ความหมายอานาปานสติ
อานาปานสติมาจากคำ ๓ คำ ได้แก่
"อานะ" คือ ลมหายใจเข้า ท่านใช้คำว่า "อัสสาสะ"
"อปานะ" คือ ลมหายใจออก ท่านใช้คำว่า ปัสสาสะ
"สติ" คือ ความระลึก
อานาปานสติ หมายถึง การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก
ทำไมไม่บอกว่าเจริญสติปัฏฐาน แต่มาบอกว่าเจริญอานาปานสติแทน
เพราะว่า การเจริญอานาปานสติเป็นตัวรวม แต่การเจริญสติปัฏฐานย่อย เช่น หนึ่งมือแต่มี ๕ นิ้ว เป็นต้น
ถ้าปัญญาบวกปัญญาจะเข้าสู่ "สัมมา" ถ้าปัญญาบวกตัณหากิเลส จะเข้าสู่ "มิจฉา"
แล้วเราเจริญอานาปานสติไปเพื่อทำไม? เราเจริญอานาปานสติเพื่อเตรียมพร้อมจะไปแต่ละที่ๆ เหมือนกับเรามีมือไว้ทำไม มีนิ้วไว้ทำไม เพื่อไปทำงานต่างๆ ใช่มั้ย ก็เหมือนกัน ถ้าคุณแน่จริงลองตัดนิ้วมือออกสิ ก็ไม่ได้
แล้วเราไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช้อานาปานสติบ้างมีมั้ย? ก็ไม่มีแน่นอน
ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เน้นให้เจริญกสิณ เช่น เตโชกสิณ หรืออย่างอื่น แต่ทำไมมาเน้นอานาปานสติ
เพราะว่าอานาปานสติเป็นพื้นฐานเบื้องต้น เรามีมือจะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเราไม่มีมือเราจะทำอะไรได้มั้ย? (ตอบไม่ได้) ฉะนั้น เราต้องไปฝึกให้มีมือของเราก่อน
การนั่งกำหนดลมหายใจก็เปรียบเสมือนมือ แต่ละตัวเป็นพื้นฐานของแต่ละตัว
ถ้าเราจะฝึกเตโชกสิณ (กสิณไฟ) แล้วจะขาดอานาปานสติได้ไหม? ก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมฐาน ๔๐ ข้อวิธี ได้แก่ กสิน ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ อาหาเร ปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๔ อรูป ๔ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้อานาปานสติทั้งนั้น ขาดหลักอานาปานสติไม่ได้
ลมหายใจอยู่ในธรรมมั้ย ลมหายใจก็อยู่ในธรรม
แล้วหลวงพ่อรูปหนึ่งท่านเก่งปริยัติธรรมมาก ท่านเป็นนักวิชาการที่คนทั่วโลกยอมรับ แต่ท่านไม่ใช่พระนักปฏิบัติ ท่านเขียนข้อมูลการปฏิบัติอานาปานสติออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ถูกต้อง ก็ในเมื่อท่านไม่ใช่พระนักปฏิบัติ แต่ท่านเขียนตำราเกี่ยวกับการปฏิบัติอานาปานสติจะได้เหรอ จะถูกต้องเหรอ?
ท่านสามารถเขียนได้ถูกต้อง เพราะท่านมีองค์ความรู้ทางสายปริยัติธรรมเพื่อนำสู่การปฏิบัติ
การที่พระภิกษุที่ศึกษาพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า จะมีอยู่ด้วยกัน ๒ สายคือ สายปริยัติธรรม กับสายปฏิบัติธรรม
๑. สายปริยัติธรรม คือ ไปศึกษาเรียนรู้จากข้อมูลครูบาอาจารย์คัมภีร์ เอกสารตำรา จนกว่าจะรู้
๒. สายปฏิบัติธรรม คือ ศึกษาการปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ คัมภีร์ เอกสาร ตำราจนกว่าจะรู้
ก็ในเมื่อท่านเน้นเป็นพระสายปริยัติธรรมแล้วท่านจะไปรู้ธรรมได้อย่างไร?
