ครานั้นแล กายสองต้องแยกกัน
สองใจนั้นสลับระกำกะขำ
แล้วสลับสุขีกะชีช้ำ
วนเวียนซ้ำเสียใจดีใจนา
สองเราต้องยืนทนคนละฝั่ง
และทุกครั้งเห็นกันก็หรรษา
พอมืดล้อบ่เห็นเป็นโศกา
พอสายฟ้าแวบทีก็ดีใจ
เป็นค่ำคืนฝืนทนระคนคิด
วิปริตแปรผันนั่นไฉน
เป็นค่ำคืนยืดยืนเพราะฝืนใจ
เป็นทุกข์ไซร้ยั่งยืนเพราะฝืนทน
พออรุณสว่างกระจ่างแจ้ง
น้ำก็แห้งสลายหายสับสน
ล่องตะกองกอดรัดกันบัดดล
เราสองคนคิดถึงซึ่งกันและกัน
ข้าแต่พราน คืนวานหักหาญนัก
พัดพรากรักรุมเร้าเศร้าโศกศัลย์
เราทั้งสองตรองถึงซึ่งคืนนั้น
ใจไหวหวั่นวิกลปนท่าที
เรากอดกันและกันด้วยหรรษา
พอหนึ่งคราหัวเราะเพราะสุขี
แล้วร้องไห้หากันและกันที
เพราะโสกีกอดกันอีกครั้นครา
ข้าแต่พราน เจ็ดร้อยถอยสามปี
ขณะที่ทำเราเฝ้าโหยหา
แต่มนุษย์สุดน้อยแค่ร้อยนา
ใครเล่าหนาจะพรากจากคนรัก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้๒๐๒.
อุโภสุ ตีเรสุ มยํ ตทา ฐิตา, สมฺปสฺสนฺตา อุภโย อญฺญมญฺญํ;
สกิมฺปิ โรทาม สกํ หสาม, กิจฺเฉน โน อาคมา สํวรี สาฯ
คราวนั้น เราทั้งสองยืนกันอยู่คนละฝั่งแม่น้ำ มองเห็นหน้ากันและกันก็หัวเราะครั้งหนึ่ง
มองไม่เห็นหน้ากันก็ร้องไห้เสียครั้งหนึ่งคืนวันนั้น ได้ผ่านเราทั้งสองไปโดยยาก.
๒๐๓.
ปาโตว โข อุคฺคเต สูริยมฺหิ, จตุกฺกํ นทํ อุตฺตริยาน ลุทฺท;
อาลิงฺคิยา อญฺญมญฺญํ มยํ อุโภ, สกิมฺปิ โรทาม สกํ หสามฯ
ข้าแต่ท่านพราน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นเวลาเช้า เราทั้งสองท่องข้ามแม่น้ำอันยุบแห้ง
มาสวมกอดกันและกันร้องไห้อยู่คราวหนึ่ง หัวเราะอยู่คราวหนึ่ง.
๒๐๔.
ตีหูนกํ สตฺตสตานิ ลุทฺท, ยมิธ มยํ วิปฺปวสิมฺห ปุพฺเพ;
วสฺเสกิมํ ชีวิตํ ภูมิปาล, โก นีธ กนฺตาย วินา วเสยฺยฯ
ข้าแต่ท่านพรานผู้ภูมิบาลเมื่อครั้งก่อน เราทั้งสองได้พรากกันอยู่นานถึง ๖๙๗ ปี
ชีวิตของท่านนี้มีกำหนดเพียง ๑๐๐ ปีเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครหนอ
จะพึงอยู่ปราศจากภรรยาสุดที่รักเสียเล่า?
นางกินรี (๕)