ปู่ของเราเป็นคนที่ แข็งแรงมากๆคนนึง อายุ 72 แล้ว แต่แทบจะไม่มีอาการป่วยไข้ให้เห็นเลย
ปู่เป็นคนชอบเดินออกกำลังกาย เดินเล่นรอบอำเภอวันๆนึงก็เป็นกิโลฯ
ด้วยความแข็งแรงขนาดนี้แหละทำให้คุณย่าชอบขอร้องคุณปู่เป็นประจำ ทั้งไปตลาด ซื้อของกิน ซื้อขนม ทั้งยกของ อะไรก็แล้วแต่ที่คุณย่าทำไม่ได้คุณปู่จะเป็นคนทำให้ตลอด
อาการปวดหลังของปู่เริ่มจากการที่ปู่ไปยกของ แล้วยกผิดท่ายกของหนัก ปวดหัวเข้าใจมาตลอดว่าตัวเอง
เป็นแค่หลังยอกธรรมดา กินยาก็หาย
แต่สุดท้ายกินยาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที กินยาทุกขนานที่คนในบ้านเคยกิน ที่มั่นใจว่ากินแล้วหาย
สุดท้ายก็ยังไม่หาย
หลังจากนั้นก็เริ่มมีอาการเบื่ออาหาร ไม่ถ่าย กินอาหารน้อยลง จนคนในบ้านพี่ป้าน้าอา เห็นจนผิดสังเกต เราก็เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน เนื่องจากเราก็แจ้งคุณหมอไปว่าเรามีอาการ "เบื่ออาหาร ขับถ่ายไม่ปกติ ปวดหลัง" คุณหมอก็เลยอัลตร้าซาวด์ แต่มองไม่ค่อยเห็นเพราะมี อุจจาระเยอะ คุณหมอถึงให้ยามาสวนทวารเพื่อให้ขับถ่ายได้ตามปกติแล้วค่อยกลับไปอัลตร้าซาวน์ใหม่ในวันรุ่งขึ้น
หลังจากอัลตร้าซาวด์รอบที่ 2 ทำให้รู้ว่า
มีอาการผิดปกติที่ตับ แต่การอัลตร้าซาวด์ มันไม่ชัดเจนเท่ากันเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ คุณหมอต้องทำได้เพียงแค่คาดการณ์ว่า อาจจะเป็นมะเร็ง หรือเป็นเพียงแค่ความผิดปกติที่ตับก็เป็นได้ ทางคุณหมอก็เลยแนะนำให้ตรวจละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง คุณปู่และคุณย่าเลยตัดสินใจที่จะไม่เข้ารับการรักษา และไปใช้สิทธิ์โรงพยาบาลรัฐบาลที่คุณปู่มีสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาล
ตรงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้น
เริ่มพยายามหาโรงพยาบาลของรัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคมะเร็ง คุณอาเสนอให้ไปโรงพยาบาลรามา แต่บังเอิญว่าเป็นวันเสาร์ ที่มีแต่
พรีเมี่ยมเปิดให้บริการ แถมต้องทำนัดไว้ก่อนเท่านั้น กว่าจะได้ตรวจจริงๆก็อีกสัปดาห์นึง ทางครอบครัวจึงตัดสินใจแค่ว่า ลงทะเบียนประวัติผู้ป่วยไว้ก่อนแล้วค่อยมาทำนัดเข้ารับการรักษาใหม่แบบปกติในวันจันทร์แทน
เพราะว่า ส่วนงานพรีเมี่ยม ไม่สามารถเบิกจ่ายใช้สิทธิ์รัฐวิสาหกิจได้เลย และต้องทำนัดรอติดต่อแพทย์ผ่ายอายุรกรรม
เมื่อมาถึงวันจันทร์
