถกระทำย่ำยีอะไรกับน้องๆได้ตามอำเภอใจ โดยถืออภิสิทธิ์ว่าในเมื่อตัวข้าเสียเงินเสียทองไปมากมายก่ายกองขนาดนี้แล้ว ดังนั้นข้าอยากจะทำอะไรสัปดน อยากจะทำพฤติกรรมบ้าๆบอๆ พูดจาเลื่อนลอยไร้แก่นสาร ปฏิบัติตนไม่สนใจคนรอบข้างและระเบียบของสังคม หรือคิดทำพิเรนท์อะไรกับน้องๆเหมือนตุ๊กตาผ้าชิ้นหนึ่งก็ได้ นั่นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและไม่ควรสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหวังว่าแฟนคลับจะเข้าใจเพราะเชื่อว่าพวกคุณหลายคนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะทางความคิดและอารมณ์กันแล้ว การจะทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของน้องๆนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวก "สัตว์ทะเลไร้กระดูกสันหลัง" ที่อาศัยอยู่กับข่าวจอมปลอมและเกาะกระโปรงเด็กผู้หญิงหากินไปวันๆเท่านั้นเอง (ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าทำไมต้นสังกัดของน้องๆจึงยังไม่สามารถจัดการคนเหล่านี้ได้เสียที!)
และสำหรับ "น้องรตา" นั้นพี่ขอแนะนำอย่างเป็นส่วนตัวซักหน่อย (ไม่คิดว่าน้องจะได้มาอ่านกระทู้นี้หรอก แต่ขอกล่าวไว้ซักหน่อยถ้าไม่ถูกใจต้องขอโทษเธอด้วยนะ) การที่เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรนั้นย่อมเป็นสิทธิเสรีภาพของเราถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ไปขัดกับเสรีภาพและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ถ้าเราแน่ใจว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วย่อมไม่มีใครจะมา "ตีกรอบ" ชีวิตของเราได้นอกจากตัวเรา "ตั้งกรอบ" ให้ตนเองโดยใช้ความคิดเห็นของผู้คนรอบข้างเป็นวัตถุดิบนั่นเอง ปัญหาบางอย่างถ้าสามารถปล่อยวางและปล่อยผ่านมันไปได้ชีวิตเราจะมีความสุขขึ้นอีกมาโขเลยนะครับ
อนึ่งถ้าวันไหนที่ "น้องรตา" รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ผิดหวังเมื่อไหร่ขอให้เธอคิดถึงคนที่ "รัก" เธอมากที่สุด ซึ่งนั่นไม่ใช่ "แฟนคลับ" ที่ทุ่มเทจ่ายเงินให้เธออย่างมากมาย แต่คือ "พระในบ้าน" หรือ "พ่อแม่" อันประเสริฐเลิศยิ่งของลูกทุกคน ถ้ารู้สึกว่าวันไหนที่เราไม่ไหวแล้วขอให้เธอกลับบ้าน กลับไปพักใจ กลับไปหาพระในบ้านของเรา กลับไปกราบเท้าท่านไม่ว่าต่อไปเธอจะอายุมากขึ้นและทำงานแล้ว หรือย้ายไปอยู่ ณ แห่งหนตำบลใดก็ตาม เมื่อมีเวลาพยายามกลับไปเยี่ยมเยียนพวกท่านบ้าง ไปขอพลังกายพลังใจจากท่าน เพราะไม่ว่าลูกๆแต่ละคนจะเติบโตไปซักแค่ไหน แต่พ่อแม่ก่็ยังคงรักลูกอย่างสุดหัวใจเหมือนเขาเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาในวันนั้นอยู่เสมอ เรื่องนี้ใครคิดได้ก่อนพี่ถือว่าเป็น "กำไรชีวิต" ของเขาคนนั้นครับ
...ด้วยรักและหวังดี...
ป.ล. จากนี้ไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับ "น้องรตา" และ "แฟนคลับ" ด้วยนะครับ ต้องบอกว่า "น้องรตา" นี่เก่งนะที่ทำให้ผมเปิดใจได้ ทั้งที่ไม่คิดว่าจะมาติดตามใครในวงเพิ่มอีกแล้ว 555
สุดท้ายแล้วจริงๆ! อยากจะฝากเพลงให้น้องและเพื่อนๆหน่อยครับ เป็นบทเพลงของ Zard นักร้องจากแดนปลาดิบผู้ล่วงลับที่ผมชื่นชอบมากอันดับต้นๆคนนึง เป็นเพลงที่เก่าแล้วแต่ความหมายของมันดีมากๆ ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะครับ
(May the Spoil be with you)
ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน
(น้อง "รตา" BNK48) เมื่อบทบาทหน้าที่ของไอดอล เดินสวนทางกับตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง สมควรจะรับมือกับมันเช่นไร?
สวัสดีครับ สืบเนื่องจากเมื่อวันก่อนผมได้มีโอกาสเปิดไอจีของ "น้องรตา" แล้วเจอน้องโพสต์ข้อความสนทนาตอบแฟนคลับไว้ (ขออนุญาตไม่นำมาแปะนะครับ ลองไปดูที่ลิงค์ต้นทางด้านล่าง)
ก่อนอื่นขอบอกว่าสำหรับเด็กอายุ17ปีแล้ว "น้องรตา" ถือเป็นคนที่เข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมากคนหนึ่ง เพราะการที่เด็กสาวอายุเท่านี้ต้องจากบ้านเกิดและ "Comfort Zone" มาทำงานแลเรียนหนังสือในที่ห่างไกลด้วยตัวคนเดียว แน่นอนครับบางครั้งเราอาจมีอาการท้อแท้หรือเหน็ดเหนื่อยกับปัญหาเรื่องราวต่างๆที่ถาโถมเข้ามาใส่ในทุกๆวัน ทว่าในฐานะที่น้องเป็นบุคลากรในวงการบันเทิงซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือบุคคลสาธารณะนั้น การออกมาตอบโต้กับแฟนคลับในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้ผมกลับคิดว่ามันไม่ส่งผลดีต่อตัว "น้องรตา" เลยไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม
ทั้งนี้โดยส่วนตัวผมเข้าใจน้องนะเพราะเคยบอกในกระทู้ก่อนแล้วว่า ที่ผมเริ่มมาติดตาม "น้องรตา" นั้นเพราะน้องมี "มุม" บางส่วนคล้ายกับผมในช่วงอายุเท่ากัน เพราะสมัยนั้นผมเป็นคนค่อนข้างขี้เหงาพอควร(ออกจะมากด้วยซ้ำ) เวลาว่างนอกจากเรียนพิเศษก็ต้องทำงานจึงไม่ได้มีโอกาสไปเที่ยวเล่นสนุกสนานเฮฮาปาจิงโกะมากมายเหมือนคนอื่น และตัวเองในห้วงนั้นมักจะชอบแบกปัญหาทุกสิ่งอย่างไว้บนบ่า หรือบางครั้งก็ทึกทักหวาดกลัวปัญหาอะไรต่างๆในหลายเรื่อง ทว่าในวันที่ผมโตขึ้นแล้วและมีวุฒิภาวะประสบการณ์ทางด้านจิตใจและอารมณ์มากพอ เมื่อมองย้อนกลับไปกลับกลายเป็นว่าเรื่องราวปัญหาสารพันสารเพต่างๆพวกนั้นกลับกลายเป็นเรื่องตลกร้ายไปเสียแทบทั้งหมด
ซึ่งสำหรับกรณีของน้องๆ "BNK48" ที่มีปัญหาชีวิตจากทั้งเรื่องการทำงาน การเรียน แฟนคลับ และอะไรก็ตาม พี่อยากจะขอยกคำพูดใน "การ์ตูนญี่ปุ่น" ระดับตำนานเรื่องหนึ่งมานั่นคือ "Fullmetal Alchemist"
ดังนั้นเมื่อน้องๆเลือกที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ก็ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เมื่อเราได้โอกาสที่ดีนั้นมาก็ย่อมต้องแลกมาด้วยการสูญเสียอะไรบางอย่างไป ทั้งเวลาว่าง ช่วงชีวิตวัยรุ่น และอิสระเสรีภาพในการกระทำสิ่งต่างๆ เพราะเมื่อเรามาอยู่ใน "โลกมายา" แล้วต้องการจะเติบโตไปบนเส้นทางสายนี้อย่างมั่นคง การพูด การเขียน หรือกระทำการอันใดแบบตรงไปตรงมาเหมือนสมัยที่เราเป็น "Nobody" นั้นย่อมส่งผลร้ายอย่างใหญ่หลวง ในบางครั้งเราก็จำต้องปรับตัวและสวม "หน้ากาก" เข้าหากันหรืออดทนทำและรับฟังเรื่องบางเรื่องถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อนจนเกินควร ซึ่งเรื่องนี้อย่าว่าแต่ดารานักร้องเลยครับเพราะมันอาจเป็นสัจธรมของคนทำงานทุกผู้บนโลกใบนี้เลยก้ได้
