คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 14
ทศวรรษแห่งซีรีย์ [ ยุคแห่งความผูกพัน ] :
ปีนี้ผมดูหนังทั้งหมด 3 เรื่อง (แต่ไม่ใช่แค่ 3 รอบ) ไม่ต้องเดามาก ก็ Marvel ทั้ง 3 เรื่องนั่นแหละ
.
ถ้าวิเคราะห์ด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ผมคิดว่าทศวรรษนี้เป็น "ทศวรรษแห่งซีรีย์"
หลายคนอาจจะคิดถึง Netfilx ส่วนตัวผมไม่เคยดูเลย รู้แต่ว่าหุ้นมันพุ่งกระฉูดมาก , หรือซีรีย์ต่างๆเช่น Game of thrones (ที่ผมเองก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน)
.
++
.
แต่จริงๆ หนังที่เป็นกระแสล้วนเป็น series ทั้งนั้น , marvel ก็คือ series 20 กว่าตอนที่ฉายในรูปแบบโรงภาพยนตร์
.
ในเชิงของหนังภาคต่อ เช่น DC จอห์น วิค Godzilla , Star wars สิ่งเหล่านี้มันแสดงให้เห็นว่า การตลาดได้มาถึงจุดปลายทาง ที่ต้องใช้"ความผูกพันธ์" (Loyalty)
.
ผมเองดู Avenger Endgame มากกว่า 1 รอบ ส่วนหนึ่งเพราะเหมือนกับว่าได้มาเจอเพื่อน , ได้มาส่งท้ายเพื่อนเก่าที่รู้จักมายาวนาน
.
++
.
ระดับสุดยอดของ branding ล้วนต้องการใช้ความผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์อย่าง Loius vuitton Rolex ปาเต๊ะ ก็เป็นการตลาดประเภทนี้
.
บางทีเราไม่ได้ชอบมันเพราะรูปลักษณ์อะไรหรอก แต่พอเรามีความผูกพันต่อแบรนด์ และจริงๆคือ"ทั้งสังคมมีความผูกพันต่อแบรนด์"
...
แบรนด์จะแข็งแกร่งได้ก็ต่อเมื่อสังคมยอมรับ , มันเป็นอะไรมนุษย์ให้คุณค่า , เราต้องการอยู่ร่วม ต้องการพูดคุย หรือแสดง สปิริตบางอย่าง ให้คนทั้งสังคมเห็นคุณค่า
.
.
ทุกวันนี้บริษัทใหญ่ๆก็ลงทุนในการสร้างความผูกพัน อย่างที่เรารู้กัน เช่น เรื่องของอีคอมเมอร์ซ ที่ยอมขาดทุนหลายๆปี เพื่อทำให้ลูกค้าผูกพัน นอกจากการสะสม big data (ที่ก็ใช้เพื่อสร้างความผูกพันอยู่ดี )
.
การที่ 7-11มี all member การจ่ายเงินของ k plus หรือ internet banking ที่ฟรีค่าธรรมเนียม ทั้งๆที่มันเคยทำกำไรให้ธนาคารปีหนึ่งเป็นหลักพันล้าน เขาก็ยอมเสียไป
.
+
.
ทำไมถึงต้องมีความผูกพัน ?
คำตอบง่ายๆก็เพราะเดี๋ยวนี้ "ทุนมันล้นโลก" , ผมจะยกตัวอย่างให้ชัด ก็คือผลิตภัณฑ์ต่างๆแพร่หลายขึ้นอย่างมากมาย application มีเป็นหมื่นๆ app สินค้าบริการต่างๆเข้าถึงทุกคนทุกเพศทุกวัยได้เพียงแค่ปลายนิ้ว
.
คนเดี๋ยวนี้ไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรนานๆอีกแล้ว application นั้นสุดท้ายก็จะเหลือแค่ 20 แอปในมือถือ เอาเฉพาะที่เราคุ้นเคย , ดังนั้นทุนทุกกลุ่มจึงต้องเร่งสร้างให้เป็น"คนพิเศษ"สำหรับลูกค้า
.
.
เพราะเราเข้าใจลูกค้าไม่ได้คนอื่นก็จะแย่งตำแหน่งไป มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในวงการหนังแต่มันเกิดขึ้นในทุกๆผลิตภัณฑ์
.
ปีนี้ผมดูหนังทั้งหมด 3 เรื่อง (แต่ไม่ใช่แค่ 3 รอบ) ไม่ต้องเดามาก ก็ Marvel ทั้ง 3 เรื่องนั่นแหละ
.
ถ้าวิเคราะห์ด้านพฤติกรรมผู้บริโภค ผมคิดว่าทศวรรษนี้เป็น "ทศวรรษแห่งซีรีย์"
หลายคนอาจจะคิดถึง Netfilx ส่วนตัวผมไม่เคยดูเลย รู้แต่ว่าหุ้นมันพุ่งกระฉูดมาก , หรือซีรีย์ต่างๆเช่น Game of thrones (ที่ผมเองก็ไม่ได้ดูเหมือนกัน)
.
