หัดแต่งนิยาย (Forgotten and Remembered : จิตสั่งลืม)_Chapter 1

บทนำ
“เรย์”  โปรแกรมเมอร์หนุ่ม ที่มาเจอกับเรื่องสุดแปลกในชีวิต เมื่อเช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าเวลาของตัวเองหายไปหนึ่งวันเต็มๆ  ไม่สามารถจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นของเมื่อวานได้ ตอนแรกไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง คิดแต่เพียงว่าคงนอนหลับยาวข้ามไปอีกวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งต่างๆ ค่อยๆ เปิดเผยออกมา ทั้งพยานหลักฐาน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนวันหนึ่งเกิดวิกฤตขึ้นมาในชีวิต ที่แม้แต่จะพยายามอธิบายอย่างไรก็ไม่มีใครเข้าใจ นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาจริงจังในการค้นหาคำตอบกับเรื่องนี้ การเก็บรวบรวมข้อเท็จจริงจึงเกิดขึ้น พร้อมไปกับการได้รับความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาที่พบกันโดยบังเอิญ คนที่พาเขาเข้าไปสู่โลกเกินคาดฝัน และพร้อมจะเปิดเผยความจริงที่แอบซ่อนอยู่ในหลืบลึกของจิตใจ 

สุดท้าย มาติดตามกันว่า เรย์ จะสามารถค้นหาคำตอบในสิ่งที่ค้างคาใจเขาได้หรือไม่ หรือจะปล่อยให้ทุกอย่างค่อยๆ จางหายไปตามกลาลเวลา และไม่หวนคิดถึงมันอีกตลอดไป

Chapter 1
เมื่อผมเดินทางมาถึงออฟฟิศของบริษัทเร็กส์ในตอนเช้าเหมือนวันทำงานปกติ มันเป็นตึกสี่ชั้นรูปร่างธรรมดา​เหมือนตึกสำนักงานทั่วไป​ ภายนอกตัวอาคารทาสีขาวหม่น​ บ่งบอกอายุด้วยสถาปัตยกรรม​ร่วมสมัยเมื่อยี่สิบ​ปีก่อน รวมถึงอาคารหลังนี้เป็นหนึ่งในอาคารเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์​เอาไว้ ก่อนที่ทางบริษัทเร็กส์จะขอเช่ามาอีกทีหนึ่ง หากใครยังไม่เคยเข้าไปด้านในมาก่อน​ อาจจะคิดว่าที่นี่เป็นพิพิธภัณฑ์​เสียมากกว่า​ แต่กลับตรงกันข้าม​เพราะด้านในมีความทันสมัย​ ทั้งการตกแต่ง​ รวมทั้งอุปกรณ์สำนักงาน​ทั้ง​หลาย​แหล่ก็เป็​นรุ่นใหม่​ล่าสุด เหมือนเพิ่งหลุดออกมาจากแค็ตตาล็อกสินค้าไอทีแทบ​ทั้งสิ้น จนแอบคิดไม่ได้ว่าที่นี่เป็นหนึ่งในบริษัทด้านไอทีที่ดีที่สุดเท่าที่ผมรู้จัก​ 

ผมสามารถ​เดินผ่านป้อมยามเข้ามาได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องแลกบัตร​ ก่อนจะเดินอ้อมไปทางขวามือเล็กน้อย ไปยังประตูด้านหน้าของตึก​ แปลกแต่จริงทุกอย่างดูเงียบผิดกับวันอื่นๆ​ ที่ผมเคยมา แม้ว่าตลอดหลายสัปดาห์​ที่ผ่านมา​ ผมนับครั้งได้ว่าเข้ามาทำงานที่ตึกนี้กี่ครั้ง​ ผมเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูทางเข้าด้านหน้า ​ทุกอย่างดูผิดสังเกต​ไปหมด​ ประตูกระจกด้านหน้าถูกปิดเอาไว้อย่างแน่นหนา อันที่จริงผมสามารถใช้บัตรพนักงานของผมแตะเพื่อเปิดประตูคีย์การ์ดนี้ได้​ แต่ก่อนที่ผมจะดึงบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์​ ผมพยายามเอาหน้าเข้าไปแนบกับประตูเลื่อนอัตโนมัติ เพื่อจะส่องดูว่าด้านในมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะบริษัทเร็กส์มีทางสำหรับเข้าออกแค่ทางนี้ทางเดียว ผมใช้สายตาสอดส่องไปรอบๆ ห้องโถงชั้นหนึ่ง ทุกอย่างสงบนิ่งภายใต้ความมืด ขณะที่ผมกำลังด้อมๆ มองๆ ประหนึ่งมิจฉาชีพบริเวณหน้าประตูอยู่นั้น ก็มีเสียงทุ้มแว่วมาจากด้านหลังของผม เป็นเสียงของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำตึกนั่นเอง เขาคงเห็นพิรุจของผมจากกล้องวงจรปิด ที่ติดตั้งอยู่ทุกมุมของตึก ราวกับว่าที่นี่เป็นศูนย์ข้อมูลลับระดับประเทศ

“วันนี้ออฟฟิศปิดครับ”
“ปิดหรือครับ” ผมถาม
“ครับ วันนี้วันหยุดครับ” เขาตอบพร้อมทั้งเดินเข้ามาใกล้ “ถ้ามีธุระ ค่อยมาติดต่อใหม่ในวันจันทร์” 
เหตุผลที่ผมนึกออก​ คือ เขาคงไม่รู้ว่าผมเป็นพนักงานที่นี่เป็นแน่​ เพราะผมไม่ชอบคล้องสายห้อยคอที่ระบุเจ้าของ​เอาไว้​เหมือนที่หลายคนทำกัน​ และ​ผมคงเป็นคนแปลกหน้า​สำหรับ​เขา

ผมมองหน้าเขาด้วยความฉงน พลางคิดทบทวนในใจว่า ทำไมไม่มีใครแจ้งผมเลยว่าวันนี้เป็นวันหยุดของบริษัท ทั้งที่เมื่อวานนี้ผมก็ยังเข้ามาทำงานที่นี่อยู่เลย มันไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่างไรก็แล้วแต่ ผมได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ แล้วโพล่งถามออกไป
”วันนี้ หยุดเพราะอะไรหรือครับ”
“วันนี้วันเสาร์ครับ” เขาตอบโดยไม่มองมาทางผม ขณะถือปากกาเดินไปเช็นต์ชื่อที่แผ่นกระดาษ ซึ่งแปะเอาไว้ตรงผนังข้างประตูด้านหน้าของบริษัท

พอได้ยินอย่างนั้น  ผมเลยเดินออกห่างมาจากบริเวณหน้าประตูของบริษัทเร็กส์ แปลกมากที่ผมกลับไม่รู้สึกตกใจ หรือประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในเช้านี้แม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะด้วยการมองโลกในแง่ดี ว่าคนเราคงต้องหลงลืมกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา คงไม่มีใครจะจำวันที่ได้แม่นเป๊ะเหมือนปฏิทินเดินได้หรอก ผมจะคอยหาคำปลอบใจให้กับตัวเองได้เสมอ ในทุกสถานการณ์ จะว่าไปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมจำวันที่ผิด มีตั้งหลายครั้งที่นัดวันกันเสียดิบดี แต่สุดท้ายแล้ว
กลับลืมเสียสนิท นับประสาอะไรกับวันที่แสนจะธรรมดาไม่สลักสำคัญแบบนี้  มันเป็นเพียงแค่วันสุดท้ายของเดือนก็เท่านั้นเอง ผมคงชินกับความสะเพร่า ขี้หลง ขี้ลืม ของผมเองมากไปหรือเปล่า เลยไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ พวกนี้

ครั้งหนึ่งตอนอายุประมาณสิบสองสิบสาม ตอนนั้นผมยังอาศัยอยู่กับครอบครัวที่ต่างจังหวัด มีอยู่วันหนึ่งผมลุกขึ้นมาแต่งชุดนักเรียนตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อจะรีบไปโรงเรียน เพราะการไปโรงเรียนแต่เช้าเท่ากับว่าผมมีเวลาได้เล่นกับเพื่อนๆ มากขึ้น ก่อนที่จะเข้าชั้นเรียน ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า รีบจัดเตรียมทุกอย่างให้เสร็จก่อนที่พ่อจะออกไปทำงานตอนหกโมงเช้า ตอนนั้นพ่อทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร พ่อเลยมักจะออกจากบ้านไปทำงานแต่เช้า ถ้าวันไหนผมเตรียมตัวไม่ทันพ่อออกจากบ้านตอนหกโมงเช้า แม่จะเป็นคนอาสาไปส่งผมกับน้องสาวที่โรงเรียนตอนเจ็ดโมงครึ่ง เนื่องจากแม่ได้ลาออกจากการเป็นครูอนุบาลเมื่อหลายปีก่อน เพราะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้การทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหวช่วงล่างทำงานได้ไม่ดีนัก ทุกวันนี้แม่ก็ยังต้องทำกายภาพบำบัดอยู่บ้างตามคำแนะนำของแพทย์ ตั้งแต่แม่ลาออกมาเป็นแม่บ้านอย่างเต็มตัว ไม่ว่าเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับผมและน้องสาว แม่ก็จะรับหน้าดูแลเป็นหลักไปโดยปริยาย รวมถึงการไปรับไปส่งที่โรงเรียนในตอนเช้า และตอนเย็นด้วย
ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นเรื่อยมา จนกระทั่งผมเพิ่งอยากออกไปกับพ่อในตอนเช้าเมื่อเทอมที่ผ่านมานี้เอง ดังนั้นทุกอย่างที่ผมจะเอาไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้น จะถูกตระเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อยก่อนเข้านอน เพื่อที่ว่าผมจะได้ไม่ต้องงุ่นง่านในตอนเช้าจนต้องอดเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ก่อนเข้าเรียน 

วันนั้นดูคล้ายจะเหมือนกับวันนี้ ผมนั่งรถไปกับพ่อตามปกติในตอนเช้า ไม่มีอะไรผิดสังเกต เพียงแต่พ่อถามผมก่อนขึ้นรถว่า

”วันนี้ไปทำอะไร”
“ไปเรียนครับ” ผมตอบ 
พ่อไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็คงไม่แปลกใจนัก พ่อคงคิดว่าผมอาจจะมีเรียนจริงๆ หรือมีกิจกรรมอื่นที่โรงเรียนก็เป็นได้
เพราะผมก็ไปโรงเรียนในวันหยุดออกจะบ่อย ต่างกันที่ในวันนี้ ไม่มีใครมาถามผมก่อนออกมาที่ทำงานก็เท่านั้นเอง 
ก่อนที่ผมจะลงจากรถ พ่อถามว่า “แม่ให้เงินมาหรือยัง” 

ผมพยักกหน้า แต่ไม่ได้พูดอะไร พลางปิดประตูรถ เมื่อพ่อออกรถไปแล้ว ผมรีบเดินเข้าไปในโรงเรียนผ่านประตูเล็กที่อยู่ด้านข้างป้ายชื่อโรงเรียนขนาดใหญ่ มุ่งตรงไปยังสนามเล็กๆ หลังอาคารเรียนหลังเก่าที่ใกล้จะถูกทุบทิ้ง บริเวณนี้เป็นพื้นที่สงบ ไม่ค่อยมีนักเรียนคนไหนผ่านมา รวมทั้งบรรดาอาจารย์ทั้งหลายก็ไม่เคยกล้ำกรายเข้ามาเลย จึงเป็นแหล่งกบดานชั้นดี ผมนั่งรอเพื่อนที่มักจะมาเล่นด้วยกันในตอนเช้าเป็นปกติ เรามักจะพูดวลีเด็ดติดปากเป็นที่รู้กันภายในกลุ่มว่า พรุ่งนี้ที่เก่าเวลาเดิม ก่อนกลับบ้าน

ผมนั่งรอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มีใครมา จึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ตอนนั้นเป็นเวลาเจ็ดโมงสิบนาทีแล้ว ผมมองที่หน้าปัดนาฬิกาบอกวันเป็นภาษาอังกฤษตัวอักษรหนา สีแดง ว่า SAT  ก่อนที่จะปล่อยข้อมือลงอย่างช้าๆ พลางสมองก็ประมวลผลในทันที ให้ผมยกมันขึ้นมาดูหน้าปัดนาฬิกาอีกรอบ วันเสาร์เหรอเนี่ย ผมอุทานในใจอยู่หลายรอบ เมื่อมั่นใจแล้วว่าผมจำวันผิด ผมมีทางเลือกในตอนนั้นอยู่สองทาง คือ หนึ่ง ติดต่อให้แม่มารับ หรือ อย่างที่สองปล่อยเลยตามเลย ผมเลือกอย่างหลัง โดยการไปแอบนอนเล่นอยู่ที่บ้านเพื่อนที่อยู่ใกล้โรงเรียน ทั้งยังเล่าเรื่องน่าอายของตัวเองให้ฟัง
เพื่อนๆ ขำกันใหญ่กับเรื่องตลกในเช้าวันนั้น รอจนกระทั่งตอนเย็นที่แม่มารับกลับบ้านตามปกติ เรื่องนี้ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ผมยังไม่เคยเล่าให้ที่บ้านฟังเลย 

