กุนนีขาวสกาวอยู่บ่รู้โรย
ดอกคูนโปรยเสน่ห์บ่เฉไฉ
ดอกแคฝอยคอยเฝ้าเย้ายวนใจ
ดอกย่านทรายสายใยไฉนเอย
ดอกสาละระหงโน้มลงหนา
พวงพงามัวเพ้อเอ้อระเหย
ดิฉันนั้นแอบคิดแนบชิดเชย
สามีเอ๋ยจักแนมแซมดอกไม้
พวงสาละธุระจะปูลาด
จักเป็นอาสนะ ณ ที่ไหน
พอราตรีนี้จักนอนพักใด
เก็บกองไว้ปูนอนอ้อนสามี
กฤษณาดำจันทน์แดงลงแรงบด
จักพรมรดกายาสามีศรี
แล้วนอนแนบแอบร่างหว่างราตรี
ดิฉันนี้เลินเล่อมัวเหม่อมอง
ทันใดนั้น น้ำป่าไหลบ่าเทียว
ชั่วครู่เดียวก็ล้นหลั่งฝั่งทั้งสอง
แล้วพัดพาดอกไม้ไปทั้งกอง
ที่ร้อยกรองไว้หายวิบชั่วพริบตา
พอเย็นย่ำลำน้ำยังซ้ำซัด
ยังไหลลัดมะงุมมะงาหรา
ทั้งดอกสนสาละกณิการ์
โดนพัดพาหายวับไปกับน้ำ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้๑๙๗.
อหญฺจิทํ กุรวกโมจินามิ, อุทฺทาลกา ปาฏลิสินฺธุวารกา;
‘‘ปิโย จ เม เหหิติ มาลภารี, อหญฺจ นํ มาลินี อชฺฌุเปสฺสํ’’ฯ
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกไม้บานไม่รู้โรย ดอกราชพฤกษ์ ดอกแคฝอย
ดอกย่านทราย ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจะทัดทรงดอกไม้ ส่วนเราก็จักได้
สอดแซมดอกไม้เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
๑๙๘.
อหญฺจ สาลสฺส สุปุปฺผิตสฺส, โอเจยฺย ปุปฺผานิ กโรมิ มาลํ;
‘‘ปิโย จ เม เหหิติ มาลภารี, อหญฺจ นํ มาลินี อชฺฌุเปสฺสํ’’ฯ
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ซึ่งกำลังบานดีร้อยเป็นพวงมาลัย
ด้วยคิดว่า สามีที่รักของเราจะได้สวมใส่พวงมาลัยส่วนเราก็จักได้สวมใส่พวงมาลัย
เข้าไปนอนแนบสามีที่รักนั้น.
๑๙๙.
อหญฺจ สาลสฺส สุปุปฺผิตสฺส, โอเจยฺย ปุปฺผานิ กโรมิ ภารํ;
อิทญฺจ โน เหหิติ สนฺถรตฺถํ, ยตฺถชฺชิมํ วิหริสฺสาม รตฺตํฯ
อนึ่ง ดิฉันมัวเลือกเก็บดอกสาลพฤกษ์ซึ่งกำลังบานดีแล้วร้อยกรองทำเป็นพวงๆ
ด้วยคิดว่า คืนวันนี้ เราทั้งสองจะอยู่ ณ ที่แห่งใด พวงดอกรังนี้จักเป็น
เครื่องปูลาด ณ ที่นั้น.
๒๐๐.
อหญฺจ โข อคฬํ จนฺทนญฺจ, สิลาย ปํสามิ ปมตฺตรูปา;
‘‘ปิโย จ เม เหหิติ โรสิตงฺโค, อหญฺจ นํ โรสิตา อชฺฌุเปสฺสํ’’ฯ
อนึ่ง ดิฉันมัวเลินเล่อบดกฤษณาดำ และจันทน์แดงด้วยศิลา ด้วยคิดว่า
สามีที่รักของเราจักได้ประพรมร่างกาย ส่วนเราประพรมร่างกายแล้วจะเข้าไป
นอนแนบสามีที่รักนั้น.
๒๐๑.
อถาคมา สลิลํ สีฆโสตํ, นุทํ สาเล สลเฬ กณฺณิกาเร;
อาปูรถ เตน มุหุตฺตเกน, สายํ นที อาสิ มยา สุทุตฺตราฯ
ครั้งนั้น น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ไหลมาพัดเอาดอกสาลพฤกษ์ ดอกสน ดอกกรรณิการ์
ทั้งหลายไปโดยครู่เดียวนั้น น้ำก็ขึ้นเต็มฝั่ง ถึงเวลาเย็น ดิฉันข้ามแม่น้ำไปไม่ได้.
นางกินรี (๔)