ซึ่งพี่อยากให้น้องๆลองดูต้นแบบของคนบันเทิงในตำนานอย่าง "พี่เบิร์ด ธงไชยฯ" ที่น้องๆหลายคนในวงได้มีโอกาสไปร่วมงานด้วย ถ้าใครได้ตาม "พี่เบิร์ด" มาตั้งแต่ยุคแรกๆจะพบว่าตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ "พี่เบิร์ด" แทบไม่เคยมีข่าวฉาวๆเสียหายที่มีมูลความจริงออกมาเลย(เรียกว่าไม่เคยได้ยินเลยจะดีกว่า) พี่เขารักษาภาพลักษณ์ การวางตัว การถนอมน้ำใจแฟนคลับตลอดมาอย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่ว่าจะมีเสียงก่นด่าหรือการแอนตี้จากคนที่ต่อต้านก็ตาม เราจึงไม่เคยเห็นภาพพี่เบิร์ดออกมาตอบโต้แฟนคลับหรือให้สัมภาษณ์ในทางเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งจนเกินงาม เรียกว่าทุกการกระทำและคำพูดของพี่เขานอกจากมีพลัง ความสุภาพ อ่อนน้อมถ่อมตน และความน่าชื่นชมแล้วยังเป็นการรักษาน้ำใจของแฟนคลับและคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
และสำหรับ "น้องรตา" นั้นพี่ขอแนะนำอย่างเป็นส่วนตัวซักหน่อย (ไม่คิดว่าน้องจะได้มาอ่านกระทู้นี้หรอก แต่ขอกล่าวไว้ซักหน่อยถ้าไม่ถูกใจต้องขอโทษเธอด้วยนะ) การที่เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรนั้นย่อมเป็นสิทธิเสรีภาพของเราถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ไปขัดกับเสรีภาพและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ถ้าเราแน่ใจว่าทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วย่อมไม่มีใครจะมา "ตีกรอบ" ชีวิตของเราได้นอกจากตัวเรา "ตั้งกรอบ" ให้ตนเองโดยใช้ความคิดเห็นของผู้คนรอบข้างเป็นวัตถุดิบนั่นเอง ปัญหาบางอย่างถ้าสามารถปล่อยวางและปล่อยผ่านมันไปได้ชีวิตเราจะมีความสุขขึ้นอีกมาโขเลยนะครับ
อนึ่งถ้าวันไหนที่ "น้องรตา" รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ ผิดหวังเมื่อไหร่ขอให้เธอคิดถึงคนที่ "รัก" เธอมากที่สุด ซึ่งนั่นไม่ใช่ "แฟนคลับ" ที่ทุ่มเทจ่ายเงินให้เธออย่างมากมาย แต่คือ "พระในบ้าน" หรือ "พ่อแม่" อันประเสริฐเลิศยิ่งของลูกทุกคน ถ้ารู้สึกว่าวันไหนที่เราไม่ไหวแล้วขอให้เธอกลับบ้าน กลับไปพักใจ กลับไปหาพระในบ้านของเรา กลับไปกราบเท้าท่านไม่ว่าต่อไปเธอจะอายุมากขึ้นและทำงานแล้ว หรือย้ายไปอยู่ ณ แห่งหนตำบลใดก็ตาม เมื่อมีเวลาพยายามกลับไปเยี่ยมเยียนพวกท่านบ้าง ไปขอพลังกายพลังใจจากท่าน เพราะไม่ว่าลูกๆแต่ละคนจะเติบโตไปซักแค่ไหน แต่พ่อแม่ก่็ยังคงรักลูกอย่างสุดหัวใจเหมือนเขาเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาในวันนั้นอยู่เสมอ เรื่องนี้ใครคิดได้ก่อนพี่ถือว่าเป็น "กำไรชีวิต" ของเขาคนนั้นครับ
...ด้วยรักและหวังดี...
ป.ล. จากนี้ไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวกับ "น้องรตา" และ "แฟนคลับ" ด้วยนะครับ ต้องบอกว่า "น้องรตา" นี่เก่งนะที่ทำให้ผมเปิดใจได้ ทั้งที่ไม่คิดว่าจะมาติดตามใครในวงเพิ่มอีกแล้ว 555
ขอสปอยล์จงสถิตย์อยู่กับท่าน