++
.
แต่จริงๆ หนังที่เป็นกระแสล้วนเป็น series ทั้งนั้น , marvel ก็คือ series 20 กว่าตอนที่ฉายในรูปแบบโรงภาพยนตร์
.
ในเชิงของหนังภาคต่อ เช่น DC จอห์น วิค Godzilla , Star wars สิ่งเหล่านี้มันแสดงให้เห็นว่า การตลาดได้มาถึงจุดปลายทาง ที่ต้องใช้"ความผูกพันธ์" (Loyalty)
.
ผมเองดู Avenger Endgame มากกว่า 1 รอบ ส่วนหนึ่งเพราะเหมือนกับว่าได้มาเจอเพื่อน , ได้มาส่งท้ายเพื่อนเก่าที่รู้จักมายาวนาน

.
++
.
ระดับสุดยอดของ branding ล้วนต้องการใช้ความผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์อย่าง Loius vuitton Rolex ปาเต๊ะ ก็เป็นการตลาดประเภทนี้
.
บางทีเราไม่ได้ชอบมันเพราะรูปลักษณ์อะไรหรอก แต่พอเรามีความผูกพันต่อแบรนด์ และจริงๆคือ"ทั้งสังคมมีความผูกพันต่อแบรนด์"
...
แบรนด์จะแข็งแกร่งได้ก็ต่อเมื่อสังคมยอมรับ , มันเป็นอะไรมนุษย์ให้คุณค่า , เราต้องการอยู่ร่วม ต้องการพูดคุย หรือแสดง สปิริตบางอย่าง ให้คนทั้งสังคมเห็นคุณค่า
.
.
ทุกวันนี้บริษัทใหญ่ๆก็ลงทุนในการสร้างความผูกพัน อย่างที่เรารู้กัน เช่น เรื่องของอีคอมเมอร์ซ ที่ยอมขาดทุนหลายๆปี เพื่อทำให้ลูกค้าผูกพัน นอกจากการสะสม big data (ที่ก็ใช้เพื่อสร้างความผูกพันอยู่ดี )
.
การที่ 7-11มี all member การจ่ายเงินของ k plus หรือ internet banking ที่ฟรีค่าธรรมเนียม ทั้งๆที่มันเคยทำกำไรให้ธนาคารปีหนึ่งเป็นหลักพันล้าน เขาก็ยอมเสียไป
.
+
.
ทำไมถึงต้องมีความผูกพัน ?
คำตอบง่ายๆก็เพราะเดี๋ยวนี้ "ทุนมันล้นโลก" , ผมจะยกตัวอย่างให้ชัด ก็คือผลิตภัณฑ์ต่างๆแพร่หลายขึ้นอย่างมากมาย application มีเป็นหมื่นๆ app สินค้าบริการต่างๆเข้าถึงทุกคนทุกเพศทุกวัยได้เพียงแค่ปลายนิ้ว
.
คนเดี๋ยวนี้ไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรนานๆอีกแล้ว application นั้นสุดท้ายก็จะเหลือแค่ 20 แอปในมือถือ เอาเฉพาะที่เราคุ้นเคย , ดังนั้นทุนทุกกลุ่มจึงต้องเร่งสร้างให้เป็น"คนพิเศษ"สำหรับลูกค้า
.
.
เพราะเราเข้าใจลูกค้าไม่ได้คนอื่นก็จะแย่งตำแหน่งไป มันไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในวงการหนังแต่มันเกิดขึ้นในทุกๆผลิตภัณฑ์
.
แสดงความคิดเห็น
คิดว่าหลังจาก Avengers:Endgame แล้ว มาร์เวลจะมีหนังเรื่องไหนที่จะทำเงินได้ในระดับนี้อีกไหมครับ
เพราะตอนนั้นผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าฮีโร่เหล่านี้จะมารวมตัวกัน ( ด้วยความที่ไม่เคยอ่านคอมิคส์มาก่อน ) แล้วพอมีหนังเรื่องนี้ออกมามันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นมากๆ
และแอบคิดว่าคงไม่มีหนังเรื่องไหนที่ทำให้เรารู้สึกอย่างนี้ได้อีกแล้วล่ะ เพราะนั่นคือ first impression ของผมและน่าจะของใครอีกหลายคน จักรวาลมาร์เวลน่าจะมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ไม่น่าจะมีหนังเรื่องที่จะทำให้คนดูรู้สึกตื่นเต้นและสามารถทำเงินได้ในระดับเดียวกับ The Avengers (2012) อีกแล้วล่ะ
แล้วมาร์เวลก็ทำให้ผมต้องคิดใหม่ด้วยภาพยนตร์เรื่อง Infinity wars และ Endgame ที่สามารถทำเงินและสร้างปรากฏการณ์ได้มากกว่า The Avengers ภาคแรกเสียอีก ผมจึงแอบคิดว่าหลังจาก Endgame แล้ว มาร์เวลจะมีหนังเรื่องไหนที่จะทำเงินได้ในระดับนี้อีกไหม
มาลองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดูนะครับ