กว่าแอดจะได้รีวิวคาดว่า หลายคนคงอ่านรีวิวจากเพจเจ้าอื่นที่ไปดูรอบสื่อหมดแล้วล่ะมั้ง
ฉะนั้นแอดจะรีวิวในฐานะแฟนตัวยง MCU และ คนที่ชื่นชอบสไปเดอร์แมนตั้งแต่เด็กๆ จากความรู้สึกที่ได้ชมภาคนี้ และลงรายละเอียดหนังนิดๆหน่อยๆ เพราะถ้าพูดอะไรเยอะก็ อาจสปอยไปหมด แอดจะเลี่ยง!!
เรื่องย่อไม่สปอย หลังจากการดีดนิ้วใน Endgame ปีเตอร์ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่ก็ต้องใช้ชีวิตในฐานะเพื่อนบ้านที่แสนดี ฮีโร่แมงมุมต่อไป
ที่ทำให้เขาและเพื่อนไปต้องตกอยู่ในอันตราย เขาต้องอยู่กับพลังที่ยิ่งใหญ่ และแบกความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่งเกินกว่าเด็กไฮสคูลคนนึงจะแบกรับ และต้องเป็นตัวแทนฮีโร่คนต่อไป ให้ประชาชนมีที่ยึดเหนี่ยว
หนังดำเนินเรื่องได้ดี อธิบายคำถามที่หลายคนคาใจได้รวดไว จนต้องอุทานว่า.. แบบเอายังงี้จริงอ่ะ!?!
และเชื่อว่าคุณๆ คงเห็นมีมหรือตามเพจช่วงที่แควินไฟกี หรือทอม ฮอลแลนด์พยามตอบคำถามแฟนๆแล้วล่ะ แล้วล่ะ ที่เขาล้อๆว่าจักรวาลมันมีรูโบ๋ๆ หลุมขนาดใหญ่
แน่นอน ไทม์ไลน์ในหนังมันคือเหตุการณ์หลังEndgame รู้สึกชอบนะที่หนังภาคนี้ไม่ค่อยไปทิศทางเศร้า หรืออาลัยอาวรณ์การจากไปของโทนี่มากไป แต่กลับปล่อยมุขมารัว ๆ สับๆๆ ให้ขำขันกับเหตุการณ์ที่ว่า
เหมือน MCU พยามบอกคนดูๆว่า คนที่จากไปแล้ว ก็จากไปแล้ว อย่ามัวอาลัยอาวรณ์กันอยู่ เราต้องเดินไปต่อนะ
ช่วงแรกของหนังมีความสดใส ล้างอารมณ์ค้างจากตอน Endgame
มันเหมือนเราดูหนังชีวิตวัยรุ่น หนังไฮสคูล ก๊วนเพื่อนตะลอนทริป กับรักวุ่นๆปีเตอร์ แบบพวก Breakfast Club ไม่ได้น่าเบื่อ ดูเพลินๆได้
ตัวหนังดำเนินเรื่องได้สนุกกว่าภาคแรก และชวนติดตาม รู้สึกได้ว่าไม่มีตอนไหนของหนังที่รู้สึกอยากหาว ทั้งโมเม้นท์ความรัก ส่งมุขแป๊กบ้างไม่แป๊กบ้าง ไม่มีอะไรน่าเบื่อเลย แบบอยากเห็นซีนแบบนี้เยอะๆด้วยซ้ำ
แถมฉากแอ็คชั่นภาคนี้ ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ตื่นตา ดูสนุกมากก..