คุณปู่มีอาการไม่ค่อยดี เลยขอเข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลประจำที่คุณปู่เคยสังกัดเป็นพนักงานอยู่ คุณหมอเห็นอาการไม่ดีเลยให้แอดมิด เพื่อรอดูอาการเพิ่มเติม ประกอบกับคุณหมอเห็นว่า มีผลการรักษาจากโรงพยาบาลเอกชนเดิมอยู่ก่อนแล้วด้วย คุณหมอเลยให้คุณปู่ทำการเอ็กซเรย์แล้วเจาะเลือดเพิ่มเติมเพื่อระบุโรคให้ขัดเจนมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่รู้ว่าคุณหมอให้ตรวจเพิ่มเติม คุณยายก็เลยโทรมาหาเรา เล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟังทั้งหมด เราก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็พอคุ้นๆว่า เห็นตึกสถาบันมะเร็งแห่งชาติของโรงพยาบาลรามาธิบดี เราก็เลยลอง search google เกี่ยวกับมะเร็งของโรงพยาบาลรามา ก็เลยพบหน่วยงานนี้
เราก็เลยโทรไปขอคำปรึกษา ว่าจะเข้ารับการรักษามะเร็งอย่างไรบ้าง โดยเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลเอกชน จนถึงได้รับการวินิจฉัยโรคจากโรงพยาบาลที่คุณปู่สังกัดอยู่
ตรงนี้คือจุดที่สำคัญมาก เพิ่งรู้ตอนที่โทรไปหาเจ้าหน้าที่ นี่แหละ
เราขอเล่าตามความเข้าใจของเรานะ... เนื่องจากคุณปู่เราได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำนัด เพื่อพบแพทย์อายุรกรรมเพื่อวินิจฉัยโรคตามขั้นตอนครั้งแรกที่มาคลินิกพรีเมี่ยม
เราสามารถทำนัดเพื่อขอรับการรักษา โดยนำเอกสารต่อไปนี้มาให้พร้อม
1. บัตรประจำคนไข้ (โชคดีที่เรามาทำตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ คุณปู่เลยไม่ต้องมารอคิว ทำประวัติผู้ป่วยใหม่ )
2. ใบวินิจฉัยโรค
3. เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อาทิเช่น ผลเอกซเรย์ ผลอัลตร้าซาวด์ ผลเลือด เป็นต้น
***ถ้ามีบัตรประจำตัวคนไข้แล้ว ทางญาติสามารถมาทำหน้าที่แทนคนไข้ได้เลย
ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ให้ข้อมูลเป็นอย่างดี และหลังจากที่มาทำนัดแล้ว
เราได้คิวเป็นวันรุ่งขึ้นเลย รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรกทำใจไว้แล้วว่าจะต้องรอนานกว่านี้ด้วยซ้ำ
***ใช้เวลาวันนี้ที่โรงพยาบาลรามาทั้งหมด 1 ชั่วโมง โดยดำเนินการติดต่อแค่ 15 นาที แต่ใช้เวลานำผลอัลตร้าซาวน์และเอ็กเรย์ไปให้ฝ่ายเอกซเรย์ทำการบันทึกลงบนระบบของโรงพยาบาลรามาประมาณ 45 นาที (คิวมันค่อนข้างเยอะ เอกสารเยอะ อันนี้เข้าใจได้)
สรุป
สำหรับผู้สูงอายุ อาการเจ็บไข้เล็กๆน้อยๆถ้าเป็นอาการเรื้อรังก็ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด จะได้รักษาได้ทันท่วงที
สำหรับคนที่เป็นมะเร็ง การที่เรามีใบวินิจฉัยโรคแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปฝ่ายอายุรกรรมก่อน ทำให้ลดระยะเวลา ในการทำนัดเพื่อขอเข้ารับการรักษาได้
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นภายในวันเสาร์ที่ผ่านมา 29.6.2562 เราก็ไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูลไม่รู้ว่าที่เข้าใจถูกหรือผิด ถ้ามีคนที่เคยมีประสบการณ์มาเห็นโพสต์นี้ ผมขอคำแนะนำด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
โรคภัยไข้เจ็บของคนแก่ จากแค่ปวดหลังกลายเป็น "มะเร็ง"
ปู่เป็นคนชอบเดินออกกำลังกาย เดินเล่นรอบอำเภอวันๆนึงก็เป็นกิโลฯ
ด้วยความแข็งแรงขนาดนี้แหละทำให้คุณย่าชอบขอร้องคุณปู่เป็นประจำ ทั้งไปตลาด ซื้อของกิน ซื้อขนม ทั้งยกของ อะไรก็แล้วแต่ที่คุณย่าทำไม่ได้คุณปู่จะเป็นคนทำให้ตลอด
อาการปวดหลังของปู่เริ่มจากการที่ปู่ไปยกของ แล้วยกผิดท่ายกของหนัก ปวดหัวเข้าใจมาตลอดว่าตัวเอง เป็นแค่หลังยอกธรรมดา กินยาก็หาย
แต่สุดท้ายกินยาเท่าไหร่ก็ไม่หายสักที กินยาทุกขนานที่คนในบ้านเคยกิน ที่มั่นใจว่ากินแล้วหาย สุดท้ายก็ยังไม่หาย
หลังจากนั้นก็เริ่มมีอาการเบื่ออาหาร ไม่ถ่าย กินอาหารน้อยลง จนคนในบ้านพี่ป้าน้าอา เห็นจนผิดสังเกต เราก็เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้าน เนื่องจากเราก็แจ้งคุณหมอไปว่าเรามีอาการ "เบื่ออาหาร ขับถ่ายไม่ปกติ ปวดหลัง" คุณหมอก็เลยอัลตร้าซาวด์ แต่มองไม่ค่อยเห็นเพราะมี อุจจาระเยอะ คุณหมอถึงให้ยามาสวนทวารเพื่อให้ขับถ่ายได้ตามปกติแล้วค่อยกลับไปอัลตร้าซาวน์ใหม่ในวันรุ่งขึ้น
หลังจากอัลตร้าซาวด์รอบที่ 2 ทำให้รู้ว่า มีอาการผิดปกติที่ตับ แต่การอัลตร้าซาวด์ มันไม่ชัดเจนเท่ากันเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ คุณหมอต้องทำได้เพียงแค่คาดการณ์ว่า อาจจะเป็นมะเร็ง หรือเป็นเพียงแค่ความผิดปกติที่ตับก็เป็นได้ ทางคุณหมอก็เลยแนะนำให้ตรวจละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง คุณปู่และคุณย่าเลยตัดสินใจที่จะไม่เข้ารับการรักษา และไปใช้สิทธิ์โรงพยาบาลรัฐบาลที่คุณปู่มีสิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาล
ตรงนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้น
เริ่มพยายามหาโรงพยาบาลของรัฐอย่างจริงจัง โดยเฉพาะที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคมะเร็ง คุณอาเสนอให้ไปโรงพยาบาลรามา แต่บังเอิญว่าเป็นวันเสาร์ ที่มีแต่ พรีเมี่ยมเปิดให้บริการ แถมต้องทำนัดไว้ก่อนเท่านั้น กว่าจะได้ตรวจจริงๆก็อีกสัปดาห์นึง ทางครอบครัวจึงตัดสินใจแค่ว่า ลงทะเบียนประวัติผู้ป่วยไว้ก่อนแล้วค่อยมาทำนัดเข้ารับการรักษาใหม่แบบปกติในวันจันทร์แทน เพราะว่า ส่วนงานพรีเมี่ยม ไม่สามารถเบิกจ่ายใช้สิทธิ์รัฐวิสาหกิจได้เลย และต้องทำนัดรอติดต่อแพทย์ผ่ายอายุรกรรม
เมื่อมาถึงวันจันทร์
คุณปู่มีอาการไม่ค่อยดี เลยขอเข้ารับการรักษา ที่โรงพยาบาลประจำที่คุณปู่เคยสังกัดเป็นพนักงานอยู่ คุณหมอเห็นอาการไม่ดีเลยให้แอดมิด เพื่อรอดูอาการเพิ่มเติม ประกอบกับคุณหมอเห็นว่า มีผลการรักษาจากโรงพยาบาลเอกชนเดิมอยู่ก่อนแล้วด้วย คุณหมอเลยให้คุณปู่ทำการเอ็กซเรย์แล้วเจาะเลือดเพิ่มเติมเพื่อระบุโรคให้ขัดเจนมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่รู้ว่าคุณหมอให้ตรวจเพิ่มเติม คุณยายก็เลยโทรมาหาเรา เล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้ฟังทั้งหมด เราก็รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็พอคุ้นๆว่า เห็นตึกสถาบันมะเร็งแห่งชาติของโรงพยาบาลรามาธิบดี เราก็เลยลอง search google เกี่ยวกับมะเร็งของโรงพยาบาลรามา ก็เลยพบหน่วยงานนี้
เราก็เลยโทรไปขอคำปรึกษา ว่าจะเข้ารับการรักษามะเร็งอย่างไรบ้าง โดยเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลเอกชน จนถึงได้รับการวินิจฉัยโรคจากโรงพยาบาลที่คุณปู่สังกัดอยู่
ตรงนี้คือจุดที่สำคัญมาก เพิ่งรู้ตอนที่โทรไปหาเจ้าหน้าที่ นี่แหละ
เราขอเล่าตามความเข้าใจของเรานะ... เนื่องจากคุณปู่เราได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำนัด เพื่อพบแพทย์อายุรกรรมเพื่อวินิจฉัยโรคตามขั้นตอนครั้งแรกที่มาคลินิกพรีเมี่ยม เราสามารถทำนัดเพื่อขอรับการรักษา โดยนำเอกสารต่อไปนี้มาให้พร้อม
1. บัตรประจำคนไข้ (โชคดีที่เรามาทำตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ คุณปู่เลยไม่ต้องมารอคิว ทำประวัติผู้ป่วยใหม่ )
2. ใบวินิจฉัยโรค
3. เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อาทิเช่น ผลเอกซเรย์ ผลอัลตร้าซาวด์ ผลเลือด เป็นต้น
***ถ้ามีบัตรประจำตัวคนไข้แล้ว ทางญาติสามารถมาทำหน้าที่แทนคนไข้ได้เลย
ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ให้ข้อมูลเป็นอย่างดี และหลังจากที่มาทำนัดแล้ว
เราได้คิวเป็นวันรุ่งขึ้นเลย รู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก ตอนแรกทำใจไว้แล้วว่าจะต้องรอนานกว่านี้ด้วยซ้ำ
***ใช้เวลาวันนี้ที่โรงพยาบาลรามาทั้งหมด 1 ชั่วโมง โดยดำเนินการติดต่อแค่ 15 นาที แต่ใช้เวลานำผลอัลตร้าซาวน์และเอ็กเรย์ไปให้ฝ่ายเอกซเรย์ทำการบันทึกลงบนระบบของโรงพยาบาลรามาประมาณ 45 นาที (คิวมันค่อนข้างเยอะ เอกสารเยอะ อันนี้เข้าใจได้)
สรุป
สำหรับผู้สูงอายุ อาการเจ็บไข้เล็กๆน้อยๆถ้าเป็นอาการเรื้อรังก็ควรไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด จะได้รักษาได้ทันท่วงที
สำหรับคนที่เป็นมะเร็ง การที่เรามีใบวินิจฉัยโรคแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปฝ่ายอายุรกรรมก่อน ทำให้ลดระยะเวลา ในการทำนัดเพื่อขอเข้ารับการรักษาได้
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นภายในวันเสาร์ที่ผ่านมา 29.6.2562 เราก็ไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูลไม่รู้ว่าที่เข้าใจถูกหรือผิด ถ้ามีคนที่เคยมีประสบการณ์มาเห็นโพสต์นี้ ผมขอคำแนะนำด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
ขอบคุณล่วงหน้าครับ