จากอดีตเด็กเรียนคนหนึ่งที่เคยขยัน ตั้งใจเรียน ไม่ยุ่งเกี่ยวอบายมุข หลังจากจบการศึกษา (อายุ 23) และมุ่งหน้าสู่เมืองกรุงเพื่อหางานทำ จากสิ่งที่อยากรู้อยากลอง นำไปสู่บทเรียนราคาแพง ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าผมเป็นเกย์ครับ แต่ไม่แสดงออก ครอบครัวไม่มีใครรู้ รวมถึงเพื่อนหลายๆคนด้วย ทุกอย่างมันเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่กรุงเทพ ในสังคมอันกว้างใหญ่ หลายสิ่งหลายอย่างทำให้เกิดความอยากรู้อยากลอง จนกระทั่งครั้งหนึ่งได้ไปมีอะไรกับคนที่ไม่เคยรู้จักผ่านแอพๆหนึ่ง โดยที่ไม่ทันได้คิดถึงผลที่ตามมา ซึ่งยอมรับเลยว่าไม่ได้ป้องกัน (เป็นการกระทำที่ผิด) มันเป็นสิ่งที่ไม่ทันได้คาดคิดเพราะบางครั้งอารมณ์มันพาไปจนไม่คิดหน้าคิดหลัง หลังจากมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อๆไป จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งหลังจากได้มีอะไรกับผู้ชายคนหนึ่งเสร็จ เค้าก็ได้เอ๋ยขึ้นมาว่าให้ไปตรวจเลือดกันมั้ย ซึ่งทำให้ผมผุดคิดขึ้นมาและมีความกังวลมากขึ้นเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยนึกถึงโรคหรืออะไรเลย ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้าที่จะมีอะไรกับชายคนนี้ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอาการป่วยบ่อย ปวดเมื่อยตามข้อ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนที่แข็งแรงดีไม่เคยเจ็บป่วย หลังจากมีอะไรกันเสร็จก็รู้สึกกังวลใจมาก เริ่มหาข้อมูลถึงอาการของตัวเอง ซึ่งเป็นอาการคล้ายๆกับ HIV ผมจึงตัดสินใจที่จะไปตรวจเลือดตามคำแนะนำของชายผู้นั้น ซึ่งต้องบอกว่ามันทำใจยากมากกว่าจะตัดสินใจได้เพราะเราไม่รู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก่อนที่ผลเลือดจะออก นอนไม่หลับทั้งคืน กังวลไปหมด เครียด กลุ้มใจไปทุกอย่าง จนกระทั่งได้รับผลเลือดออกมาปรากฎว่า "มีเชื้อ" หัวใจแทบสลาย กลับมาถึงห้องนอนร้องไห้แทบขาดใจ ทำอะไรไม่ถูก อ๋ออีกอย่างคือหลังจากไปตรวจมาผมติดเชื้อคนเดียว ชายผู้นั้นไม่ได้ติดด้วย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าได้รับเชื้อจากใครมา พอได้รู้ผลเลือดผมก็เริ่มรับการรักษาในทันที โดยการรับยาต้านไวรัส หลังจากรู้ว่าตัวเองติดเชื้อก็เริ่มมีอาการซึมเศร้า เครียด กังวลใจทุกวัน แต่ก็พยายามทำใจยอมรับมัน เพราะไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะบอกใครได้แม้กระทั่งครอบครัวของตัวเองก็ไม่กล้าบอก พยายามดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตตามปกติ แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ปกติอีกต่อไปโดยเฉพาะจิตใจ ผมใช้ชีวิตอยู่กับ HIV มากว่า 2 ปีแล้ว โดยไม่สามารถบอกใครได้ ไม่สามารถรักใครได้อีกเพราะกลัวว่าจะนำเชื้อโรคไปติดคนอื่น ใช้ชีวิตโดดเดี่ยว แต่ก็ไม่เชิงโดดเดี่ยวถึงขั้นไม่มีเพื่อนนะ ความฝันทุกอย่างที่ตั้งไว้มันสลายไปหมดเหลือเพียงแต่การพยายามดูแลตัวเองและอยู่ให้ได้ หลายครั้งหลายหนที่ทำให้อยากคิดสั้น แต่ก็กลัวเจ็บ กลัวความทรมาน กลัวจะไม่มีใครดูแลพ่อแม่ ใช้ชีวิตเหมือนตายทั้งเป็น เหมือนการชดใช้กรรม
ปัจจุบันก็ยังใช้ชีวิตปกติ ทำตัวปกติ ดูแลตัวเอง ทานยา พบแพทย์ ทำงาน เหมือนคนปกติ แต่ร่างกายก็จะไม่ได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน มีเจ็บป่วยบ้าง แต่ก็ต้องทน พยายามอยู่กับมัน อยากจะบอกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้เลย
อุทาหรณ์นี้อาจจะช่วยเตือนใจใครหลายๆคนที่กำลังหลงผิด เพราะเมื่อเราทำผิดพลาดไปแล้ว มันไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีก ความรู้สึกมันเจ็บปวดจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปหมด แท้ท้อ เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ แต่ก็ทำใจอยู่กับปัจจุบัน และพยายามอยู่ให้ได้นานที่สุด เพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของเรายังไม่จบ
ถามว่ากลัวตายมั้ย ไม่กลัวครับ แต่แค่กลัวความเจ็บปวด ทรมาน กลัวคนอื่นรู้ จนต้องปิดกั้นตัวเองในบางครั้ง
HIV จากใจคนเลือดบวก
ปัจจุบันก็ยังใช้ชีวิตปกติ ทำตัวปกติ ดูแลตัวเอง ทานยา พบแพทย์ ทำงาน เหมือนคนปกติ แต่ร่างกายก็จะไม่ได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน มีเจ็บป่วยบ้าง แต่ก็ต้องทน พยายามอยู่กับมัน อยากจะบอกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบายออกมาได้เลย
อุทาหรณ์นี้อาจจะช่วยเตือนใจใครหลายๆคนที่กำลังหลงผิด เพราะเมื่อเราทำผิดพลาดไปแล้ว มันไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีก ความรู้สึกมันเจ็บปวดจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนไปหมด แท้ท้อ เหนื่อยกาย เหนื่อยใจ แต่ก็ทำใจอยู่กับปัจจุบัน และพยายามอยู่ให้ได้นานที่สุด เพราะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หน้าที่ของเรายังไม่จบ
ถามว่ากลัวตายมั้ย ไม่กลัวครับ แต่แค่กลัวความเจ็บปวด ทรมาน กลัวคนอื่นรู้ จนต้องปิดกั้นตัวเองในบางครั้ง