
แดนประหาร ที่ที่หลายคนรู้สึกว่าน่ากลัว และเป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่จากประวัติศาสตร์โลกแล้ว ครั้งหนึ่งเราเคยมีสถานที่ที่เรียกว่า
"ลานประหาร" นำเสนอความตายกันให้เห็นๆ ตรงหน้า ไม่ว่าจะเพื่อลงโทษให้สาสม เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือเพื่อสร้างความหวาดกลัวก็ตาม และต่อไปนี้คือ ลานประหารที่มีชื่อเสียงจากรอบโลก ที่จะทำให้คุณต้องรู้สึกขนลุกเพียงแค่เดินเฉียดใกล้เท่านั้น
1. Place de la Concorde, Paris
จัตุรัสคองคอร์ด หรือ
ปลัส เดอ ลา กงกอร์ด (Place de la Concorde)
เป็นสถานที่แห่งความทรงจำทางประวัติศาสตร์การนองเลือดครั้งใหญ่ในกรุงปารีส!! เป็นสัญลักษณ์ของสงครามกลางเมืองและการปฏิวัติการปกครองของฝรั่งเศส รวมทั้งเป็นจุดจบของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พร้อมกับพระนางมารีอังตัวเนต ด้วยเครื่องประหารกิโยติน
จัตุรัสคองคอร์ดถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 โดยสถาปนิกชื่อ Jacques Ange Gabriel และสร้างเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.1755 เพื่อประดิษฐานพระบรมรูปทรงม้าแต่ถูกทำลายโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พร้อมกับการนำเครื่องประหารชีวิตกิโยติน (Guillotine) มาตั้งแทน
การปฏิวัตินำมาซึ่งการนองเลือดที่พรากชีวิตผู้คนถึง 1,119 ชีวิตซึ่งรวมถึงตัวพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และ พระนางมารีอังตัวเนต เพราะข่าวลือเรื่องการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ด้วยการสนับสนุนจากกองกำลังระหว่างประเทศ จนถูกกล่าวหาว่าได้ทรงกระทำการในสิ่งที่เป็นการทรยศต่อประเทศ(Haute Trahison) โดย
Maximilien de Robespierre ผู้นำสภาแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ที่สั่งประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แล้วขึ้นครองอำนาจการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จแทนใน
เวลาต่อมา โดยได้แสดงอำนาจ อํามหิต เข่นฆ่าผู้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยเครื่องประหารกิโยติน(Guillotine)อีกนับหมื่นชีวิต!! แต่ในเวลาต่อมา Maximilien de Robespierre ก็ถูกมวลมหาประชาชนจับประหารด้วยเครื่องกิโยติน (Guillotine) เช่นกัน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 จุดสิ้นสุดของยุคแห่งมิคสัญญี (Reign of Terror)
เป็นเวลากว่า 200 ปีแล้วจนถึงปัจจุบัน เป็นที่มาของชื่อ Place de la Concorde มีความหมายว่า จัตุรัสแห่งความปรองดองหรือความสมานฉันท์ ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อลบล้างภาพการนองเลือดที่ไม่อาจลืมเลือน!!
ปลัส เดอ ลา กงกอร์ด นับเป็นสถานที่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นอกจากเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสแล้วปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “เสาโอเบลิสก์” (L’Obélisque) ประติมากรรมอันล้ำค่าสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของประเทศอียิปต์และประเทศฝรั่งเศสซึ่งถูกส่งให้เป็นของขวัญแก่พระเจ้าชาร์ลที่ 10 ในปีค.ศ. 1829

โดยความพิเศษของเสาโอเบลิสก์ (L’Obélisque) คือการทำมาจากหินแกรนิตทรงเหลี่ยม เล่าเรื่องราวสมัยฟาร์โรห์รามเสสที่ 2 และสมัยรามเสสที่ 3 ด้วยตัวภาษาอียิปต์โบราณที่มีอายุกว่า 3,000 ปี!!!! เสาโอเบลิสก์นี้มีน้ำหนัก 227 ตัน สูง 22.83 เมตร บริเวณโคนเสามีลายเส้นเขียนภาพฉาบด้วยสีทอง ส่วนยอดของเสาหินได้นำแผ่นทองมาปิดทับให้เกิดความวิจิตรงดงามมากขึ้น
อีกสิ่งที่น่าใจคือ ประติมากรรมน้ำพุ Fontaine de Jacques Hirtoff ที่พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิป โปรดให้สถาปนิก Jacques Hittoff สร้างน้ำพุ 2 แห่ง บริเวณกลางลานจัตุรัสคองคอร์ด (Place de la Concorde) แล้วนำเสาโอเบลิสก์ (L’Obélisque) มาตั้งตรงกลางระหว่างน้ำพุเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1836
talontiew.com
2. Tower of London, UK
Tower Of London
เป็นพระราชวังหลวงและป้อมปราการตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอนในอังกฤษ เป็นพระราชวังที่เดิมสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1078 เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ พระราชวังเป็นรู้จักกันในนามว่า “หอคอยแห่งลอนดอน” หรือ “หอ” ในประวัติศาสตร์ ตัวปราสาทตั้งอยู่ภายในโบโรแห่งทาวเวอร์แฮมเล็ทส์และแยกจากด้านตะวันออกของนครหลวงลอนดอน (City of London) ด้วยลานโล่งที่เรียกว่าเนินหอคอยแห่งลอนดอน หรือ “ทาวเวอร์ฮิล” (Tower Hill)
ที่นี่นับว่าเป็นทั้งศูนย์กลางของการเมืองการปกครองเเละการบัญชาการทางด้านทหารของอังกฤษในยุคกลางที่สำคัญอย่างมาก เเถมยังเป็นที่ขุมขังนักโทษที่มีชื่อเสียงอย่างมากอีกด้วยเช่นเดียวกัน
ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นที่เก็บรักษาสมบัติของชาติที่มีความสำคัญอย่างบรรดามงกุฎต่างๆ ที่เเสนจะตระการตาเเละหาค่าไม่ได้เลยทีเดียว ทั้ง มงกุฎ Imperial State Crown หรืออย่างมงกุฎแพลทตินัมของพระมารดาพระราชินีที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว โดยมงกุฎนี้มีการตกแต่งด้วยเพชรอย่าง Indian Koh-i-Noor ที่มีจำนวนถึง 105 กะรัต ซึ่งมีความสวยงามอย่างมาก
ตำนานชิงอำนาจ Tower of Londonเรื่องราวมาจาก การชิงรักหักสวาทกันตั้งแต่ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่มีพระมเหสีถึง 6 พระองค์ (ทรงประกาศพระมเหสีทีละพระองค์) เรื่อยมาหลายราชวงศ์ มีทั้งขุนนางส่งเสริม สมคบกับพระราชินีบ้าง อัศวินบ้าง เพื่อสร้างฐานอำนาจ เมื่อพระองค์หนึ่งได้ครองราชย์ ก็จะสำเร็จโทษอีกฝ่าย หรือจับขังในวังลืม
happylongway.com
3. Auschwitz Birkenau, Poland
ค่ายกักกันเอาชวิทซ์ หรือ ค่ายกักกันเอาชวิทซ์-เบียร์เคเนา (อังกฤษ: Auschwitz concentration camp หรือ Auschwitz-Birkenau)
เป็นค่ายกักกันและค่ายมรณะที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาค่ายกักกันของนาซีของนาซีเยอรมนีที่ทำการระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
ชื่อของค่ายกักกันมาจากชื่อของเมือง “ออชเฟียนชิม” (Oświęcim) หลังจากการบุกครองโปแลนด์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ออชเฟียนชิมของโปแลนด์ก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของนาซีเยอรมนีและเปลี่ยนชื่อเป็นเอาชวิทซ์ (Auschwitz)
ซึ่งเป็นชื่อในภาษาเยอรมัน ส่วนเบียร์เคเนา (Birkenau) เป็นชื่อในภาษาเยอรมันที่แผลงมาจาก “บเจชิงคา” (Brzezinka, ต้นเบิร์ช) ซึ่งเป็นชื่อหมู่บ้านเล็ก ๆ ไม่ไกลนักที่ต่อมาถูกเยอรมนีทำลายเกือบทั้งหมด
ผู้บังคับบัญชาการของค่ายรูดอล์ฟ เฮิสส์ (Rudolf Höss) ให้การในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Trials) ว่าประชากรถึงราว 3 ล้านคนเสียชีวิตที่ค่ายกักกันเอาชวิทซ์ แต่พิพิธภัณฑ์แห่งรัฐเอาชวิทซ์-เบียร์เคเนาปรับตัวเลขเป็น 1.1 ล้านคน
ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ถูกสังหารเป็นชาวยิวจากเกือบทุกประเทศในยุโรป ผู้ประสบชะตากรรมเกือบทั้งหมดถูกสังหารในห้องรมก๊าซโดยใช้ก๊าซ Zyklon B การเสียชีวิตอื่นมาจากความอดอยาก การบังคับใช้แรงงาน การขาดการดูแลทางสุขภาพ การถูกสังหารตัวต่อตัว และ “การทดลองทางแพทย์”
e-shann.com
4. Choeung Ek (Killing Fields), Cambodia
Khmer Rouge Killing Fields (ทุ่งสังหาร)
หรือ
Choeung Ek (เจืองเอ็ก) อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญประมาณ 17 กิโลเมตร ที่นี่เหมือนเป็นรอยแผลเป็นของกัมพูชาที่ไม่มีวันไหนจะลบไปจากประวัติศาสตร์ได้
โดยทุ่งสังหารนี้เป็นสถานที่ที่เชื่อว่ามีผู้คนเสียชีวิตมากที่สุด จากเหตุการณ์ในช่วงที่เขมรแดงปกครองประเทศกัมพูชาระหว่างปี 1975 – 1979 ประมาณการจากเศษของโครงกระดูกที่ขุดพบมากกว่า 8,000 ชิ้น รวมถึงกระดูกชิ้นเล็กๆอีกมากมาย ทำให้เชื่อได้ว่ามีผู้เสียชีวิตที่นี่ไม่ต่ำกว่า 17,000 คน
ประวัติศาสตร์กับทุ่งสังหารเจิงเอก
ย้อนรอยไปในช่วงปี 1975 หลังจากพลพตและเขมรแดงได้เอาชนะอิทธิพลของอดีตผู้นำอย่างนายพลลอน นอลได้ ประเทศเขมรก็เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญอีกครั้ง เพราะการปกครองของเขมรแดงและนโยบายที่เขมรแดงเรียกว่าการกำจัดอิทธิพลเก่าและความแตกต่างทางชนชั้นนั้น ได้กลายเป็นการสังหารหมู่ที่เหี้ยมโหดที่สุดไปแทน
โดยมีการตามจับและสังหารกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลเดิมของนายพลลอน นอล รวมถึงนักวิชาการ พระภิกษุและปัญญาชน เชื่อกันว่าแม้แต่คนที่ใส่แว่นก็ถูกตั้งข้อสงสัยว่าคนเหล่านี้อาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคงทางการปกครองของรัฐบาลเขมรแดง จึงมีการจับเข้าไปในคุก เช่น คุกตวลสเลงหรือ S21 ที่อยู่ในพนมเปญ จากนั้นเมื่อสอบสวนเสร็จก็จะส่งคนเหล่านั้นออกมายังทุ่งสังหารเจิงเอก ที่จะกลายเป็นสถานที่สุดท้ายหรือก็คือลานประหารของคนเหล่านั้นนั่นเอง
palanla.com
5. THINGVELLIR, Iceland

มาจากภาษาไอซ์แลนด์ Ping แปลว่า สภา vellir แปลว่า ทุ่งหญ้า ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามแผนที่ในประเทศไอซ์แลนด์ อยู่ใกล้กับคามสมุทรเรกยาเนส และภูเขาไฟเฮนกิลล์
ที่นี่ถือว่าเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไอซ์แลนด์ ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1930 เพื่อระลึกถึงว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่ตั้งของรัฐสภาแห่งแรก เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของไอซ์แลนด์ และพื้นที่รอบ ๆ ทั้งในส่วนของทะเทสาบและธรรมชาติในบริเวณรอบ ๆ ก็ถูกขึ้นทะเบียนรวมอยู่ในอุทยานแห่งชาติด้วย และยังถูกขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2004
ซิงเควลลิร์ แห่งนี้เป็นดังจุดกำเนิดทางด้านประวัติศาสตร์และทางด้านธรณีวิทยา เพราะเป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลกเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร และเป็นจุดเชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจะได้เห็นถึงความหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ได้รังสรรค์ความงดงามตามธรรมชาติให้มนุษย์อย่างเราๆ ได้สัมผัสกับความพิสุทธิ์ของธรรมชาติอันรื่นรมย์
ไม่ไกลกันนักจะมีแม่น้ำ "Drekkingarhylur" แปลว่า "บ่อจมน้ำ" อันเป็นที่สำหรับประหารนักโทษหญิงด้วยวิธีการถ่วงน้ำ (นักโทษชายจะประหารด้วยการแขวนคอ หรือตัดคอ) ซึ่งการประหารด้วยวิธีนี้เพิ่งยกเลิกไปในปีค.ศ. 1838
sites.google.com
6. Bukhara, Uzbekistan
Sun_Shine / Shutterstock.com
ชื่อเมืองบูคาราเชื่อว่าอาจจะมาจากภาษาเปอร์เซีย โบราณว่าบูคารัค (Bukharak) ซึ่งแปลว่าสถานที่แห่งความสุขความโชคดี บางตำราบอกว่ามาจากภาษาสันสกฤตว่าวิหารา (Vihara) ซึ่งก็คือวิหารในภาษาไทยนั่นเอง จากความเชื่อที่ว่าดินแดนแถบนี้เคยเป็นเมืองที่ประชาชนนับถือพุทธศาสนามาก่อนที่อิสลามจะเข้ามามีอิทธิพลในคริสต์ศตวรรษที่ 8
บูคารา (Bukhara) เป็นเมืองโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญทางการค้าบนเส้นทางสายแพรไหม เป็นจุดแวะพักของกองคาราวาน เป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลามในเอเชียกลาง เป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ บูคาร่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ยังมีลมหายใจ
ผู้คนที่นี่ยังมีวิถีชีวิตไม่แตกต่างจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน บรรยากาศในเขตเมืองเก่า ให้ความรู้สึกย้อนยุคเหมือนท่ามกลางขบวนคาราวาน ทั้งสภาพบ้านเรือน ร้านค้า การแต่งกายของผู้คน ราวกับว่านาฬิกาได้หยุดเดินเมื่อห้าร้อยปีก่อน ณ นครแห่งนี้
ความที่เป็นเมืองแห่งการค้า การประหารอาชญากรจึงต้องทำในที่สาธารณะเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยการนำนักโทษขึ้นไปยัง "Tower of Death" ขึ้นบันไดความสูง 105 ขั้น แล้วผลักให้ตกสู่ฝูงชนเบื้องล่าง
th-th.facebook.com
7. SUZUGAMORI EXECUTION GROUNDS, Japan
By User
nething - ja:ファイル:鈴ヶ森刑場.JPG, CC BY 3.0
