ความแตกต่าง คิดเองรึจะพึ่งพาความคิดคนอื่น จากมีคนตอบ ก็มีข้าวขายอยู่ คุณจะปลูกเองรึป่าว

กระทู้สนทนา
ย้อนดูเรื่องราวการแบนบริษัท​ไอทีสัญชาติ​จีน ที่ Huawei ไม่ใช่รายแรกที่โดน และเหตุการณ์​ก็จบลงด้วยการยื่นมือของรัฐบาล​จีนเช่นกัน แต่คราวนี้ จีนมาเหนือ

อย่างที่ผมเขียนเอาไว้ครั้งแรกในบทความของ The MATTER​ (https://thematter.co/thinkers/china-vs-usa-trade-war/77688)​เมื่อปลายเดือนพฤษภา​คมที่ผ่านมาว่า

"ไม่ใช่ครั้งแรกของแบรนด์จีนที่โดนอเมริกาและบริษัทในอเมริกาขึ้นบัญชีดำ"

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว (2018) ZTE บริษัทผู้ผลิตมือถือและอุปกรณ์สื่อสารในจีนรายใหญ่ของจีน โดนอเมริกากล่าวหาในกรณีคล้ายๆ กับ Huawei คือถูกกล่าวหาว่าผลิตภัณฑ์ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของอเมริกา มีการติดตั้งระบบสอดแนม

รวมถึงในปี 2017 บริษัท ZTE ละเมิดมาตรการคว่ำบาตรประเทศเกาหลีเหนือและอิหร่านด้วยการส่งสินค้า ZTE ไปขายในสองประเทศนี้ ซึ่งอเมริกาชี้แจงว่า ให้โอกาส ZTE ในการแก้ไขปัญหาแล้ว โดย ZTE ก็เหมือนจะแก้ โดยยอมจ่ายค่าปรับให้แก่อเมริกา พร้อมกับลงโทษผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดในครั้งนั้น

แต่ต่อมาอเมริกาพบข้อเท็จจริงบางอย่างว่า ทาง ZTE ยังคงมีการสนับสนุนผู้บริหารและพนักงานกลุ่มนั้นด้วยการให้โบนัส สื่อให้เห็นว่าข้อมูลที่ทางบริษัทจีนชี้แจงเป็นข้อมูลเท็จ

ในเดือนมีนาคม 2018 สหรัฐอเมริกาจึงตัดสินใจประกาศขึ้นบัญชีดำ พร้อมสั่งให้บริษัทอเมริกาเลิกทำการค้ากับ ZTE เป็นเวลา 7 ปี ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อทั้งตัวบริษัท ZTE เอง และบริษัทอเมริกา อย่างบริษัท Qualcomm ผู้จำหน่ายชิป Snapdragon แก่ ZTE มาเป็นเวลานาน

ปัญหา ZTE ในครั้งนั้นทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ไอทีของจีนรายนี้เป๋ไปเลยเหมือนกัน เพราะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจในอเมริกาเพียงอย่างเดียว การขายในประเทศจีน—ประเทศบ้านเกิดของตนเอง ก็ต้องหยุดขายชั่วคราว เนื่องจากประสบปัญหาอุปกรณ์ในการผลิตที่บางส่วนต้องใช้ของบริษัทอเมริกา แต่โดนแบนทำให้ใช้ไม่ได้ ซึ่งตอนนั้นมีข่าวหลุดออกมาจากวงใน ZTE ว่า มูลค่าความเสียหายจากการโดนอเมริกาแบนสูงถึง 2 หมื่นล้านหยวน หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท

"โดยการแก้ปัญหาของ ZTE ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาของบริษัทเท่านั้น แต่ถือเป็นปัญหาระดับชาติ"

หากพูดถึงชื่อ ZTE คนไทยจำนวนไท่น้อยอาจจะไม่รู้จัก เพราะคนรู้จักแบรนด์​นี้ในไทย ค่อนข้างมีน้อยกว่า Huawei แต่ขอบอกเลยว่า " ZTE เป็นหนึ่งในหัวหอกสำคัญของการนำพาเทคโนโลยีจีนออกไปสู่ภายนอกตามนโยบาย Made in China 2025"

ทางรัฐบาลจีนจึงได้มีการเจรจากับรัฐบาลอเมริกาถึงการยกเลิกแบน ZTE  ซึ่งในที่สุดจีนและอเมริกาบรรลุข้อตกลงยกเลิกแบน ZTE ในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน โดยมีรายละเอียดคือ

“ZTE ยอมเสียค่าปรับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (พร้อมเงินประกัน 400 ล้านดอลลาร์เพื่อยืนยันว่าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก) และเปลี่ยนบอร์ดบริหารเป็นชุดใหม่ภายใน 30 วัน รวมถึงความยินยอมให้รัฐบาลอเมริกาส่งทีมไปเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวทางธุรกิจของบริษัท”

เมื่อดูเงื่อนไขที่อเมริกายื่นให้ต่อจีน  จะเห็นได้ว่า "เข้มและเคี่ยวสุดๆ" แต่ทางรัฐบาลจีนและ ZTEเอง ก็ยอมรับข้อตกลงเพื่อให้เทคโนโลยี​จีนได้เดินหน้สต่อไปในตลาดโลก

...

