ช่วงหลัง ๆ ผมมีแต่พาเที่ยวแต่ต่างประเทศ
วันนี้เลยขอพากลับมาเที่ยวไทยบ้าง
โดยจังหวัดที่ผมจะพาไปดูก็คือ 4 จังหวัดตามหัวข้อข้างบนเลย
ส่วนสถานที่ ผมคิดอยู่ว่าจะเป็นที่ที่คนทั่ว ๆ ไปไม่ค่อยได้เห็นเลยอยากจะเอามาฝากกัน
จังหวัดที่ 1 : นครศรีธรรมราช

ในจังหวัดนี้ผมจะพาไปดูที่เที่ยวสามจุด
สถานที่แรกเลยก็คือ :
- อุทยานพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ทุ่งใหญ่)

ลักษณะของสถานที่นี้จะเป็นลานกว้าง ๆ มีพระพุทธรูปเยอะแยะเต็มไปหมด เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การไปถ่ายรูป pattern พระพุทธรูปเรียง ๆ กันมาก
แถมปัจจุบันยังสร้างหลังคาไม่เสร็จ ทำให้สามารถถ่ายรูปพระพุทธรูปกับแสงพระอาทิตย์ขึ้น/ตก และดาว ได้ด้วย
สำหรับคนที่จะไปถ่ายดาว ผมก็แนะนำเหมือนเดิมว่า อย่าลืมพกเพื่อนไปด้วย เพราะสถานที่นี่โคตรหลอนนน (หลอนตรงพระเยอะ ๆ เนี่ยหละ)
(จริง ๆ วัดนี้มีชื่อสั้น ๆ อีกชื่อด้วย : วัดนิรนาม)


มาถ่ายรูปหรือดูดาวได้กันยันเช้าเลย
ส่วนช่วงเช้าแสงพระอาทิตย์จะขึ้นมาทางด้านหน้าของพระพุทธรูปพอดีด้วยครับ
สถานที่ที่ 2 ของจังหวัดนครศรีธรรมราช :
- อ่างเก็บน้ำคลองดินแดง

ตั้งอยู่บริเวณบ้านทุ่งร่อน ตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน (อยู่ใกล้ ๆ จ.สุราษฎร์ธานี)
สถานที่นี้เป็นที่ ๆ สงบมาก สามารถมานั่งปิกนิก ชมวิวพระอาทิตย์ตก ดาว ทางช้างเผือก และพระอาทิตย์ขึ้นได้ทั้งหมดในที่เดียวเลย ส่วนกิจกรรมก็สามารถพายเรือเล่น หรือปั่นจักรยานไปตามเส้นทางรอบอ่าวได้ด้วย
เป็นสถานที่ที่ผมชอบมาก ๆ ของภาคใต้บ้านเรา
ส่วนประวัติความเป็นมาของที่นี่ ผมขอเก็บไว้เล่าในสถานที่ต่อไปนะครับ (อ่างเก็บน้ำกะทูน) เพราะมันเหมือนกันครับ
ตรงนี้จะเป็นแนวสันเขื่อนครับ สามารถมาถ่ายรูปเล่นชิค ๆ ควบคู่ไปกับทางช้างเผือกได้เลยครับ

จากสันเขื่อนเดินมาหน่อย จะหินก้อนใหญ่ ๆ ตั้งอยู่กลางน้ำด้วย
ถ่ายรูปออกมาแล้วฟีลเหมือนอยู่ต่างประเทศดีครับ

ส่วนจุดที่พระอาทิตย์ขึ้นจะอยู่ด้านหลังภูเขาพอดี ใครชอบถ่ายรูปแสงอาทิตย์เช้า ๆ ก็มารอตรงจุดนี้ได้เหมือนกัน
(ในรูปจะมีรถซาเล้งจอดอยู่ รถคนนั้นเป็นของป้าที่เค้าจะออกไปหาปลาในอ่างเก็บน้ำทุกเช้าครับ ใครอยากกินอะไร ก็ขอซื้อต่อป้าเค้าได้เลยครับ ราคาย่อมเยา)
ความสงบของธรรมชาติยามเช้าครับ
สันเขื่อนแบบสว่าง ๆ บ้าง
โดยปกติแถวนี้จะค่อนข้างอากาศชื้น ถ้ามองจากสันเขื่อนลงไป อาจจะได้เห็นหมอกตามภูเขาหรือน้ำด้วย
สถานที่ที่ 3 ของจังหวัดนครศรีธรรมราช :
- อ่างเก็บน้ำกะทูน
เป็นสถานที่ที่สงบ วิวสวย แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เพราะภายใต้ความสวยงามนี้ มีชีวิตคน วัดวาอาราม โรงเรียน และ บ้านเรือน ซ่อนอยู่
เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน
สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ชนบททั่วไป มีผู้คนทำการเกษตร มีบ้านเรือน หมู่บ้าน 4 แห่ง โรงหนัง 2 แห่ง โรงเรียน 1 แห่ง และวัดอีก 1 แห่ง จนเมื่อ พฤศจิกายน ปี 2531 ได้เกิดพายุดีเปรสชั่น ฝนตกติดต่อกันไม่หยุดเป็นเวลาหลายวัน ทำให้พื้นดินและเชิงเขาที่ผู้คนทำการเกษตรไม่สามารถอุ้มน้ำได้ไหว พื้นดินจากเชิงเขาจึงพังทลายลงมาใส่บ้านเรือนในลักษณะของโคลนพร้อมกับต้นไม้ ภัยพิบัติเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ทำให้มีผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างน้อย 230 คน บ้านเรือนเสียหาย 1,500 หลัง และพื้นที่การเกษตรเสียหายอีก 6,150 ไร่
หลังจากนั้น จึงได้มีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำขึ้นในภายหลัง (พ.ศ. 2539) และก็กลายมาเป็นสถานที่สวย ๆ ในปัจจุบัน
ปล. เป็นเหตุการณ์เดียวกันกับอ่างเก็บน้ำคลองดินแดง

วัดที่จมน้ำเป็นวัดที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน ก่อนพายุจะเข้า เมรุพึ่งจะผ่านการเผาศพไปแค่ศพเดียวเท่านั้น ผมมีรูปเมรุมาให้ดูด้วย เอากล้องซูมจากหน้าห้องพัก (เมรุเป็นสิ่งก่อสร้างเดียวที่ยอดพ้นน้ำขึ้นมา ต้องมาในช่วงน้ำลดจะมองเห็นซากบ้านเรือนและวัดทั้งหมดได้)

นอกจากวิวกลางวันที่สวยสงบแล้ว กลางคืนก็สงบเช่นกันครับ
เป็นสถานที่ที่ทางธรรมชาติที่สงบมาก แสงไฟก็น้อย สามารถมองเห็นดาวบนท้องฟ้าได้ชัดเจนเลยครับ
จังหวัดที่ 2 : สุราษฏร์ธานี

ในจังหวัดนี้ ผมจะพาไปชมทั้งหมด 5 จุดท่องเที่ยว
ที่แรกเลยก็คือ :
- อุทยานธรรมเขานาในหลวง
ตั้งอยู่ที่ ต.ต้นยวน อ.พนม จ.สุราษฏร์ธานี
ขับรถจากตัวเมืองไปทางพังงาประมาณ 45 นาทีก็ถึงครับ (ตาม google map มาได้เลย ตรงเป๊ะ)
ลักษณะของที่นี่จะเป็น เจดีย์ลอยฟ้า(ตอนนี้มี 4 แห่ง) ที่ตั้งอยู่ยอดเขาหินปูนสูงจากพื้น 300 เมตร และสร้างด้วยศิลาแลงจากเมืองกำแพงเพชร
ส่วนเวลาที่เหมาะแก่การมาเที่ยวชม จะเป็นช่วงเช้าครับ เพราะจะสามารถเห็นแสงลอดผ่านซุ้มประตูทางเข้า ตักบาตร และถ้าโชคดีจะสามารถเห็นทะเลหมอกด้วย จากบนยอดเจดีย์
ใน 3 รูปที่นี้ (จากรูปที่ผู้หญิงยืนจนถึงรูปเจดีสีขาว ๆ ) จะเป็นรูปของเจดีย์ 1-3 ตามลำดับ
ส่วนเจดีย์ที่ 4 ผมมีเวลาไม่พอ เลยไม่ได้ขึ้นไปครับ



จากยอดเจดีย์ 3
ช่วงฟ้าสว่างจะสามารถเห็นเจดีย์องค์ที่ 1 กับ 2 พร้อมกับวิวธรรมชาติเขียว ๆ และหมอกหน่อย ๆ
(ย้ำนะครับ ถ้าโชคดีจะเห็นทะเลหมอกใหญ่ ๆ)
ผมว่าถ้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น จุดนี้จะเป็นจุดที่สวยที่สุดของสถานที่นี่แล้วหละครับ วิวดีมาก แถมเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นพอดีด้วย
สถานที่ที่ 2 ของจังหวัดสุราษฏร์ธานี :
- เขื่อนรัชชประภา / เขื่อนเชี่ยวหลาน

ที่นี่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี โดยความสวยงามและกิจกรรมจะแตกต่างกันไป ตามนี้
ฤดูร้อน (มี.ค.- เม.ย.) > เป็นช่วงที่แดดดีสุด เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูปและทำกิจกรรมทางน้ำ เช่น เล่นน้ำ, พายเรือคายัค
ฤดูฝน (พ.ค.- พ.ย.) > จากความชื้นของเมฆฝน ช่วงนี้จะสามารถเห็นหมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำเกือบตลอดทั้งวัน และ ป่าจะมีสีสรรและความชุ่มชื้นมากกว่าฤดูอื่นๆ เหมาะกับคนที่ชอบกิจกรรมเดินป่า และยังเหมาะกับคนที่ชอบนอนชิวๆดมกลิ่นฝนบนแพอีกด้วย
ฤดูหนาว (ธ.ค. – ก.พ.) > เป็นช่วงที่ฮิตสุดของที่นี่เลย เพราะอากาศไม่ร้อน+มีฝนน้อย ช่วงนี้จะสามารถเห็นหมอกได้ในช่วงเช้า

ที่นี่จะมีกิจกรรมให้ทำมากมาย (บางทีจะรวมอยู่ในแพกเกจที่พักพร้อมอาหารและโปรแกรมเที่ยวแล้ว)
เช่น : นั่งเรือไปชมเขาสามเกลอ ถือเป็นวิว highlight ของที่นี่เลย, เล่นน้ำ / พายเรือคายัค, นั่งเรือไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก, เดินป่าไปจุดชมวิว (เส้นทางศึกษาธรรมชาติ) เป็นต้น

สถานที่ที่ 3 ของจังหวัดสุราษฏร์ธานี :
- สันเขื่อนรัชชประภา
ผมว่าสำหรับคนที่ไม่อยากใช้เวลานาน ๆ เข้าไปนอนพักในเขื่อนที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ตัดจากโลกภายนอก ก็สามารถมาเดินเล่นชมธรรมชาติสวย ๆ แถวสันเขื่อนได้เหมือนกัน
สถานที่ที่ 4 ของจังหวัดสุราษฏร์ธานี :
- สะพานแขวน และ ภูเขารูปหัวใจ
สถานที่นี้อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือไปเขื่อนเชี่ยวหลานมาก สำหรับใครที่จะเข้าไปเที่ยวในเขื่อนก็สามารถแพลนสถานที่นี้เข้าไปด้วยได้เลยครับ
ภาพนี้จะเห็นทั้งสะพานแขวนและภูเขารูปหัวใจเลย โดยภูเขารูปหัวใจจะอยู่ด้านขวามือครับ
สถานที่ที่ 5 ของจังหวัดสุราษฏร์ธานี :
- ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด
ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน เป็นบ่อน้ำกลางป่าที่ น้ำ ใส มาก!! แบบมองลงไปเห็นพื้นชัดแจ๋ว
โดยเจ้าหน้าที่ที่ดูแลที่นี่จะเข้มงวดเรื่องการดูแลรักษาความสะอาดมาก มีการตรวจสอบสัมภาระก่อนเข้าข้างใน ให้เอาเข้าเท่าที่จำเป็น ห้ามนำอาหารเข้ามาเด็ดขาด สามารถเข้ามาเล่นน้ำและถ่ายรูปได้เท่านั้นนะครับ
จังหวัดที่ 3 : พัทลุง

ในจังหวัดนี้ ผมไปมาทั้งหมด 2 สถานที่ และ
สถานที่แรกก็คือ :
- บ้านแฝดทะเลน้อย (สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา)
ตั้งอยู่ข้างสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
โดยสะพานนี้เป็นสะพานที่สร้างขึ้นตามแนวทะเลน้อย เพื่อเชื่อมจังหวัดพัทลุงและสงขลาเข้าด้วยกัน ระยะกว่า 8 กิโลเมตร ถือได้ว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
ส่วนตัวบ้านแฝดนี้ ก็ถูกสร้างขึ้นในช่วงเดียวกันกับสะพานเช่นกัน เพราะเป็นบ้านที่สร้างไว้เป็นที่พักชั่วคราวขณะก่อสร้างสะพานแห่งนี้
แต่พอสร้างสะพานเสร็จแล้วทางจังหวัดเห็นว่ามันเข้ากับบรรยากาศทะเลน้อยดี เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ที่นี่ไปเลย
ถึงฟังแล้วดูไม่ค่อยมีอะไร
แต่ในแคมเปญท่องเที่ยวของ ททท. ปี2559 ก็ยกให้ สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็น “สะพานแห่งความสุข” เลยนะ
เพราะตลอดสองข้างของสะพานแห่งนี้จะเป็นทะเลยาวสุดลูกหูลูกตา แถมมีความอุดมสมบูรณ์เรื่องธรรมชาติมาก ไม่ว่าจะเป็น ควายเล่นน้ำ นกหลายชาติบินไปมา และอากาศที่บริสุทธิ์

(ต่อในคอมเมนต์นะครับ)
TRAVEL AGAIN พาเที่ยวใต้ (4 จังหวัด : นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี พัทลุง พังงา)
วันนี้เลยขอพากลับมาเที่ยวไทยบ้าง
โดยจังหวัดที่ผมจะพาไปดูก็คือ 4 จังหวัดตามหัวข้อข้างบนเลย
ส่วนสถานที่ ผมคิดอยู่ว่าจะเป็นที่ที่คนทั่ว ๆ ไปไม่ค่อยได้เห็นเลยอยากจะเอามาฝากกัน
สถานที่แรกเลยก็คือ :
- อุทยานพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ทุ่งใหญ่)
แถมปัจจุบันยังสร้างหลังคาไม่เสร็จ ทำให้สามารถถ่ายรูปพระพุทธรูปกับแสงพระอาทิตย์ขึ้น/ตก และดาว ได้ด้วย
สำหรับคนที่จะไปถ่ายดาว ผมก็แนะนำเหมือนเดิมว่า อย่าลืมพกเพื่อนไปด้วย เพราะสถานที่นี่โคตรหลอนนน (หลอนตรงพระเยอะ ๆ เนี่ยหละ)
(จริง ๆ วัดนี้มีชื่อสั้น ๆ อีกชื่อด้วย : วัดนิรนาม)
ส่วนช่วงเช้าแสงพระอาทิตย์จะขึ้นมาทางด้านหน้าของพระพุทธรูปพอดีด้วยครับ
- อ่างเก็บน้ำคลองดินแดง
ตั้งอยู่บริเวณบ้านทุ่งร่อน ตำบลเขาพระ อำเภอพิปูน (อยู่ใกล้ ๆ จ.สุราษฎร์ธานี)
สถานที่นี้เป็นที่ ๆ สงบมาก สามารถมานั่งปิกนิก ชมวิวพระอาทิตย์ตก ดาว ทางช้างเผือก และพระอาทิตย์ขึ้นได้ทั้งหมดในที่เดียวเลย ส่วนกิจกรรมก็สามารถพายเรือเล่น หรือปั่นจักรยานไปตามเส้นทางรอบอ่าวได้ด้วย
เป็นสถานที่ที่ผมชอบมาก ๆ ของภาคใต้บ้านเรา
ส่วนประวัติความเป็นมาของที่นี่ ผมขอเก็บไว้เล่าในสถานที่ต่อไปนะครับ (อ่างเก็บน้ำกะทูน) เพราะมันเหมือนกันครับ
ตรงนี้จะเป็นแนวสันเขื่อนครับ สามารถมาถ่ายรูปเล่นชิค ๆ ควบคู่ไปกับทางช้างเผือกได้เลยครับ
ถ่ายรูปออกมาแล้วฟีลเหมือนอยู่ต่างประเทศดีครับ
(ในรูปจะมีรถซาเล้งจอดอยู่ รถคนนั้นเป็นของป้าที่เค้าจะออกไปหาปลาในอ่างเก็บน้ำทุกเช้าครับ ใครอยากกินอะไร ก็ขอซื้อต่อป้าเค้าได้เลยครับ ราคาย่อมเยา)
ความสงบของธรรมชาติยามเช้าครับ
สันเขื่อนแบบสว่าง ๆ บ้าง
โดยปกติแถวนี้จะค่อนข้างอากาศชื้น ถ้ามองจากสันเขื่อนลงไป อาจจะได้เห็นหมอกตามภูเขาหรือน้ำด้วย
- อ่างเก็บน้ำกะทูน
เป็นสถานที่ที่สงบ วิวสวย แต่ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย เพราะภายใต้ความสวยงามนี้ มีชีวิตคน วัดวาอาราม โรงเรียน และ บ้านเรือน ซ่อนอยู่
เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน
สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ชนบททั่วไป มีผู้คนทำการเกษตร มีบ้านเรือน หมู่บ้าน 4 แห่ง โรงหนัง 2 แห่ง โรงเรียน 1 แห่ง และวัดอีก 1 แห่ง จนเมื่อ พฤศจิกายน ปี 2531 ได้เกิดพายุดีเปรสชั่น ฝนตกติดต่อกันไม่หยุดเป็นเวลาหลายวัน ทำให้พื้นดินและเชิงเขาที่ผู้คนทำการเกษตรไม่สามารถอุ้มน้ำได้ไหว พื้นดินจากเชิงเขาจึงพังทลายลงมาใส่บ้านเรือนในลักษณะของโคลนพร้อมกับต้นไม้ ภัยพิบัติเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่นาที
โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ทำให้มีผู้คนบาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างน้อย 230 คน บ้านเรือนเสียหาย 1,500 หลัง และพื้นที่การเกษตรเสียหายอีก 6,150 ไร่
หลังจากนั้น จึงได้มีการสร้างเขื่อนกั้นน้ำขึ้นในภายหลัง (พ.ศ. 2539) และก็กลายมาเป็นสถานที่สวย ๆ ในปัจจุบัน
ปล. เป็นเหตุการณ์เดียวกันกับอ่างเก็บน้ำคลองดินแดง
เป็นสถานที่ที่ทางธรรมชาติที่สงบมาก แสงไฟก็น้อย สามารถมองเห็นดาวบนท้องฟ้าได้ชัดเจนเลยครับ
จังหวัดที่ 2 : สุราษฏร์ธานี
ที่แรกเลยก็คือ :
- อุทยานธรรมเขานาในหลวง
ตั้งอยู่ที่ ต.ต้นยวน อ.พนม จ.สุราษฏร์ธานี
ขับรถจากตัวเมืองไปทางพังงาประมาณ 45 นาทีก็ถึงครับ (ตาม google map มาได้เลย ตรงเป๊ะ)
ลักษณะของที่นี่จะเป็น เจดีย์ลอยฟ้า(ตอนนี้มี 4 แห่ง) ที่ตั้งอยู่ยอดเขาหินปูนสูงจากพื้น 300 เมตร และสร้างด้วยศิลาแลงจากเมืองกำแพงเพชร
ส่วนเวลาที่เหมาะแก่การมาเที่ยวชม จะเป็นช่วงเช้าครับ เพราะจะสามารถเห็นแสงลอดผ่านซุ้มประตูทางเข้า ตักบาตร และถ้าโชคดีจะสามารถเห็นทะเลหมอกด้วย จากบนยอดเจดีย์
ใน 3 รูปที่นี้ (จากรูปที่ผู้หญิงยืนจนถึงรูปเจดีสีขาว ๆ ) จะเป็นรูปของเจดีย์ 1-3 ตามลำดับ
ส่วนเจดีย์ที่ 4 ผมมีเวลาไม่พอ เลยไม่ได้ขึ้นไปครับ
ช่วงฟ้าสว่างจะสามารถเห็นเจดีย์องค์ที่ 1 กับ 2 พร้อมกับวิวธรรมชาติเขียว ๆ และหมอกหน่อย ๆ
(ย้ำนะครับ ถ้าโชคดีจะเห็นทะเลหมอกใหญ่ ๆ)
ผมว่าถ้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น จุดนี้จะเป็นจุดที่สวยที่สุดของสถานที่นี่แล้วหละครับ วิวดีมาก แถมเป็นทิศที่พระอาทิตย์ขึ้นพอดีด้วย
- เขื่อนรัชชประภา / เขื่อนเชี่ยวหลาน
ฤดูร้อน (มี.ค.- เม.ย.) > เป็นช่วงที่แดดดีสุด เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูปและทำกิจกรรมทางน้ำ เช่น เล่นน้ำ, พายเรือคายัค
ฤดูฝน (พ.ค.- พ.ย.) > จากความชื้นของเมฆฝน ช่วงนี้จะสามารถเห็นหมอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำเกือบตลอดทั้งวัน และ ป่าจะมีสีสรรและความชุ่มชื้นมากกว่าฤดูอื่นๆ เหมาะกับคนที่ชอบกิจกรรมเดินป่า และยังเหมาะกับคนที่ชอบนอนชิวๆดมกลิ่นฝนบนแพอีกด้วย
ฤดูหนาว (ธ.ค. – ก.พ.) > เป็นช่วงที่ฮิตสุดของที่นี่เลย เพราะอากาศไม่ร้อน+มีฝนน้อย ช่วงนี้จะสามารถเห็นหมอกได้ในช่วงเช้า
เช่น : นั่งเรือไปชมเขาสามเกลอ ถือเป็นวิว highlight ของที่นี่เลย, เล่นน้ำ / พายเรือคายัค, นั่งเรือไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก, เดินป่าไปจุดชมวิว (เส้นทางศึกษาธรรมชาติ) เป็นต้น
สถานที่ที่ 3 ของจังหวัดสุราษฏร์ธานี :
- สันเขื่อนรัชชประภา
ผมว่าสำหรับคนที่ไม่อยากใช้เวลานาน ๆ เข้าไปนอนพักในเขื่อนที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ตัดจากโลกภายนอก ก็สามารถมาเดินเล่นชมธรรมชาติสวย ๆ แถวสันเขื่อนได้เหมือนกัน
- สะพานแขวน และ ภูเขารูปหัวใจ
สถานที่นี้อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือไปเขื่อนเชี่ยวหลานมาก สำหรับใครที่จะเข้าไปเที่ยวในเขื่อนก็สามารถแพลนสถานที่นี้เข้าไปด้วยได้เลยครับ
ภาพนี้จะเห็นทั้งสะพานแขวนและภูเขารูปหัวใจเลย โดยภูเขารูปหัวใจจะอยู่ด้านขวามือครับ
สถานที่ที่ 5 ของจังหวัดสุราษฏร์ธานี :
- ป่าต้นน้ำบ้านน้ำราด
ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน เป็นบ่อน้ำกลางป่าที่ น้ำ ใส มาก!! แบบมองลงไปเห็นพื้นชัดแจ๋ว
โดยเจ้าหน้าที่ที่ดูแลที่นี่จะเข้มงวดเรื่องการดูแลรักษาความสะอาดมาก มีการตรวจสอบสัมภาระก่อนเข้าข้างใน ให้เอาเข้าเท่าที่จำเป็น ห้ามนำอาหารเข้ามาเด็ดขาด สามารถเข้ามาเล่นน้ำและถ่ายรูปได้เท่านั้นนะครับ
จังหวัดที่ 3 : พัทลุง
- บ้านแฝดทะเลน้อย (สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา)
ตั้งอยู่ข้างสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
โดยสะพานนี้เป็นสะพานที่สร้างขึ้นตามแนวทะเลน้อย เพื่อเชื่อมจังหวัดพัทลุงและสงขลาเข้าด้วยกัน ระยะกว่า 8 กิโลเมตร ถือได้ว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในประเทศไทย
ส่วนตัวบ้านแฝดนี้ ก็ถูกสร้างขึ้นในช่วงเดียวกันกับสะพานเช่นกัน เพราะเป็นบ้านที่สร้างไว้เป็นที่พักชั่วคราวขณะก่อสร้างสะพานแห่งนี้
แต่พอสร้างสะพานเสร็จแล้วทางจังหวัดเห็นว่ามันเข้ากับบรรยากาศทะเลน้อยดี เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ที่นี่ไปเลย
ถึงฟังแล้วดูไม่ค่อยมีอะไร
แต่ในแคมเปญท่องเที่ยวของ ททท. ปี2559 ก็ยกให้ สะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็น “สะพานแห่งความสุข” เลยนะ
เพราะตลอดสองข้างของสะพานแห่งนี้จะเป็นทะเลยาวสุดลูกหูลูกตา แถมมีความอุดมสมบูรณ์เรื่องธรรมชาติมาก ไม่ว่าจะเป็น ควายเล่นน้ำ นกหลายชาติบินไปมา และอากาศที่บริสุทธิ์
(ต่อในคอมเมนต์นะครับ)