ซูสุงาโมริเคโจอาโตะ ลานประหารขนาดใหญ่ในสมัยเอโดะ ถึงสมัยเมจิที่ 3 รวมๆ แล้วที่นี่ถูกใช้งานเป็นลานประหารถึง 220 ปี คร่าชีวิตไปกว่า 100,000 คน มันถูกสร้างให้ห่างออกมาจากตัวเมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด "มลภาวะทางวิญญาณ" ขึ้นในเมือง วิธีการประหารชีวิตในยุคนั้นจะทำโดยจับนักโทษมัดมือเท้าแล้วห้อยหัว นำไปถ่วงน้ำให้ขาดใจตาย
http://travel.trueid.net
เปิดตำนาน 8 ลานประหาร สุดสยอง
แดนประหาร ที่ที่หลายคนรู้สึกว่าน่ากลัว และเป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่จากประวัติศาสตร์โลกแล้ว ครั้งหนึ่งเราเคยมีสถานที่ที่เรียกว่า "ลานประหาร" นำเสนอความตายกันให้เห็นๆ ตรงหน้า ไม่ว่าจะเพื่อลงโทษให้สาสม เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือเพื่อสร้างความหวาดกลัวก็ตาม และต่อไปนี้คือ ลานประหารที่มีชื่อเสียงจากรอบโลก ที่จะทำให้คุณต้องรู้สึกขนลุกเพียงแค่เดินเฉียดใกล้เท่านั้น
1. Place de la Concorde, Paris
จัตุรัสคองคอร์ด หรือ ปลัส เดอ ลา กงกอร์ด (Place de la Concorde)
เป็นสถานที่แห่งความทรงจำทางประวัติศาสตร์การนองเลือดครั้งใหญ่ในกรุงปารีส!! เป็นสัญลักษณ์ของสงครามกลางเมืองและการปฏิวัติการปกครองของฝรั่งเศส รวมทั้งเป็นจุดจบของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พร้อมกับพระนางมารีอังตัวเนต ด้วยเครื่องประหารกิโยติน
จัตุรัสคองคอร์ดถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 โดยสถาปนิกชื่อ Jacques Ange Gabriel และสร้างเสร็จสิ้นในปี ค.ศ.1755 เพื่อประดิษฐานพระบรมรูปทรงม้าแต่ถูกทำลายโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 พร้อมกับการนำเครื่องประหารชีวิตกิโยติน (Guillotine) มาตั้งแทน
การปฏิวัตินำมาซึ่งการนองเลือดที่พรากชีวิตผู้คนถึง 1,119 ชีวิตซึ่งรวมถึงตัวพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และ พระนางมารีอังตัวเนต เพราะข่าวลือเรื่องการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ด้วยการสนับสนุนจากกองกำลังระหว่างประเทศ จนถูกกล่าวหาว่าได้ทรงกระทำการในสิ่งที่เป็นการทรยศต่อประเทศ(Haute Trahison) โดย
Maximilien de Robespierre ผู้นำสภาแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้ที่สั่งประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แล้วขึ้นครองอำนาจการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จแทนใน
เวลาต่อมา โดยได้แสดงอำนาจ อํามหิต เข่นฆ่าผู้คนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามด้วยเครื่องประหารกิโยติน(Guillotine)อีกนับหมื่นชีวิต!! แต่ในเวลาต่อมา Maximilien de Robespierre ก็ถูกมวลมหาประชาชนจับประหารด้วยเครื่องกิโยติน (Guillotine) เช่นกัน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1794 จุดสิ้นสุดของยุคแห่งมิคสัญญี (Reign of Terror)
เป็นเวลากว่า 200 ปีแล้วจนถึงปัจจุบัน เป็นที่มาของชื่อ Place de la Concorde มีความหมายว่า จัตุรัสแห่งความปรองดองหรือความสมานฉันท์ ชื่อที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อลบล้างภาพการนองเลือดที่ไม่อาจลืมเลือน!!
ปลัส เดอ ลา กงกอร์ด นับเป็นสถานที่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง นอกจากเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศสแล้วปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ “เสาโอเบลิสก์” (L’Obélisque) ประติมากรรมอันล้ำค่าสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของประเทศอียิปต์และประเทศฝรั่งเศสซึ่งถูกส่งให้เป็นของขวัญแก่พระเจ้าชาร์ลที่ 10 ในปีค.ศ. 1829
โดยความพิเศษของเสาโอเบลิสก์ (L’Obélisque) คือการทำมาจากหินแกรนิตทรงเหลี่ยม เล่าเรื่องราวสมัยฟาร์โรห์รามเสสที่ 2 และสมัยรามเสสที่ 3 ด้วยตัวภาษาอียิปต์โบราณที่มีอายุกว่า 3,000 ปี!!!! เสาโอเบลิสก์นี้มีน้ำหนัก 227 ตัน สูง 22.83 เมตร บริเวณโคนเสามีลายเส้นเขียนภาพฉาบด้วยสีทอง ส่วนยอดของเสาหินได้นำแผ่นทองมาปิดทับให้เกิดความวิจิตรงดงามมากขึ้น
อีกสิ่งที่น่าใจคือ ประติมากรรมน้ำพุ Fontaine de Jacques Hirtoff ที่พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิป โปรดให้สถาปนิก Jacques Hittoff สร้างน้ำพุ 2 แห่ง บริเวณกลางลานจัตุรัสคองคอร์ด (Place de la Concorde) แล้วนำเสาโอเบลิสก์ (L’Obélisque) มาตั้งตรงกลางระหว่างน้ำพุเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1836
talontiew.com
2. Tower of London, UK
Tower Of London
เป็นพระราชวังหลวงและป้อมปราการตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเทมส์ในกรุงลอนดอนในอังกฤษ เป็นพระราชวังที่เดิมสร้างโดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1078 เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ พระราชวังเป็นรู้จักกันในนามว่า “หอคอยแห่งลอนดอน” หรือ “หอ” ในประวัติศาสตร์ ตัวปราสาทตั้งอยู่ภายในโบโรแห่งทาวเวอร์แฮมเล็ทส์และแยกจากด้านตะวันออกของนครหลวงลอนดอน (City of London) ด้วยลานโล่งที่เรียกว่าเนินหอคอยแห่งลอนดอน หรือ “ทาวเวอร์ฮิล” (Tower Hill)
ที่นี่นับว่าเป็นทั้งศูนย์กลางของการเมืองการปกครองเเละการบัญชาการทางด้านทหารของอังกฤษในยุคกลางที่สำคัญอย่างมาก เเถมยังเป็นที่ขุมขังนักโทษที่มีชื่อเสียงอย่างมากอีกด้วยเช่นเดียวกัน
ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นที่เก็บรักษาสมบัติของชาติที่มีความสำคัญอย่างบรรดามงกุฎต่างๆ ที่เเสนจะตระการตาเเละหาค่าไม่ได้เลยทีเดียว ทั้ง มงกุฎ Imperial State Crown หรืออย่างมงกุฎแพลทตินัมของพระมารดาพระราชินีที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว โดยมงกุฎนี้มีการตกแต่งด้วยเพชรอย่าง Indian Koh-i-Noor ที่มีจำนวนถึง 105 กะรัต ซึ่งมีความสวยงามอย่างมาก
ตำนานชิงอำนาจ Tower of Londonเรื่องราวมาจาก การชิงรักหักสวาทกันตั้งแต่ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่มีพระมเหสีถึง 6 พระองค์ (ทรงประกาศพระมเหสีทีละพระองค์) เรื่อยมาหลายราชวงศ์ มีทั้งขุนนางส่งเสริม สมคบกับพระราชินีบ้าง อัศวินบ้าง เพื่อสร้างฐานอำนาจ เมื่อพระองค์หนึ่งได้ครองราชย์ ก็จะสำเร็จโทษอีกฝ่าย หรือจับขังในวังลืม
happylongway.com
3. Auschwitz Birkenau, Poland
ค่ายกักกันเอาชวิทซ์ หรือ ค่ายกักกันเอาชวิทซ์-เบียร์เคเนา (อังกฤษ: Auschwitz concentration camp หรือ Auschwitz-Birkenau)
