คุณคิดว่าคนเราควรเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ความถูกต้องมากกว่ากัน

...สวัสดีเพื่อนชาวพันทิปทุกคน...

ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเขียนกระทู้อีกครั้งกับเรื่องราวแบบนี้ เรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แต่เชื่อซิว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรอก...เรื่องของเรามันเริ่มต้นขึ้นสมัยที่เราเรียนมหาลัย คือเรากับเพื่อนคนนึง (ซึ่งอันที่จริงก็เป็นเพื่อนตั้งแต่ประถมอะนะ) ถ้าพูดกันตรงๆก็ชอบพอกันทั้งสองฝ่ายนั้นล่ะ อาจจะด้วยเราสนิทกันตั้งแต่เด็ก แต่ก็ห่างกันตอนแยกย้ายไปเรียนมัธยม เราไม่เจอไม่ติดต่อกันเลยเป็นสิบปี คือช่วงเวลานั้นการสื่อสารยังไม่กว้างเหมือนปัจจุบัน พูดได้ว่าเป็นช่วงของการเริ่มรู้จักมือถือ คอมพิวเตอร์เลยก็ว่าได้ จนวันนึงเรากลับมาเจอกันโดยบังเอิญ ก็ทักทายกันประสาเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันนาน แต่ก็มีการแลกเบอร์แหละ ตอนแรกก็ไม่อะไรหรอก แล้วก็มีโทรคุยกันบ้าง นานๆจะเจอกันสักครั้ง ตอนนั้นต่างคนต่างไม่มีใครอะนะ ก็เลยค่อนข้างสนิทกว่าปกติ เริ่มรู้สึกดีๆแต่ก็ยังไม่ปักใจอะไร อาจจะด้วยเราเป็นคนค่อนข้างวางตัวและถือตัวนิดหน่อยก็ได้ มันเป็นแบบนี้มาอยู่ประมาณ 3 ปีกว่า จนเราเรียนจบ ตอนนั้นนะใจเราคิดไว้แล้วล่ะว่าต้องคนนี้แน่ๆเลย 55555 ก็เลยเริ่มปรับตัวนิดหน่อย เขาเองก็รับรู้ได้อยู่เหมือนกัน แต่ความสัมพันธ์มันเป็นแบบต่างคนต่างก็ไม่มีใครแสดงออก เราคิดแบบนั้นอะนะ ส่วนตัวเราเองเราคิดว่าเรื่องแบบนี้ผู้ชายต้องชัดเจนก่อนเราถึงจะกล้าสานต่อ แล้วก็เป็นแบบนี้อยู่พักนึง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้เลยทั้งครอบครัวเราแม้กระทั่งเพื่อนที่เราสนิทที่สุดเราก็ไม่เคยพูด จนวันนึงที่เราเรียนจบจะต้องไปรับปริญญาที่ต่างจังหวัด เราก็บอกเขามาตลอดอะนะ เขาเองก็รับปากว่าจะไปร่วมงานด้วย แต่มันพีคตรงคืนก่อนวันรับจริงนี้แระ เราอะรอว่าเขาจะมาถึงเมื่อไหร่ ก็เลยโทรไปแต่กลับได้รับคำตอบว่าพร้อมคำถามว่า "มาแล้วพรุ่งนี้จะรับเสร็จกี่โมง พอดีเราจะต้องพาเพื่อนไปเที่ยวเขื่อนต่อ" เราก็แอะ...เพื่อนใครหว่า เลยถามไป เขาก็บอกนั้นแระ คือเพื่อนเขาอะผู้หญิง เราก็เลยถึงบางอ้อทันที ก็เลยได้แต่บอกว่า..งั้นไม่ต้องมาหรอกเพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จเรื่องตอนไหน เกรงใจพาเพื่อนไปเที่ยวเถอะ ในใจตอนนั้น เรียกได้ว่าใจหายไปเลย หายไปในอากาศ (เพลงก็มา) หลังจากนั้นมาก็คุยกันบ้างแต่ไม่บ่อย เราก็ไม่เคยถามถึงเรื่องเพื่อนเขาเลย เป็นแบบนี้มาอีกพักใหญ่ๆ จนวันนึง..วันที่เราเหมือนคนอกหักของแท้เลย เขาโทรมาบอกว่าเดือนสิงหา (ซึ่งก็อีกประมาณ 3 เดือน) เขาจะแต่งงานนะไม่รู้ว่าอยากไปรึป่าวแต่เขาบอกเราเป็นคนแรกเลยในบรรดาเพื่อนทั้งหมด แต่ถ้าเราไม่อยากไปก็ไม่เป็นไรนะเขาไม่โกรธ ยังไงก็ยังเหมือนเดิม เราก็สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วก็บอกไปว่า..เราคงไม่ได้หรอกมันไกล ขอโทษด้วยนะ แล้วเราก็วางสายไปเลย ผ่านไปวันนึงได้รับข้อความจากเขาว่า ผมเข้าใจคุณนะผมรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ผมเลือกทางเดินของผมแล้วและหวังว่าคุณเองก็จะไม่หายไปจากผม นี้เป็นข้อความสุดท้ายที่เราพูดกัน มันเป็นความรู้สึกที่บอกใครไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ต้องเก็บไว้คนเดียว จมความทุกข์นี้อยู่คนเดียว เราไม่ติดต่อกันอีกเลยนับจากนั้น จนกระทั่งหลังจากเขาแต่งงานมา 3-4 ปี อยู่ๆเขาก็โทรมา ประมาณว่ากลับมาบ้านไม่เจอนานอยากเจออยากคุยด้วย เราก็ว่าต่างคนต่างโตเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ก็คงจะไม่มีอะไรหรอก ก็เลยเจอกันไปกินข้าวบ้างเป็นบางครั้ง ทุกครั้งที่เจอกันเราก็ไม่เคยถามถึงภรรยาเขา เขาเองก็ไม่เคยพูดให้ฟัง แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปเขาโตเป็นผู้ใหญ่มากหลายอย่างก็เปลี่ยนไป แอบมีกิ๊กมีเด็กไว้เลี้ยงดูตามสไตล์คนที่พอจะมีกินอะนะ เราเองก็รู้ แต่เราเฉยๆ ช่วงนี้แหละที่เป็นช่วงไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน อาจจะด้วยเพราะเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วการใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปตามสังคมบ้าง เป็นแบบนี้มาร่วม 2 ปีกว่า จนเราแน่ใจแล้วล่ะว่าเราปักใจกับคนๆนี้จริงๆ ในตอนนั้นเราไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่สนแม้กระทั่งว่าเขาจะมีใครอยู่ เขาแต่งงานแล้ว สนแค่ว่านาทีนี้ของฉัน วันนี้เป็นของฉัน เราไม่พยายามรับรู้อะไรเลย จนสนิทมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเที่ยวกลางคืนด้วยกัน เริ่มไปไหนไกลๆด้วยกัน จนวันนึงเขาถามเราว่า "พร้อมรึยัง จะเริ่มต้นได้รึยัง" วินาทีนั้นเรารู้คำตอบตัวเองในทันทีเลยว่า "พร้อมมาตั้งนานแล้วทำไมพึ่งถาม" (เรารู้ว่ามันไม่ดีแต่เราจะให้เป็นแบบนั้น แบบที่เราคิดว่าเรารับได้เรามีความสุขกับมัน) นับจากคำๆนั้นมา เราก็สนิทมากขึ้นไปอีก เริ่มไปงานด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน เจอคนรู้จักเขามากขึ้น เจอญาติเขาบ้างบางคน แต่ก็ยังคงสถานะคำว่าเพื่อน เราเองก็เริ่มพูดเรื่องนี้กับเพื่อนเราบาง ค่อยๆพูดไปเรื่อยๆ เพื่อนก็รับได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ไม่มีใครขัดเพียงแต่เตือนๆไว้ ทุกวันนี้เราไม่ได้มีสถานะเป็นเพื่อนแต่มากกว่านั้นไปแล้ว ถามว่าเราเป็นผู้หญิงเรารู้ว่าผู้ชายของเราเขามีครอบครัวอยู่แล้ว(ไม่มีลูก)รู้มาตลอด แต่เราก็ยังทำ ทำเพราะอะไรตัวเราเองก็ยังตอบไม่ได้ เรารู้เพียงว่าเราเป็นคนไม่ดี เป็นคนที่น่ารังเกียจมากคนนึง เป็นผู้หญิงในแบบนี้ที่ตัวเราเองก็ไม่ชอบ ถามว่าทำเพราะรักเหรอหรือว่าทำเพราะคิดว่าตัวเองเคยมาก่อน  หรือทำเพราะโลกปัจจุบันเขาก็ทำกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งนึงที่เราคิดไว้ตลอดคือ อย่าผูกมัด ต่างคนต่างเป็นอิสระต่อกัน อย่าก้าวก่ายในชีวิตของคนอีกคน ถ้าไม่ไหวจริงๆก็แค่เดินออกมา เรามีเพื่อนที่คอยซัพพอร์ตเราอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นนับจากนี้ไปอะไรมันจะเกิดก็ปล่อยมันไป 
"เมื่อเราเลือกแล้ว ก็จงทำให้เต็มที่ เดินหน้าให้เต็มกำลัง ถ้าพลาดพลั้งก็แค่ทำใจให้ได้แค่นั้นเอง" 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่