จงเชื่อความรู้สึกแรก ถ้ามันมาแล้ว…อย่ารอ!

      นั่นเป็นคำพูดของไอ้อ้น เพื่อนสมัยเรียนช่างกลของผม
เอ่ยให้กับเบียร์และผมฟัง ที่สถานีรถไฟหลักสี่ในบ่ายวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน

   ...เรื่องมันเริ่มที่เช้าวันนั้น อ้นมันโทรไปหาผม แล้วพอรู้ว่าพ่อกับแม่ผมไม่อยู่บ้าน มันจึงพากันโดดเรียนโดยเข้าไปหาไอ้เบียร์
แล้วก็ชวนกันมาที่บ้านผม เราจัดชุดเล็กกันตั้งแต่ช่วงสายๆ ก็นั่งดื่มกินกันไป คุยกันไป
หนึ่งในเรื่องที่คุยกันที่พอจำได้ คือเรื่องของสาวข้างบ้านไอ้อ้นคนหนึ่งชื่อ ‘แป๋ว’  ที่ไอ้อ้นแอบชอบอยู่
แต่ตอนนี้เธอย้ายกลับไปอยู่กับแม่ที่สุราษฎร์ธานีได้ 2 ปีแล้ว
ก็มีเขียนจดหมายคุยกันบ้าง แต่ไม่ได้เจอกันเลย อ้นมันเล่าให้ฟังออกแนวบ่นๆ มากกว่า
ว่าคิดถึง อยากไปหา อะไรทำนองนั้น  ผมก็เออ-ออไปตามเรื่อง
ไม่ได้ใส่ใจอะไร ก็คุยไปเรื่อยเปื่อยเรื่องนั้นเรื่องนี้
     และด้วยความที่ยังวัยรุ่นไม่ประสาอะไรกับแอลกอฮอล์ แค่ไม่ถึงเที่ยง เราหลับกันทั้ง 3 คนครับ  งีบไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ก็ฟื้นขึ้นมา ล้างหน้าล้างตา ผมกับเบียร์ฟื้นก่อน ก็นั่งเปิดเพลงฟังกันไปคุยกันไป ครู่นึง
อ้นก็ลุกงัวเงียขึ้นมา บอกให้เรารวมตังกัน ตอนแรกก็คิดว่าจะต่อกันอีก แต่ที่ไหนได้
หลังแหกกระเป๋า เอาเงินมากองรวมกันแล้ว นับได้ทั้งหมด 600 กว่าบาท
ไอ้อ้นก็เอ่ยออกมาแบบคนพึ่งตื่นว่า
“ป่ะ...ไปสุราษฎร์กัน”
 ห๊ะ....เอางั้นเลยเหรอ ก็งงเด่ครับ อะไรวะ ตื่นมาจะไปสุราษฎร์เลย แต่ตอนนั้นมันอยู่ในวัยเฟี้ยวครับ กำลังห้าวเลย
อยากลอง อยากรู้ ไปก็ไปสิครับ ไม่มีใครห้ามใครเลย เอาน้ำราดตัว เก็บเสื้อผ้าใส่เป้ใบเดียว 3 คน แค่นั้นก็พร้อม-ลุย!

     และประเด็นมันเริ่มตอนนี้แหละครับ
   ...ขณะผมกำลังจะล็อคประตูบ้าน  อยู่ๆ อ้นก็บอก “เฮ้ย เดี๋ยว!” มันกางมือออก บอกทุกคนให้หยุดนิ่ง
ผมกับเบียร์ก็หยุด รอดูว่ามันจะพูดอะไร แต่ครู่หนึ่ง มันก็ทำหน้าเหมือนนึกอะไรออก แล้วก็บอกเราว่า
“เออช่างมันเถอะ...ป่ะ” เราก็งงนะ แต่ก็ไปตามเพื่อนบอก

     เส้นทางของเราคือ จากบ้านผมอยู่ตรงข้ามซอยสามัคคี เราต้องนั่งรถเมล์จากบ้านผมไปลงห้าแยกปากเกร็ด
ต่อจากปากเกร็ดไปหลักสี่ ตามถนนแจ้งวัฒนะ และในขณะนั่งอยู่บนรถเมล์สายหนึ่ง บนถนนแจ้งวัฒนะนี่เอง
เกินครึ่งทางมาแล้ว อยู่ๆ ไอ้อ้นก็ดีดตัวลุกขึ้นไปยืนเกาะราวเหนือหัว ตรงบันไดทางขึ้นลง ด้านหลัง ผมกับเบียร์ก็งง
เลยถาม “เอ้า นั่นเมิงจะไปไหน?”
     ไอ้อ้นหันมาบอกยิ้มๆ หน้าเหยเก “เปล่า ไม่ได้ไปไหน กรูปวดขรี้...แม่มมม...ไม่ไหวว่ะ” ได้ยินเท่านั้นแหละพวกเราก็ขำกันใหญ่
พากันชวนให้มันคุย ให้มันหัวเราะบ้าง แกล้งมันเอามือไปกดท้องมันบ้าง มันก็ปัดป้องด่าทอพวกเราแบบคนไร้เรี่ยวแรง
ผมกับเบียร์ก็สนุกกันไป ที่เห็นเพื่อนทรมานแบบนั้น มันเล่าว่าเริ่มตุ่ยๆ ตั้งแต่หน้าบ้านผมแล้ว
แต่ตอนนั้นมันมาแค่นิดเดียว ไม่คิดว่าจะหนักแบบนี้
       โชคดีอยู่บ้างคือการจราจรสมัยนั้นไม่ได้ติดมากนัก
ช่วงบ่าย 3 นี่รถแล่นได้เรื่อยๆ ลมโชยให้พอบรรเทาความทรมานของไอ้อ้นได้บ้าง
จนประมาณ 20 นาที รถก็จอดเทียบป้าย ไอ้อ้นกระโดดลงตั้งแต่รถยังจอดไม่สนิท
วิ่งตัดข้ามถนนไป ด้วยท่าวิ่งแปลกๆโดยไม่รอใคร ผมกับเบียร์พากันหัวเราะกันสนุกสนาน

     เรารออ้นที่ชานชาลา ไม่กี่นาที
มันก็เดินมาหา ด้วยท่าเดินที่แสนสบาย เราล่องลอยอยู่บนปุยเมฆ
“จำไว้ จงเชื่อความรู้สึกแรก ถ้ามันมาแล้ว…อย่ารอ!” มันชูนิ้วชี้ขึ้นมาเขย่าเบาๆที่ข้างแก้ม เหมือนอาจารย์กำลังสอนเราเลกเชอร์
“แม่มมม...ขรี้เยอะมากกกกก...” คำว่า ‘มาก’ ของมันลงเสียงในลำคอ เหมือนชาวร็อค หนักๆยาวๆ แล้วพวกเราก็พากันหัวเราะขำกันอย่างสนุกสนาน
โดยเฉพาะไอ้อ้นนี่เสียงดังกว่าใครเพื่อน ทั้งๆที่เมื่อ 10 - 20 นาทีก่อน หน้ามันบูดเหมือนตูดหมาเลย
นี่แหละนะที่เขาเรียกว่าปลดทุกข์ เพราะทุกข์ของมันหายไปทันที

     ครับ นั่นคือเรื่องของไอ้อ้นที่ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้...

     และที่ผมกลับมานึกถึงอีก เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน …

     ...บริษัทที่ผมทำงานอยู่ ได้เปิดจัดอบรม.....
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่