หนังสามารถนำเสนอการต่อสู้สไตล์แมงมุมได้โคตรเท่ และโอเครด้านมุมภาพ แม้ว่าบางช็อต จะสู้มันส์จนดูไม่ทันบ้างก็ตาม(เอฟเฟคมันเยอะ ตายลาย)
ปีเตอร์ใช้ความฉลาดประยุกต์กับการต่อสู้ ดูๆแล้วก็ชวนคิดถึงสตาร์ค เท่ดี
ภาคนี้ ปีเตอร์ ตัวละครนำ เริ่มมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เห็นได้จากความคิดหรือการกระทำ
ซึ่งสวนทางกับภาคแรก (แบบเมื่อก่อนอยากเข้าอเวนเจอร์ แต่ตอนนี้กลับทวงชีวิตวัยรุ่น)
สไปดี้ภาคนี้เล่นแง่คล้ายๆภาค2 ฉบับโทบี้แม็คไกวร์
คือจะเป็นตัวเอง หรือเป็นในทางที่คนอื่นอยากให้เป็น
มันก็สอนผู้ใหญ่เราๆได้อย่างนึง จากข่าวดังๆดาราเด็ก MCUช่วงนี้ คือ อย่าคาดหวังอะไรกับเด็กจนเขาไม่มีชีวิตตัวเอง
แต่แน่นอน ถ้าเมื่อใดเด็กเลือกเดินเส้นทางชีวิตมาถึงจุดสูงสุด ณ จุดๆนึงแล้ว ก็ต้องยอมเสียสละชีวิตส่วนตัว
แต่ปีเตอร์ฉบับนี้ ไม่ได้ชีวิตหมองหม่น กรรมซัด ชีวิตรักพังขนาดแบบของโทบี้ ก็แค่เด็กวัยรุ่นคนนึงอยากมีชีวิตธรรมดา
หนังค่อนข้างเซอร์ไพรส์หลายๆจุด และเดาทางอะไรไม่ออกเลย ว่าMCUจะให้หนังภาคนี้ไปทางไหน เหมือนใช้ประเด็นเล่นแง่ความจริง ไหนจริงไหนเท็จ จนคนดูไม่มีทางคาดเดาเนื้อเรื่องได้
ตัวร้ายภาคนี้เเป็นสิ่งทีาเห็นแตาก็มองไม่เห็น โอ้ยร้าววว
ตัวอย่างก็ตัดหลอกบางซีนก็ไม่มีในหนังจริง
แม้แต่End credit ก็คาดเดาอะไรไม่ได้ แต่ก็โคตรเซอร์ไพร์สทั้งสองตัว
มีสองตัวนะ
credit ตัวแรกจะเน้นจริงจัง ปูอนาคตแมงมุม
ตัวที่สองเอาฮา แต่ก็ทำคนดูแฟนๆเหวอได้ แฟนตัวจริงดูให้จบนะ
สรุปรวม.. เป็นหนังสไปดี้ฉบับที่สนุกอีกภาค ที่นอกจากความตระการตาด้านแอ็คชั่น แต่ยังเต็มไปด้วยโรแมนติกคอมเมดี้ไฮสคูล
ด้วยเหตุนี้ หนัง สไปดี้ Far From Homeภาคนี้ จึงเป็นภาคที่สนุก และแอดยกให้เป็นอันดับสอง รองจาก Spider-Man 2 ของแซมไรมี่ ในบรรดาหนังแมงมุมคนแสดงที่เคยมีมา และก็ชอบเป็นอันดับสองเช่นกันในจักรวาลหนัง MCU รองจาก Endgame
ฝากเพจ แถวCตีตั๋ว ด้วยครับ..
https://www.facebook.com/teawCteetua/
รีวิว Spider-Man Far From Home (ดูภาค3ต่อเลย...ได้มั้ย)
กว่าแอดจะได้รีวิวคาดว่า หลายคนคงอ่านรีวิวจากเพจเจ้าอื่นที่ไปดูรอบสื่อหมดแล้วล่ะมั้ง
ฉะนั้นแอดจะรีวิวในฐานะแฟนตัวยง MCU และ คนที่ชื่นชอบสไปเดอร์แมนตั้งแต่เด็กๆ จากความรู้สึกที่ได้ชมภาคนี้ และลงรายละเอียดหนังนิดๆหน่อยๆ เพราะถ้าพูดอะไรเยอะก็ อาจสปอยไปหมด แอดจะเลี่ยง!!
เรื่องย่อไม่สปอย หลังจากการดีดนิ้วใน Endgame ปีเตอร์ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่ก็ต้องใช้ชีวิตในฐานะเพื่อนบ้านที่แสนดี ฮีโร่แมงมุมต่อไป
ที่ทำให้เขาและเพื่อนไปต้องตกอยู่ในอันตราย เขาต้องอยู่กับพลังที่ยิ่งใหญ่ และแบกความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่งเกินกว่าเด็กไฮสคูลคนนึงจะแบกรับ และต้องเป็นตัวแทนฮีโร่คนต่อไป ให้ประชาชนมีที่ยึดเหนี่ยว
หนังดำเนินเรื่องได้ดี อธิบายคำถามที่หลายคนคาใจได้รวดไว จนต้องอุทานว่า.. แบบเอายังงี้จริงอ่ะ!?!
