สร้างนิสัยใหม่มาแทนที่นิสัยเก่า จึงจะแก้นิสัยเก่าได้
สมมติว่า เรากำลังปฏิบัติอรหันตมรรค กำลังจะบรรลุอรหันตผล แล้วเราเกิดตัวอหังการขึ้นมาก็จะกลายเป็นเชือกมีปม ก็ผ่านรูเข็มไม่ได้ เราทำได้แต่รักษาไม่ได้ เราจะเป็นอรหันตผลได้อย่างไร เรารู้ทุกอย่าง ตัดกิเลสเป็นอย่างนี้ แต่เราไปล่อหลังบ้านเขาเลย ทำให้เรารักษาไม่อยู่ แล้วเราจะทำได้มั้ย ก็จบ ทำไม่ได้ อรหันตมรรคถึงจุดไหนก็เหอะ ก็กลิ้งลงมาเหมือนหมาเยอะแยะ อยู่ที่เรารักษาอยู่ได้หรือไม่
เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ เรารู้แล้วว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ดี เราจะเอาถอนออก จะเอาตัวนิสัยที่ไม่ดีออก พอเราเรียนรู้ว่าจะเอาออก (นิสัยไม่ดี) เราต้องรู้ว่าอะไรที่จะมาแทน (นิสัยใหม่) ถ้าเราไม่รู้ ณ จุดนี้ กลายเป็นรูโบ๋ทันที มันเคว้งคว้าง
เหมือนกับเราว่ายน้ำอยู่ในแม่น้ำ ในมือของเรามีหมาเน่าอยู่ เราจะปล่อยหมาเน่า เราต้องรู้ว่าจะมีอะไรมาเกาะแทนที่หมาเน่า ถ้าเราไม่มีก็เคว้งคว้าง พอเราเคว้งคว้างก็จะมีตัวเซียม (ยุแหย่) มาเซียมเราเลย เราก็จะทิ้งไม่ลง นี่เป็นเทคนิคที่จะเอานิสัยที่ไม่ดีออก
คนเยอะเลยที่จะเอาสิ่งที่ไม่ดีออก (นิสัยเก่าที่แย่ๆ) แต่ไม่หาสิ่งทดแทนเอาไว้ (นิสัยใหม่) จึงเป็นไม่ได้เลยที่จะเอาออก เพราะเป็นกฎแห่งธรรม เพราะจริตแห่งสัตว์โลกเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น เราจะต้องเอาออก จะต้องมีสิ่งสรณะใหม่ (ที่ยึดเหนี่ยว ที่พึ่ง) ถ้าไม่มีสิ่งสรณะใหม่หามาทดแทน มีแรงสามารถเท่ากับของเก่าแล้ว (นิสัยเก่า) เราก็จะไม่กล้าปล่อยมือหรอก ทำไมครูบาอาจารย์จึงบอกให้หมั่นทำ หมั่นฟัง คิด ถาม เขียน (สุ.จิ.ปุ.ลิ) ต้องรีบทำค่าของตัวนี้ขึ้นมา (นิสัยใหม่)
เหมือนกับนิสัยตัวเก่าของเรา ถ้าเราไม่มีนิสัยตัวใหม่เพียงพอ เราจะกล้าปล่อยนิสัยตัวเก่ามั้ย? เราก็จะไม่กล้า เพราะเป็นกฎแห่งธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าไม่เชื่อเราลองเอามือข้างขวาไปจับสิ่งของอยู่ เรายืนอยู่ตรงนี้ต้องอาศัยจับอยู่ตรงนี้ จับตรงนี้แล้ว ถ้าหากว่าเราจะไปจับตรงโน้นอีก แต่ตรงโน้นไม่มีที่ให้จับที่มั่นคงเราจะกล้าปล่อยมือมั้ย