เป็นค่ายกักกันและค่ายมรณะที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาค่ายกักกันของนาซีของนาซีเยอรมนีที่ทำการระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง
ชื่อของค่ายกักกันมาจากชื่อของเมือง “ออชเฟียนชิม” (Oświęcim) หลังจากการบุกครองโปแลนด์ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 ออชเฟียนชิมของโปแลนด์ก็ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของนาซีเยอรมนีและเปลี่ยนชื่อเป็นเอาชวิทซ์ (Auschwitz)
ซึ่งเป็นชื่อในภาษาเยอรมัน ส่วนเบียร์เคเนา (Birkenau) เป็นชื่อในภาษาเยอรมันที่แผลงมาจาก “บเจชิงคา” (Brzezinka, ต้นเบิร์ช) ซึ่งเป็นชื่อหมู่บ้านเล็ก ๆ ไม่ไกลนักที่ต่อมาถูกเยอรมนีทำลายเกือบทั้งหมด
ผู้บังคับบัญชาการของค่ายรูดอล์ฟ เฮิสส์ (Rudolf Höss) ให้การในการพิจารณาคดีเนือร์นแบร์ก (Nuremberg Trials) ว่าประชากรถึงราว 3 ล้านคนเสียชีวิตที่ค่ายกักกันเอาชวิทซ์ แต่พิพิธภัณฑ์แห่งรัฐเอาชวิทซ์-เบียร์เคเนาปรับตัวเลขเป็น 1.1 ล้านคน
ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ถูกสังหารเป็นชาวยิวจากเกือบทุกประเทศในยุโรป ผู้ประสบชะตากรรมเกือบทั้งหมดถูกสังหารในห้องรมก๊าซโดยใช้ก๊าซ Zyklon B การเสียชีวิตอื่นมาจากความอดอยาก การบังคับใช้แรงงาน การขาดการดูแลทางสุขภาพ การถูกสังหารตัวต่อตัว และ “การทดลองทางแพทย์”
e-shann.com
4. Choeung Ek (Killing Fields), Cambodia
Khmer Rouge Killing Fields (ทุ่งสังหาร)
หรือ Choeung Ek (เจืองเอ็ก) อยู่ห่างจากกรุงพนมเปญประมาณ 17 กิโลเมตร ที่นี่เหมือนเป็นรอยแผลเป็นของกัมพูชาที่ไม่มีวันไหนจะลบไปจากประวัติศาสตร์ได้
โดยทุ่งสังหารนี้เป็นสถานที่ที่เชื่อว่ามีผู้คนเสียชีวิตมากที่สุด จากเหตุการณ์ในช่วงที่เขมรแดงปกครองประเทศกัมพูชาระหว่างปี 1975 – 1979 ประมาณการจากเศษของโครงกระดูกที่ขุดพบมากกว่า 8,000 ชิ้น รวมถึงกระดูกชิ้นเล็กๆอีกมากมาย ทำให้เชื่อได้ว่ามีผู้เสียชีวิตที่นี่ไม่ต่ำกว่า 17,000 คน
ประวัติศาสตร์กับทุ่งสังหารเจิงเอก
ย้อนรอยไปในช่วงปี 1975 หลังจากพลพตและเขมรแดงได้เอาชนะอิทธิพลของอดีตผู้นำอย่างนายพลลอน นอลได้ ประเทศเขมรก็เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญอีกครั้ง เพราะการปกครองของเขมรแดงและนโยบายที่เขมรแดงเรียกว่าการกำจัดอิทธิพลเก่าและความแตกต่างทางชนชั้นนั้น ได้กลายเป็นการสังหารหมู่ที่เหี้ยมโหดที่สุดไปแทน
โดยมีการตามจับและสังหารกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลเดิมของนายพลลอน นอล รวมถึงนักวิชาการ พระภิกษุและปัญญาชน เชื่อกันว่าแม้แต่คนที่ใส่แว่นก็ถูกตั้งข้อสงสัยว่าคนเหล่านี้อาจจะเป็นภัยต่อความมั่นคงทางการปกครองของรัฐบาลเขมรแดง จึงมีการจับเข้าไปในคุก เช่น คุกตวลสเลงหรือ S21 ที่อยู่ในพนมเปญ จากนั้นเมื่อสอบสวนเสร็จก็จะส่งคนเหล่านั้นออกมายังทุ่งสังหารเจิงเอก ที่จะกลายเป็นสถานที่สุดท้ายหรือก็คือลานประหารของคนเหล่านั้นนั่นเอง
palanla.com
5. THINGVELLIR, Iceland
มาจากภาษาไอซ์แลนด์ Ping แปลว่า สภา vellir แปลว่า ทุ่งหญ้า ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามแผนที่ในประเทศไอซ์แลนด์ อยู่ใกล้กับคามสมุทรเรกยาเนส และภูเขาไฟเฮนกิลล์
ที่นี่ถือว่าเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของไอซ์แลนด์ ถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1930 เพื่อระลึกถึงว่าบริเวณดังกล่าวเคยเป็นที่ตั้งของรัฐสภาแห่งแรก เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ของไอซ์แลนด์ และพื้นที่รอบ ๆ ทั้งในส่วนของทะเทสาบและธรรมชาติในบริเวณรอบ ๆ ก็ถูกขึ้นทะเบียนรวมอยู่ในอุทยานแห่งชาติด้วย และยังถูกขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2004
ซิงเควลลิร์ แห่งนี้เป็นดังจุดกำเนิดทางด้านประวัติศาสตร์และทางด้านธรณีวิทยา เพราะเป็นจุดที่มีรอยเลื่อนของโลกเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร และเป็นจุดเชื่อมระหว่างทวีปอเมริกาและทวีปยุโรป นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวจะได้เห็นถึงความหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ได้รังสรรค์ความงดงามตามธรรมชาติให้มนุษย์อย่างเราๆ ได้สัมผัสกับความพิสุทธิ์ของธรรมชาติอันรื่นรมย์
ไม่ไกลกันนักจะมีแม่น้ำ "Drekkingarhylur" แปลว่า "บ่อจมน้ำ" อันเป็นที่สำหรับประหารนักโทษหญิงด้วยวิธีการถ่วงน้ำ (นักโทษชายจะประหารด้วยการแขวนคอ หรือตัดคอ) ซึ่งการประหารด้วยวิธีนี้เพิ่งยกเลิกไปในปีค.ศ. 1838
sites.google.com
6. Bukhara, Uzbekistan
Sun_Shine / Shutterstock.com
ชื่อเมืองบูคาราเชื่อว่าอาจจะมาจากภาษาเปอร์เซีย โบราณว่าบูคารัค (Bukharak) ซึ่งแปลว่าสถานที่แห่งความสุขความโชคดี บางตำราบอกว่ามาจากภาษาสันสกฤตว่าวิหารา (Vihara) ซึ่งก็คือวิหารในภาษาไทยนั่นเอง จากความเชื่อที่ว่าดินแดนแถบนี้เคยเป็นเมืองที่ประชาชนนับถือพุทธศาสนามาก่อนที่อิสลามจะเข้ามามีอิทธิพลในคริสต์ศตวรรษที่ 8
บูคารา (Bukhara) เป็นเมืองโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญทางการค้าบนเส้นทางสายแพรไหม เป็นจุดแวะพักของกองคาราวาน เป็นศูนย์กลางของศาสนาอิสลามในเอเชียกลาง เป็นเมืองมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ บูคาร่าเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ยังมีลมหายใจ
ผู้คนที่นี่ยังมีวิถีชีวิตไม่แตกต่างจากเมื่อหลายร้อยปีก่อน บรรยากาศในเขตเมืองเก่า ให้ความรู้สึกย้อนยุคเหมือนท่ามกลางขบวนคาราวาน ทั้งสภาพบ้านเรือน ร้านค้า การแต่งกายของผู้คน ราวกับว่านาฬิกาได้หยุดเดินเมื่อห้าร้อยปีก่อน ณ นครแห่งนี้
ความที่เป็นเมืองแห่งการค้า การประหารอาชญากรจึงต้องทำในที่สาธารณะเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยการนำนักโทษขึ้นไปยัง "Tower of Death" ขึ้นบันไดความสูง 105 ขั้น แล้วผลักให้ตกสู่ฝูงชนเบื้องล่าง
th-th.facebook.com
7. SUZUGAMORI EXECUTION GROUNDS, Japan
By User
ซูสุงาโมริเคโจอาโตะ ลานประหารขนาดใหญ่ในสมัยเอโดะ ถึงสมัยเมจิที่ 3 รวมๆ แล้วที่นี่ถูกใช้งานเป็นลานประหารถึง 220 ปี คร่าชีวิตไปกว่า 100,000 คน มันถูกสร้างให้ห่างออกมาจากตัวเมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด "มลภาวะทางวิญญาณ" ขึ้นในเมือง วิธีการประหารชีวิตในยุคนั้นจะทำโดยจับนักโทษมัดมือเท้าแล้วห้อยหัว นำไปถ่วงน้ำให้ขาดใจตาย
http://travel.trueid.net