แต่คราวนี้มาถึงคิวของ "Huawei" มีความแตกต่างจากคราวของ ZTE อยู่พอสมควร

เริ่มจากท่าทีของรัฐบาลจีนและ Huawei ที่ยืนยันมาตั้งแต่แรกว่า แม้อเทริกาจะแบน ก็ไม่ได้กระทบอะไรมาก เพราะทางจีนและHuaweiสามารถผลิตเทคโนโลยี​และทำทุกอย่างได้เองหมด  อนึ่งพันธมิตรก็มีไม่น้อย  ทั้งบราซิล, รัสเซีย​ ต่างสนับสนุนที่จะใช้งานเทคโนโลยี​Huawei

เป็นไปได้ว่าทั้งจีนและ Huawei ต่างได้เรียนรู้บทเรียนมาจากครั้ง ZTEแล้ว ว่าจะต้องรับมือและเตรียมพร้อมอย่างไรต่อเหตุการณ์​เช่นนี้  อย่างน้อยก็เรื่องของอุปกรณ์​ที่ Huawei ผลิตได้เองและเตรียมพร้อมไว้ ไม่เหมือนตอนZTEที่ประสบปัญหาอุปกรณ์ในการผลิตที่บางส่วนต้องใช้ของบริษัทอเมริกา แต่โดนแบนทำให้ใช้ไม่ได้ จนในจีนเองก็ต้องหยุดขายไปชั่วคราว

ไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่า หากอเมริกายังแบนHuaweiต่อไปนานกว่านี้  ทางHuaweiจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆตามที่บอกหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ อเมริกาเองก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย เพราะคราวนี้ต่างจากZTEอีกจุดหนึ่งตรงที่ "กระแสค่อนข้างแรงกว่ามาก"  หลายบริษัท​ในอเมริกาเองก็ไม่พอใจที่แบน  เนื่องจากในโลก​ธุรกิจ​ได้รับความเสียหาย   อเมริกาภายใต้การนำของทรัมป์จึงโดนกดดันจากภายในบ้านตนเองด้วย

มองกลับมาในบ้านของฝั่ง Huawei  พวกเขามีความหนักแน่น ดังที่ผู้ก่อตั้ง Huawei เคยออกมาพูดว่า " เขาจะไม่ยอมรับเงื่อนไขใดๆของอเมริกา หากทางอเมริกายื่นเงื่อนไขเหมือนคราว ZTE" และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่ออเมริกาและจีนประสบความเร็จ​ในการเจรจา  อเมริกาเปิดทางให้ Huaweiทำการค้าต่อได้ โดยไม่ยื่นเงื่อนไขใดๆ

ในความจริงแล้ว Huawei​อาจจะโดนกระทบหนักก็ได้ใครจะรู้ ​แต่การกระทำที่แสดงออกมาว่า ไม่มีผลกระทบใดๆ  ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นฝ่ายกังวลใจไปเอง จนนำพามาที่การที่ทรัมป์เลือกที่จะเจรจากับสีจิ้นผิง ประ​ธานาธิบดี​จีน เพื่อให้มีการทำการค้าระหว่างบริษัทอเมริกาและ Huawei ได้อีกครั้ง รวมไปถึงเรื่องกำแพงภาษีอีกด้วย

แม้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องเคลียร์​กันระหว่างสองประเทศ​ แต่นี่คือจุดชี้ให้เห็นชัดว่า  จีนเองก็ไม่ยอมที่จะโดนเหมือนตอน ZTE จากนี้ไป ทรัมป์ก็คงจะต้องคิดมากขึ้นอีกหน่อย เพราะเอะแบน คงไม่ง่ายอีกต่อไป เนื่องด้วยคนในชาติตนเองก็เริ่มไม่เอา  ผนวกกับเสียงทั่วโลกที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเขาเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

ขอบคุณ​รูปภาพ​จาก www.chinadaily.com.cn​

#อ้ายจง  #เล่าเรื่องเมืองจีน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่