ทำไมครูบาอาจารย์ต้องจี้ให้ทำ ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องพยายามชี้ให้ทำ แล้วบางคนบอกว่า ฉันทำดีแล้วนะ แล้วทำไมบอกว่ายังไม่ดี เพราะว่ายังไม่มั่นคง ฉะนั้น เราต้องรีบทำตรงนี้ให้มั่นคง ตรงนั้นถึงจะกล้าปล่อยจริง ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะจับทั้งสองอย่างนี้ พอจับสองอย่างนี้ อะไรไหวหน่อย จริตของเราก็จะเอาตัวนี้อีกแล้ว ด้วยแรงแห่งจริตที่ไม่ดีแรงกว่า เราก็จะเอาจริตที่ไม่ดีตัวนี้ เพราะเราสร้างมา เพราะเราเคยชินกับตรงนี้ เราจึงต้องเสร็จอยู่เรื่อย ทำไมของเก่า (นิสัยเก่า) จึงโผล่ขึ้นมา ทำไมตัวใหม่ (นิสัยใหม่) ที่เราเรียนมาแทบตาย ไม่ได้ใช้อีกแล้ว ไม่ได้ใช้บ่อยจนเกิดความเคยชินกว่า
สิ่งที่ไม่ดีเป็นนิสัยแล้ว เราต้องทำนิสัยที่ดีใหม่นี้ให้เป็นนิสัยเช่นเดียวกัน มีค่าเท่ากัน กำลังเท่ากัน มาปุ๊บ ตัวนี้ก็วิ่งเหมือนกัน เราถึงจะไปทำได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ตัวนี้ก็จะแซงหน้าไปก่อนทุกที เราลองไปดูบางคน รู้ทั้งรู้ แต่พอถึงคราวจะทำ แต่ทำไมทำไม่ได้สักที ตัวนั้นโผล่ขึ้นมาอีกแล้ว เสร็จมันอีกแล้ว เพราะแรงเขาดีกว่า
บางคนจึงเข้าใจผิดว่า ต้องมาบังคับ ทำไมต้องมาเคี่ยวเข็ญ ทำไมต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำตัวนี้ให้เป็นนิสัยที่แข็งแรง เป็นไปไม่ได้ที่เราจะปล่อยมือตัวนี้ (ตัวที่ไม่ดี) พอเราไม่มีความรู้ ตัวนิสัยก่อนออกมาทำงานทุกครั้งไป เรียนมาเสียเปล่าประโยชน์ คือ เรียนไปเยอะแยะแต่เวลาจะใช้จริงๆ ใช้ไม่ได้ล่ะ ตัวนั้นมันโผล่มาทันที นี่แหละคือสาเหตุว่าเราเรียนรู้แล้ว แต่ทำไมเราทำไม่ได้สักที ทำไมเราต้องติดเป็นกี่ชาติๆ ยังแก้ไม่ได้ เพราะว่าเราทำตัวใหม่ (นิสัยใหม่ที่ดี) ไม่แรงพอ พอไม่แรงพอค่ามันอ่อนกว่า ตัวนี้ (นิสัยเก่า) ก็จะเร็วกว่า แรงกว่า เพราะเราเคยติด ทำไมเรามีนิสัยตัวนี้ เพราะเราให้สิทธิ์เขาตลอด นิสัยเก่าจึงบ่งการเราได้ เวลาที่ว่ายังไม่คับขัน เวลาที่ไม่เห็น เราใช้จิตสำนึกควบคุม (ก็ไม่เห็นเป็นไร) แต่เวลาเจอจริงปั้บ แรงแห่งจิตใต้สำนึกดันพุ่งเลย ทำก่อนเลย เสร็จอีกแล้ว แพ้อีกแล้ว มีตัวอย่างมากมายว่าทำไมถึงแพ้ คนที่เขารู้ดีหมด แต่ทำไมถึงแพ้ เพราะว่าตัวนี้พุ่งออกมาบ่งการ จบเลย พลาดเลย นี่แหละเป็นที่มาของคำว่า รู้ทั้งรู้แต่ก็ทำไม่ได้ ตัวนั้นโผล่ขึ้นมาลองคิดดู
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
สร้างนิสัยใหม่มาแทนที่นิสัยเก่า จึงจะแก้นิสัยเก่าได้
สมมติว่า เรากำลังปฏิบัติอรหันตมรรค กำลังจะบรรลุอรหันตผล แล้วเราเกิดตัวอหังการขึ้นมาก็จะกลายเป็นเชือกมีปม ก็ผ่านรูเข็มไม่ได้ เราทำได้แต่รักษาไม่ได้ เราจะเป็นอรหันตผลได้อย่างไร เรารู้ทุกอย่าง ตัดกิเลสเป็นอย่างนี้ แต่เราไปล่อหลังบ้านเขาเลย ทำให้เรารักษาไม่อยู่ แล้วเราจะทำได้มั้ย ก็จบ ทำไม่ได้ อรหันตมรรคถึงจุดไหนก็เหอะ ก็กลิ้งลงมาเหมือนหมาเยอะแยะ อยู่ที่เรารักษาอยู่ได้หรือไม่
เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ เรารู้แล้วว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งไม่ดี เราจะเอาถอนออก จะเอาตัวนิสัยที่ไม่ดีออก พอเราเรียนรู้ว่าจะเอาออก (นิสัยไม่ดี) เราต้องรู้ว่าอะไรที่จะมาแทน (นิสัยใหม่) ถ้าเราไม่รู้ ณ จุดนี้ กลายเป็นรูโบ๋ทันที มันเคว้งคว้าง
เหมือนกับเราว่ายน้ำอยู่ในแม่น้ำ ในมือของเรามีหมาเน่าอยู่ เราจะปล่อยหมาเน่า เราต้องรู้ว่าจะมีอะไรมาเกาะแทนที่หมาเน่า ถ้าเราไม่มีก็เคว้งคว้าง พอเราเคว้งคว้างก็จะมีตัวเซียม (ยุแหย่) มาเซียมเราเลย เราก็จะทิ้งไม่ลง นี่เป็นเทคนิคที่จะเอานิสัยที่ไม่ดีออก
คนเยอะเลยที่จะเอาสิ่งที่ไม่ดีออก (นิสัยเก่าที่แย่ๆ) แต่ไม่หาสิ่งทดแทนเอาไว้ (นิสัยใหม่) จึงเป็นไม่ได้เลยที่จะเอาออก เพราะเป็นกฎแห่งธรรม เพราะจริตแห่งสัตว์โลกเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น เราจะต้องเอาออก จะต้องมีสิ่งสรณะใหม่ (ที่ยึดเหนี่ยว ที่พึ่ง) ถ้าไม่มีสิ่งสรณะใหม่หามาทดแทน มีแรงสามารถเท่ากับของเก่าแล้ว (นิสัยเก่า) เราก็จะไม่กล้าปล่อยมือหรอก ทำไมครูบาอาจารย์จึงบอกให้หมั่นทำ หมั่นฟัง คิด ถาม เขียน (สุ.จิ.ปุ.ลิ) ต้องรีบทำค่าของตัวนี้ขึ้นมา (นิสัยใหม่)
เหมือนกับนิสัยตัวเก่าของเรา ถ้าเราไม่มีนิสัยตัวใหม่เพียงพอ เราจะกล้าปล่อยนิสัยตัวเก่ามั้ย? เราก็จะไม่กล้า เพราะเป็นกฎแห่งธรรมชาติอยู่แล้ว ถ้าไม่เชื่อเราลองเอามือข้างขวาไปจับสิ่งของอยู่ เรายืนอยู่ตรงนี้ต้องอาศัยจับอยู่ตรงนี้ จับตรงนี้แล้ว ถ้าหากว่าเราจะไปจับตรงโน้นอีก แต่ตรงโน้นไม่มีที่ให้จับที่มั่นคงเราจะกล้าปล่อยมือมั้ย