และเชื่อว่าคุณๆ คงเห็นมีมหรือตามเพจช่วงที่แควินไฟกี หรือทอม ฮอลแลนด์พยามตอบคำถามแฟนๆแล้วล่ะ แล้วล่ะ ที่เขาล้อๆว่าจักรวาลมันมีรูโบ๋ๆ หลุมขนาดใหญ่
แน่นอน ไทม์ไลน์ในหนังมันคือเหตุการณ์หลังEndgame รู้สึกชอบนะที่หนังภาคนี้ไม่ค่อยไปทิศทางเศร้า หรืออาลัยอาวรณ์การจากไปของโทนี่มากไป แต่กลับปล่อยมุขมารัว ๆ สับๆๆ ให้ขำขันกับเหตุการณ์ที่ว่า
เหมือน MCU พยามบอกคนดูๆว่า คนที่จากไปแล้ว ก็จากไปแล้ว อย่ามัวอาลัยอาวรณ์กันอยู่ เราต้องเดินไปต่อนะ
ช่วงแรกของหนังมีความสดใส ล้างอารมณ์ค้างจากตอน Endgame
มันเหมือนเราดูหนังชีวิตวัยรุ่น หนังไฮสคูล ก๊วนเพื่อนตะลอนทริป กับรักวุ่นๆปีเตอร์ แบบพวก Breakfast Club ไม่ได้น่าเบื่อ ดูเพลินๆได้
ตัวหนังดำเนินเรื่องได้สนุกกว่าภาคแรก และชวนติดตาม รู้สึกได้ว่าไม่มีตอนไหนของหนังที่รู้สึกอยากหาว ทั้งโมเม้นท์ความรัก ส่งมุขแป๊กบ้างไม่แป๊กบ้าง ไม่มีอะไรน่าเบื่อเลย แบบอยากเห็นซีนแบบนี้เยอะๆด้วยซ้ำ
แถมฉากแอ็คชั่นภาคนี้ ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ตื่นตา ดูสนุกมากก..
หนังสามารถนำเสนอการต่อสู้สไตล์แมงมุมได้โคตรเท่ และโอเครด้านมุมภาพ แม้ว่าบางช็อต จะสู้มันส์จนดูไม่ทันบ้างก็ตาม(เอฟเฟคมันเยอะ ตายลาย)
ปีเตอร์ใช้ความฉลาดประยุกต์กับการต่อสู้ ดูๆแล้วก็ชวนคิดถึงสตาร์ค เท่ดี
ภาคนี้ ปีเตอร์ ตัวละครนำ เริ่มมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เห็นได้จากความคิดหรือการกระทำ
ซึ่งสวนทางกับภาคแรก (แบบเมื่อก่อนอยากเข้าอเวนเจอร์ แต่ตอนนี้กลับทวงชีวิตวัยรุ่น)
สไปดี้ภาคนี้เล่นแง่คล้ายๆภาค2 ฉบับโทบี้แม็คไกวร์
คือจะเป็นตัวเอง หรือเป็นในทางที่คนอื่นอยากให้เป็น
มันก็สอนผู้ใหญ่เราๆได้อย่างนึง จากข่าวดังๆดาราเด็ก MCUช่วงนี้ คือ อย่าคาดหวังอะไรกับเด็กจนเขาไม่มีชีวิตตัวเอง
แต่แน่นอน ถ้าเมื่อใดเด็กเลือกเดินเส้นทางชีวิตมาถึงจุดสูงสุด ณ จุดๆนึงแล้ว ก็ต้องยอมเสียสละชีวิตส่วนตัว
แต่ปีเตอร์ฉบับนี้ ไม่ได้ชีวิตหมองหม่น กรรมซัด ชีวิตรักพังขนาดแบบของโทบี้ ก็แค่เด็กวัยรุ่นคนนึงอยากมีชีวิตธรรมดา
หนังค่อนข้างเซอร์ไพรส์หลายๆจุด และเดาทางอะไรไม่ออกเลย ว่าMCUจะให้หนังภาคนี้ไปทางไหน เหมือนใช้ประเด็นเล่นแง่ความจริง ไหนจริงไหนเท็จ จนคนดูไม่มีทางคาดเดาเนื้อเรื่องได้
ตัวร้ายภาคนี้เเป็นสิ่งทีาเห็นแตาก็มองไม่เห็น โอ้ยร้าววว
ตัวอย่างก็ตัดหลอกบางซีนก็ไม่มีในหนังจริง
แม้แต่End credit ก็คาดเดาอะไรไม่ได้ แต่ก็โคตรเซอร์ไพร์สทั้งสองตัว
มีสองตัวนะ
credit ตัวแรกจะเน้นจริงจัง ปูอนาคตแมงมุม
ตัวที่สองเอาฮา แต่ก็ทำคนดูแฟนๆเหวอได้ แฟนตัวจริงดูให้จบนะ
สรุปรวม.. เป็นหนังสไปดี้ฉบับที่สนุกอีกภาค ที่นอกจากความตระการตาด้านแอ็คชั่น แต่ยังเต็มไปด้วยโรแมนติกคอมเมดี้ไฮสคูล
ด้วยเหตุนี้ หนัง สไปดี้ Far From Homeภาคนี้ จึงเป็นภาคที่สนุก และแอดยกให้เป็นอันดับสอง รองจาก Spider-Man 2 ของแซมไรมี่ ในบรรดาหนังแมงมุมคนแสดงที่เคยมีมา และก็ชอบเป็นอันดับสองเช่นกันในจักรวาลหนัง MCU รองจาก Endgame
ฝากเพจ แถวCตีตั๋ว ด้วยครับ..
https://www.facebook.com/teawCteetua/