เวลานี้คงไม่ต่างกัน ผมคงต้องเลือกว่าจะกลับคอนโด หรืออยู่ต่อที่ไหนสักแห่งก่อนจะถึงเวลากลับ ผมคงเป็นคนที่ทำตามสัญชาตญาณกระมัง เพราะผมเลือกอย่างหลังเช่นเคย แต่ใจกลางเมืองแบบนี้คงไม่มีบ้านเพื่อนคนไหนให้ผมไปนั่งเล่นนอนเล่นเป็นแน่ ผมจึงเดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามที่มีอาคารพาณิชย์เตี้ยๆ อยู่ประปราย มีร้านไม่มากนักเปิดให้บริการในวันนี้ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะบริเวณย่านธุรกิจใจกลางเมืองเช่นนี้ มักจะเป็นป่าช้าในวันหยุด โชคดีที่มีร้านกาแฟไม่มีชื่อเปิดให้บริการอยู่ ผมเลยได้ที่หลบมุม ก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะด้านในสุด ติดกับผนังที่ทำเหมือนอิฐบล็อกสีส้ม ทั้งร้านมีผมเป็นลูกค้าคนเดียว โอกาสดีๆ แบบนี้คงไม่มีอีกแล้ว ผมคิดในใจ การได้นั่งจิบกาแฟเงียบๆ พลางนั่งทำงานหรือคิดอะไรเพลินๆ คือความสุขที่ไม่มีอะไรแทนได้สำหรับผม แต่บ่อยครั้งผมก็ไม่สามารถเลือกบรรยากาศแบบนั้นได้ตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่ทุกอย่างเป็นใจ 

ผมนั่งขลุกอยู่ในร้านกาแฟไม่มีชื่อนี้ ตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยง ซึ่งก็มีลูกค้าขาจรแวะเวียนมาบ้าง ส่วนมากจะเข้ามาซื้อกาแฟแล้วเดินจากไป ไม่มีใครเลยที่นั่งแช่อย่างกับผม ผมเห็นพนักงานคนเดิมเดินเวียนมาทางโต๊ะที่ผมนั่งอยู่หลายต่อหลายรอบ เธอน่าจะเดินยืดเส้นยืดสายออกกำลังกายกระมัง ผมคิดเช่นนั้น ไม่อยากคิดว่าเธอเดินมากดดัน นั่นจะเป็นการมองเธอในแง่ร้ายเกินไป 

ผมฉุกคิดได้ว่าเมื่อเช้าก่อนออกมาทำงาน ผมเอาห่อหนังสือที่ซื้อทางออนไลน์ยัดใส่กระเป๋าทำงานมาด้วย ผมเลยหยิบมันขึ้นมาแกะดู จะว่าไปหนังสือที่อยู่ในห่อสีน้ำตาลนี้ น่าจะมาถึงผมหลายวันแล้ว มันห่ออย่างดีลงประทับตราไปรษณีย์เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ผมมักจะปล่อยมันไว้บนชั้นวางหนังสืออย่างนั้น ไม่แม้จะแกะออกดู ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหยิบมันใส่ลงในกระเป๋าทำงานเมื่อเช้า ขณะเดินเฉียดไปหยิบแล็ปท็อปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานด้านข้าง 

หนังสือด้านในมีสามเล่ม เล่มแรกเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์แอดวานซ์ ซึ่งเป็นงานโดยตรงของผม แต่ก็ขอพักไว้ก่อน น่าจะเป็นเล่มสุดท้ายที่ผมหยิบขึ้นมาอ่านเมื่อมีตัวเลือกอื่นอยู่ตรงหน้า ผมไม่หยิบมันออกมาจากห่อสีน้ำตาลด้วยซ้ำ ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ที่อาจจะใช้สัญชาตญาณในการทำงานมากไปหรือเปล่า เพราะว่าเพื่อนร่วมงานหรือแม้กระทั่งลูกค้าของบริษัทมักพูดกันเช่นนั้น ผมมาเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัทเร็กส์แห่งนี้ได้สองปีแล้ว ปีแรกที่ผมตัดสินใจมาทำงานที่นี่ ผมยังลังเลว่าผมจะทำงานจนครบปีหรือเปล่า แต่นี่ก็เลยจุดนั้นมาแล้ว เท่ากับว่าตอนนี้ในเรื่องงานค่อนข้างจะอยู่ตัว

(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่