ทำไมครูบาอาจารย์ต้องจี้ให้ทำ ทำไมต้องบังคับ ทำไมต้องพยายามชี้ให้ทำ แล้วบางคนบอกว่า ฉันทำดีแล้วนะ แล้วทำไมบอกว่ายังไม่ดี เพราะว่ายังไม่มั่นคง ฉะนั้น เราต้องรีบทำตรงนี้ให้มั่นคง ตรงนั้นถึงจะกล้าปล่อยจริง ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็จะจับทั้งสองอย่างนี้ พอจับสองอย่างนี้ อะไรไหวหน่อย จริตของเราก็จะเอาตัวนี้อีกแล้ว ด้วยแรงแห่งจริตที่ไม่ดีแรงกว่า เราก็จะเอาจริตที่ไม่ดีตัวนี้ เพราะเราสร้างมา เพราะเราเคยชินกับตรงนี้ เราจึงต้องเสร็จอยู่เรื่อย ทำไมของเก่า (นิสัยเก่า) จึงโผล่ขึ้นมา ทำไมตัวใหม่ (นิสัยใหม่) ที่เราเรียนมาแทบตาย ไม่ได้ใช้อีกแล้ว ไม่ได้ใช้บ่อยจนเกิดความเคยชินกว่า
สิ่งที่ไม่ดีเป็นนิสัยแล้ว เราต้องทำนิสัยที่ดีใหม่นี้ให้เป็นนิสัยเช่นเดียวกัน มีค่าเท่ากัน กำลังเท่ากัน มาปุ๊บ ตัวนี้ก็วิ่งเหมือนกัน เราถึงจะไปทำได้ ถ้าไม่อย่างนั้น ตัวนี้ก็จะแซงหน้าไปก่อนทุกที เราลองไปดูบางคน รู้ทั้งรู้ แต่พอถึงคราวจะทำ แต่ทำไมทำไม่ได้สักที ตัวนั้นโผล่ขึ้นมาอีกแล้ว เสร็จมันอีกแล้ว เพราะแรงเขาดีกว่า
บางคนจึงเข้าใจผิดว่า ต้องมาบังคับ ทำไมต้องมาเคี่ยวเข็ญ ทำไมต้องทำอย่างนี้ ถ้าไม่ทำตัวนี้ให้เป็นนิสัยที่แข็งแรง เป็นไปไม่ได้ที่เราจะปล่อยมือตัวนี้ (ตัวที่ไม่ดี) พอเราไม่มีความรู้ ตัวนิสัยก่อนออกมาทำงานทุกครั้งไป เรียนมาเสียเปล่าประโยชน์ คือ เรียนไปเยอะแยะแต่เวลาจะใช้จริงๆ ใช้ไม่ได้ล่ะ ตัวนั้นมันโผล่มาทันที นี่แหละคือสาเหตุว่าเราเรียนรู้แล้ว แต่ทำไมเราทำไม่ได้สักที ทำไมเราต้องติดเป็นกี่ชาติๆ ยังแก้ไม่ได้ เพราะว่าเราทำตัวใหม่ (นิสัยใหม่ที่ดี) ไม่แรงพอ พอไม่แรงพอค่ามันอ่อนกว่า ตัวนี้ (นิสัยเก่า) ก็จะเร็วกว่า แรงกว่า เพราะเราเคยติด ทำไมเรามีนิสัยตัวนี้ เพราะเราให้สิทธิ์เขาตลอด นิสัยเก่าจึงบ่งการเราได้ เวลาที่ว่ายังไม่คับขัน เวลาที่ไม่เห็น เราใช้จิตสำนึกควบคุม (ก็ไม่เห็นเป็นไร) แต่เวลาเจอจริงปั้บ แรงแห่งจิตใต้สำนึกดันพุ่งเลย ทำก่อนเลย เสร็จอีกแล้ว แพ้อีกแล้ว มีตัวอย่างมากมายว่าทำไมถึงแพ้ คนที่เขารู้ดีหมด แต่ทำไมถึงแพ้ เพราะว่าตัวนี้พุ่งออกมาบ่งการ จบเลย พลาดเลย นี่แหละเป็นที่มาของคำว่า รู้ทั้งรู้แต่ก็ทำไม่ได้ ตัวนั้นโผล่ขึ้นมาลองคิดดู
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต