บางบาดแผล ที่ไม่หายตามกาลเวลา BY OTA MAN

กระทู้สนทนา
ขอแชร์เรื่องราวและข้อคิด เครดิตจาก OTA MAN  (ชอบช่องนี้มาก ข้อมูลดี และสนับสนุนน้องๆในทิศทางที่ดีตลอดเลย) เขียนดีมาก โดนใจผมมาก เรื่องนี้เค้าเขียนจากกรณีน้องโมบายเมื่อคืน

อยากให้ลองอ่านและเปิดใจรับรู้ความรู้สึกถูกเป็นผู้โดนกระทำดู ใจเค้าใจเราครับ น้องๆมีความรู้สึกมีหัวใจทุกคน รณรงค์เรื่องนี้กันครับ เอาใจช่วยน้องๆเมมเบอร์ในวงทุกคนที่กำลังเจอเรื่องราวแบบนี้ ขอให้ก้าวผ่านพ้นไปให้จงได้

" อาวุธที่ร้ายแรงที่สุดอาจจะเป็นคำพูด
เพราะมันไม่ทิ้งร่องรอยบาดแผลอะไรเอาไว้
แต่มันอาจจะทิ้งความเจ็บปวดเอาไว้แก่ผู้ได้รับไปอีกนาน...."
.
มีโอกาสได้นั่งดูบทสัมภาษณ์ BNK48 จาก THE STANDARD
การพูดคุยดำเนินไปตามปกติจนมาถึงหัวข้อ
.
" ความทุกข์ที่คุณได้รับคืออะไร ? "
.
แน่นอนว่าคนบันเทิง ดารา ศิลปินส่วนใหญ่ต่างเจอเหมือนกันคือการโดน Social Bullying ที่ทุกวันที่ยิ่งความเห็นมีพื้นที่ให้แสดงออกกันได้ง่ายขึ้น และยิ่งทำให้เจออะไรแบบนี้มากขึ้น
.
การแสดงออกทางความเห็นคงไม่ผิดอะไร
แต่การแสดงออกทางความคิดเห็นที่ขาดการรับผิดชอบหรือคำนึงต่อผู้ฟังก็ยิ่งมีมากขึ้น ด้วยแนวความคิดที่ว่า เป็นคนสาธารณะ ต้องรับทุกความเห็นให้ได้...
และว่ากันตามหลักความเป็นจริง คิดว่าในอีก 1ปี 5 ปี หรือ 10 ปีข้างหน้า หากยังมีการใช้ Social ในการสื่อสารกันอยู่ เรื่องแบบนี้ก็คงจะเกิดขึ้นอีก มีมาเรื่อยๆเป็นเรื่องธรรมดา เป็นวัฎจักรของโลกที่เราไม่สามารถจำกัดควบคุมอะไรได้ 100%
.
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการสัมภาษณ์คือ ทันทีที่น้องโมบายล์พูดถึงเรื่องนี้ อยู่ๆน้ำตาน้องก็ไหลออกมากระทันหัน เป็นความรู้สึกที่ปล่อยออกมาโดยที่น้องก็ไม่ทันตั้งตัว เป็นความเจ็บปวดทางใจที่แสดงออกมาทางกายในทันทีแบบที่เราเห็นในการสัมภาษณ์ แม้เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับดาราศิลปินทั่วไป แต่ก็ต้องยอมรับว่า วง BNK48 เป็น 1 ในกลุ่มศิลปินที่เจอเรื่องพวกนี้มากที่สุด ทั้งๆที่ไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มศิลปินอื่นๆ
.
เรื่องนี้บอกอะไรเราได้บ้าง ?
จริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นดาราหรือศิลปินท่านไหนที่เจอเรื่องพวกนี้มาเหมือนๆกัน เราก็มักจะคุ้นชิ้นกับคำตอบที่ว่า
.
"ก็ไม่เป็นไรค่ะ/ครับ"
"ก็จะพยายามไม่สนใจหรือไม่รู้สึกอะไร "
"พยายามมองข้ามมันไป ผ่านมันไป "
หรือ "ชินแล้ว.."
.
เป็นคำตอบที่บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่า นั่นเป็นสิ่งที่เค้าอยากจะบอก หรือแค่เป็นสิ่งที่เค้ารู้สึกว่า คนฟังแค่อยากจะได้ยินแบบนั้น...?
.
เพราะจริงๆแล้วเราไม่รู้เลยว่า
บางคำพูด ได้เข้าไปทำร้ายใครบางคนได้มากแค่ไหน...
บางคำพูด ทิ้งบาดแผลไว้ได้ยาวนานเท่าไหร่....
และบางคำพูด เป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกบางอย่างที่จะคั่งค้างอยู่ในใจ กลายเป็นสิ่งที่จะอยู่แบบนั้นไปตลอดชีวิตสำหรับบางคนตลอดไปก็เป็นได้...
เราไม่มีทางรู้....
.
เป็นเรื่องน่าเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เกิดกรณีอะไรแบบนี้
ผู้ที่เคยโดนกระทำ ก็จะเข้าใจ
ผู้ที่เป็นฝ่ายกระทำ ก็จะไม่เข้าใจหรือไม่รู้ตัว
และผู้ที่ ตราบใดที่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวหรือตัวเอง ก็จะยังคงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ได้มากมากอะไรที่จะใส่ใจ...
.
นี่คงเป็นอีก 1 บทความที่เขียนถึงเรื่องนี้ และผู้อ่านหลายคนก็อาจจะชาชินกับการได้เห็นบทความเรื่องแบบนี้ และวัฎจักรพวกนี้ก็คงจะเกิดขึ้นต่อไป
แค่อยากจะเขียนขึ้นมาเพื่อที่จะช่วยย้ำเตือนแก่ผู้พบเห็นหรือผู้ที่ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านว่า..
.
"เวลา คำพูด ความรู้สึก " สิ่งที่ไหลย้อนคืนไม่ได้แล้วเหล่านี้
ก่อนที่จะสื่อสารอะไรออกไป การได้ทบทวนสิ่งเหล่านั้นภายในใจดูก่อนว่ามันยังคงเป็นความหวังดีที่อยากจะบอกให้ได้รับรู้....
หรือว่ามันกลายเป็นอีก 1 อาวุธที่จะสร้างบาดแผลที่มองไม่เห็นให้กับอีกคนนึงไปตลอดชีวิต....
ทบทวนก่อนที่จะสื่อสารออกไป ก็น่าจะเป็นการลดการเกิดเรื่องแบบนี้ให้น้อยลงบ้าง
.
แม้โลกความเป็นจริงเราอาจจะมีโอกาสได้เห็นการ Social Bullying ใดๆก็ตามอีกในอนาคตจนชินตา
แต่ทว่า
.
"บางความเจ็บปวดของผู้ได้รับ"
ไม่ว่าอีกครั้ง มันก็ไม่สามารถที่จะกลายเป็นความเคยชินไปได้เลย..
และกลุ่มคนสาธารณะเหล่านี้ แม้ว่าจะโดนมองว่าต้องรับทุกความเห็นให้ได้ แต่ในอีกมุมนึงเค้าก็เป็นคนธรรมดาที่มีลมหายใจ มีความรู้สึก และมีสิทธิ์ที่มีโอกาสปกป้องความรู้สึกของตัวเอง
.
เพราะ "รับทุกความเห็น/วิจารณ์ได้ แต่ก็ไม่ใช่ที่เอาไว้รองรับอารมณ์หรือระบายความรู้สึกของใคร..."
เส้นบางๆตรงนี้ที่แบ่งมันเอาไว้
ถ้าบทความนี้เป็นกระบอกเสียงให้มันชัดเจนขึ้นมาได้อีกนิดก็คงจะดี..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่