ก็เพราะว่าท่านศึกษาจากครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นตำรา ท่านก็นำสิ่งเหล่านี้ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมาเขียนเป็นเอกสารตำรา
พระไตรปิฎกก็คือพระพุทธเจ้าท่านได้ปฏิบัติแล้ว ประจักษ์แจ้งแล้ว เหล่าพุทธสาวกนำสิ่งที่ได้จากประสบการณ์เหล่านั้นมาเขียนไว้เป็นพระไตรปิฎก จึงทำให้รู้ธรรมนั้นๆ ได้
ถ้าถามว่า ได้แต่เรียนรู้แล้วจะรู้ซึ้งได้อย่างไร ก็จะตอบว่า ท่านก็ปฏิบัติเหมือนกันแต่ปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง คือ การเขียน การเทศน์ การศึกษาเล่าเรียน ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติเช่นเดียวกัน ก็ต้องใช้อินทรีย์ทางกายภาพ (รูปธรรม) เช่นเดียวกัน ส่วนพระนักปฏิบัติก็ใช้อินทรีย์ทางร่างกายเหมือนกัน แล้วมันจะแตกต่างกันตรงไหน
ฉะนั้น เน้นการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมก็สามารถรู้ธรรมได้ และเน้นการปฏิบัติ ก็สามารถรู้ธรรมได้เหมือนกัน ทั้งสองเส้นทางนี้ไม่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น เราเดิน สมองเราคิดหรือเปล่า? (มโนกรรม) ก็คิดเหมือนกัน แม้แต่ด่าคน แช่งคน สมองเราก็คิดเช่นเดียวกัน นี่แหละไม่ใช่การปฏิบัติตรงไหน
ท่านเขียนหนังสือ เอกสารตำรา ก็เป็นการปฏิบัติ
ฉะนั้น เราอย่าไปติดรูปแบบของการปฏิบัติธรรม จะต้องมานั่งสมาธิ หลังตรง เดินจงกรม ซ้ายย่างหนอ ขวาอย่างหนอ ทุกสิ่งทุกอย่าง กิริยาอาการพฤติกรรม ก็เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น คนทั่วไปจะหลงรูปลักษณ์
แล้วทำไมเราต้องมาศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติธรรมไปด้วย ก็เพราะว่าเราต้องการ ๒ อย่าง คือ ทั้งปริยัติธรรม และปฏิบัติธรรม เราก็จะได้ทั้ง ๒ อย่าง ถ้าเราได้ทั้งสองอย่างเวลาอธิบายอะไรจะลึกซึ้งกว่าคนได้สายเดียว ๑ เท่าตัว เพราะว่าเขาได้เรียนรู้แล้วได้ปฏิบัติด้วย
ยกตัวอย่างของการปฏิบัติของพระที่เน้นการศึกษาเล่าเรียน เช่น ท่านอ่านพระไตรปิฎก แล้วท่านก็จะมานั่งขบคิดเจริญโยนิโสมนสิการว่าสิ่งที่เล่าเรียนมา อ่านมานี่จริงมั้ย? นี่แหละท่านก็รู้ได้จากการคิดวิเคราะห์
พระหรือบุคคลที่ปฏิบัติก็จะรู้อย่างปฏิบัติ แต่ถ้าจะให้อธิบายอย่างกับพระที่ศึกษาเล่าเรียนมาก็ไม่ได้
ยกตัวอย่าง มีบางคนไปถามหลวงพ่อเกษม เขมโก ทำอะไรยังไง? ก็จะได้คำตอบว่าไปถามพระที่อยู่กุฎิข้างโน้น...
หรือไปถามหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ท่านก็จะบอกว่า "ไปทำก็รู้"
ไปถามหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ก็ได้ว่า "ทั้งหมดอยู่ที่ใจ ไปทำก็รู้"
เพราะว่าท่านไม่ถนัดทางด้านการอธิบาย
ถ้าหากว่าเราเรียนรู้ธรรมะแล้วนำมาปฏิบัติ ด้วยการเจริญอานาปานสติ เราก็จะได้ครบถ้วน เขาเรียกว่าไท่เก็ก (太極拳) หยินหยาง (阴阳)รู้หมด
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
ความหมายของ "อานาปานสติ"
อานาปานสติมาจากคำ ๓ คำ ได้แก่
"อานะ" คือ ลมหายใจเข้า ท่านใช้คำว่า "อัสสาสะ"
"อปานะ" คือ ลมหายใจออก ท่านใช้คำว่า ปัสสาสะ
"สติ" คือ ความระลึก
อานาปานสติ หมายถึง การระลึกรู้ลมหายใจเข้าออก
ทำไมไม่บอกว่าเจริญสติปัฏฐาน แต่มาบอกว่าเจริญอานาปานสติแทน
เพราะว่า การเจริญอานาปานสติเป็นตัวรวม แต่การเจริญสติปัฏฐานย่อย เช่น หนึ่งมือแต่มี ๕ นิ้ว เป็นต้น
ถ้าปัญญาบวกปัญญาจะเข้าสู่ "สัมมา" ถ้าปัญญาบวกตัณหากิเลส จะเข้าสู่ "มิจฉา"
แล้วเราเจริญอานาปานสติไปเพื่อทำไม? เราเจริญอานาปานสติเพื่อเตรียมพร้อมจะไปแต่ละที่ๆ เหมือนกับเรามีมือไว้ทำไม มีนิ้วไว้ทำไม เพื่อไปทำงานต่างๆ ใช่มั้ย ก็เหมือนกัน ถ้าคุณแน่จริงลองตัดนิ้วมือออกสิ ก็ไม่ได้
แล้วเราไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช้อานาปานสติบ้างมีมั้ย? ก็ไม่มีแน่นอน
ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เน้นให้เจริญกสิณ เช่น เตโชกสิณ หรืออย่างอื่น แต่ทำไมมาเน้นอานาปานสติ
เพราะว่าอานาปานสติเป็นพื้นฐานเบื้องต้น เรามีมือจะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเราไม่มีมือเราจะทำอะไรได้มั้ย? (ตอบไม่ได้) ฉะนั้น เราต้องไปฝึกให้มีมือของเราก่อน
การนั่งกำหนดลมหายใจก็เปรียบเสมือนมือ แต่ละตัวเป็นพื้นฐานของแต่ละตัว
ถ้าเราจะฝึกเตโชกสิณ (กสิณไฟ) แล้วจะขาดอานาปานสติได้ไหม? ก็ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมฐาน ๔๐ ข้อวิธี ได้แก่ กสิน ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปปมัญญา ๔ อาหาเร ปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัฏฐาน ๔ อรูป ๔ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้อานาปานสติทั้งนั้น ขาดหลักอานาปานสติไม่ได้
ลมหายใจอยู่ในธรรมมั้ย ลมหายใจก็อยู่ในธรรม
แล้วหลวงพ่อรูปหนึ่งท่านเก่งปริยัติธรรมมาก ท่านเป็นนักวิชาการที่คนทั่วโลกยอมรับ แต่ท่านไม่ใช่พระนักปฏิบัติ ท่านเขียนข้อมูลการปฏิบัติอานาปานสติออกมาเรื่อยๆ แต่ก็ถูกต้อง ก็ในเมื่อท่านไม่ใช่พระนักปฏิบัติ แต่ท่านเขียนตำราเกี่ยวกับการปฏิบัติอานาปานสติจะได้เหรอ จะถูกต้องเหรอ?
ท่านสามารถเขียนได้ถูกต้อง เพราะท่านมีองค์ความรู้ทางสายปริยัติธรรมเพื่อนำสู่การปฏิบัติ
การที่พระภิกษุที่ศึกษาพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า จะมีอยู่ด้วยกัน ๒ สายคือ สายปริยัติธรรม กับสายปฏิบัติธรรม
๑. สายปริยัติธรรม คือ ไปศึกษาเรียนรู้จากข้อมูลครูบาอาจารย์คัมภีร์ เอกสารตำรา จนกว่าจะรู้
๒. สายปฏิบัติธรรม คือ ศึกษาการปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ คัมภีร์ เอกสาร ตำราจนกว่าจะรู้
ก็ในเมื่อท่านเน้นเป็นพระสายปริยัติธรรมแล้วท่านจะไปรู้ธรรมได้อย่างไร?
ก็เพราะว่าท่านศึกษาจากครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นตำรา ท่านก็นำสิ่งเหล่านี้ที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมาเขียนเป็นเอกสารตำรา
พระไตรปิฎกก็คือพระพุทธเจ้าท่านได้ปฏิบัติแล้ว ประจักษ์แจ้งแล้ว เหล่าพุทธสาวกนำสิ่งที่ได้จากประสบการณ์เหล่านั้นมาเขียนไว้เป็นพระไตรปิฎก จึงทำให้รู้ธรรมนั้นๆ ได้
ถ้าถามว่า ได้แต่เรียนรู้แล้วจะรู้ซึ้งได้อย่างไร ก็จะตอบว่า ท่านก็ปฏิบัติเหมือนกันแต่ปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง คือ การเขียน การเทศน์ การศึกษาเล่าเรียน ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติเช่นเดียวกัน ก็ต้องใช้อินทรีย์ทางกายภาพ (รูปธรรม) เช่นเดียวกัน ส่วนพระนักปฏิบัติก็ใช้อินทรีย์ทางร่างกายเหมือนกัน แล้วมันจะแตกต่างกันตรงไหน
ฉะนั้น เน้นการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมก็สามารถรู้ธรรมได้ และเน้นการปฏิบัติ ก็สามารถรู้ธรรมได้เหมือนกัน ทั้งสองเส้นทางนี้ไม่แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น เราเดิน สมองเราคิดหรือเปล่า? (มโนกรรม) ก็คิดเหมือนกัน แม้แต่ด่าคน แช่งคน สมองเราก็คิดเช่นเดียวกัน นี่แหละไม่ใช่การปฏิบัติตรงไหน
ท่านเขียนหนังสือ เอกสารตำรา ก็เป็นการปฏิบัติ
ฉะนั้น เราอย่าไปติดรูปแบบของการปฏิบัติธรรม จะต้องมานั่งสมาธิ หลังตรง เดินจงกรม ซ้ายย่างหนอ ขวาอย่างหนอ ทุกสิ่งทุกอย่าง กิริยาอาการพฤติกรรม ก็เป็นการปฏิบัติธรรมทั้งนั้น คนทั่วไปจะหลงรูปลักษณ์
แล้วทำไมเราต้องมาศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติธรรมไปด้วย ก็เพราะว่าเราต้องการ ๒ อย่าง คือ ทั้งปริยัติธรรม และปฏิบัติธรรม เราก็จะได้ทั้ง ๒ อย่าง ถ้าเราได้ทั้งสองอย่างเวลาอธิบายอะไรจะลึกซึ้งกว่าคนได้สายเดียว ๑ เท่าตัว เพราะว่าเขาได้เรียนรู้แล้วได้ปฏิบัติด้วย
ยกตัวอย่างของการปฏิบัติของพระที่เน้นการศึกษาเล่าเรียน เช่น ท่านอ่านพระไตรปิฎก แล้วท่านก็จะมานั่งขบคิดเจริญโยนิโสมนสิการว่าสิ่งที่เล่าเรียนมา อ่านมานี่จริงมั้ย? นี่แหละท่านก็รู้ได้จากการคิดวิเคราะห์
พระหรือบุคคลที่ปฏิบัติก็จะรู้อย่างปฏิบัติ แต่ถ้าจะให้อธิบายอย่างกับพระที่ศึกษาเล่าเรียนมาก็ไม่ได้
ยกตัวอย่าง มีบางคนไปถามหลวงพ่อเกษม เขมโก ทำอะไรยังไง? ก็จะได้คำตอบว่าไปถามพระที่อยู่กุฎิข้างโน้น...
หรือไปถามหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ท่านก็จะบอกว่า "ไปทำก็รู้"
ไปถามหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ก็ได้ว่า "ทั้งหมดอยู่ที่ใจ ไปทำก็รู้"
เพราะว่าท่านไม่ถนัดทางด้านการอธิบาย
ถ้าหากว่าเราเรียนรู้ธรรมะแล้วนำมาปฏิบัติ ด้วยการเจริญอานาปานสติ เราก็จะได้ครบถ้วน เขาเรียกว่าไท่เก็ก (太極拳) หยินหยาง (阴阳)รู้หมด
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต