วันเวลาดำเนินมาเรื่อยๆ กิจวัจประจำวันของครอบครัวนี้ก็ไม่มีไรมาก ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง อาจจะหยุดทำบางรายการตามสภาพเศรษฐกิจ บูมกับบรีสก็ยังวนเวียนอยู่กับการ ทำสวนทำฟาร์มช่วยทรงพล ปิดเทอมไปอยู่กรุงเทพกับพ่อแท้ๆ และเรียนหนังสือ ทุกๆวันทุกๆเดือน ทุกๆปีจะวนเวียนอยู่แบบนี้
เข้าปีนี้บูมเรียนมหาลัยแล้ว ได้เรียนคณะและมหาลัยที่ใฝ่ฝัน สิ่งที่เปลี่ยนไปภายในตัวคนในครอบครัวเห็นจะเป็นพ่อกับแม่ ทรงพลกับนงนุชเริ่มมีไฮไลต์ผมสีขาวขึ้นมาบ้างแล้ว ทรงพลด้วยความที่ค่อนข้างสำอาง อืม! ถึงจะทำสวนทำฟาร์มก็ไม่ได้ทำให้ทรงพลดูมอมแมมและดูสกปรกสักนิดเดียว ทรงพลจะใช้ให้บรีสย้อมสีผมให้ตลอดเมื่อส่องกระจกเห็นว่ามีผมสีขาวยาวขึ้นมา ส่วนนงนุชปล่อยไปตามธรรมชาติ อยากขาวก็ขาวเลย ไม่อะไรอยู่แล้ว
“น้องบรีส เอาเงินกับแม่ไปซื้อน้ำยาย้อมผมสีดำมาย้อมให้พ่อหน่อย”
“อีกและปล่อยไปเถอะ เหมือนแม่นะ”
เด็กสาวหย่นจมูกแบบอีกแล้วหรอ ขี้เกรียจนะพ่อแบบนี้ แต่ก็ยอมไปโดยดี เมื่อซื้อมาแล้วก็จัดการทำสีผมให้ผู้เป็นพ่ออย่างเชี่ยวชาญ เพราะทำประจำ อย่างกะเป็นหน้าที่ๆต้องทำทุกๆเดือน
“พ่อไม่แก่เด้อ ให้แม่แก่คนเดียวเลย”
ทรงพลพูดแล้วก็ขำ เมือมองไปที่ศรีษะของภรรยาที่นั่งอยู่โซฟาข้างๆกันกับลูกสาว เขารู้ดีว่าไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ แต่เขาก็อยากจะฝืน พอทำสีผมเสร็จก็ไปนอนดูมวยคู่เอก เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ถ้าช่วงเวลานี้จะพลาดไม่ได้เลย ทำอะไรอยู่ก็ต้องหยุดทำ
“พ่อเจ้าบูมไปเรียนมหาลัยกลัวมันเอาลูกสะใภ้มาให้จริงๆเลย มีไม่ว่าหรอกกลัวมันจะเอาหลานมาให้เลี้ยงก่อนวัยอันควรนี่ละ”
นงนุชบ่นลูกชายที่ตอนเข้าไปบ้านใหญ่แล้วได้ยินลูกบ้านข้างมาเล่าให้ฟังว่า บูมกับแฟนพักอยู่หอพักเดียวกัน หรือไม่อาจจะอยู่ห้องด้วยกันก็ได้ใครจะรู้
“นี่แม่มีก็ดีสิ อยากมีหลานอยู่พอดีเลย ส่วนน้องบรีสห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาดนะ ถ้ายังเรียนไม่จบ ถ้าจับได้เดียวรู้กัน”
ทรงพลแอบขู่ลูกสาวไว้ แต่ถึงบรีสจะเป็นแบบนั้นจริงเขาก็จะไม่ว่าอะไร ก็ยังจะให้การศึกษาเหมือนเดิม และรวมไปถึงลูกชายด้วย แต่ก็ต้องขู่ไว้ กันไว้ดีกว่าแก้
“เอ้า พูดถึงพี่บูมอยู่ดีๆไงมาว่าบรีส”
บรีสที่นั่งดูมวยกับพ่อ แต่ไม่ได้ดูหรอก ตาจ้องมือจิ้มมือถืออยู่ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างอะไรเลย
“ผู้ชายนะก็อย่าไปจริงจังกับมันเยอะ พอจบออกไปมีการมีงานทำก็ต่างคนต่างไปแล้ว อย่าว่าแต่มีงานทำเลย แค่เรียนคนละที่ก็หนีไปมีแฟนใหม่แล้ว”
ทรงพลยังไม่หยุดที่จะสอนลูกสาวไปอีก เมื่อเห็นลูกสาวกำลังคุยไลน์กับเพื่อนชายอยู่
“บรีสก็แค่คุยๆไปแค่นั้นแหละพ่อ บรีสไม่จริงจังอะไรหรอก”
“น้องบรีสพ่อพูดจริงๆนะ พ่อไม่ห้ามหรอกเรื่องแฟน แค่อยู่ในกรอบ อย่าทำอะไรที่มันนอกลู่นอกทางพอ ถือว่าพ่อขอนะ”
“ถ้าเรามีศักดิ์ศรี ผู้ชายเขาก็ดูถูกเราไม่ได้ ถ้าเราทำตัวไม่มีค่า เขาก็ดูถูกเราได้ เขาจะทิ้งเราเมื่อไหร่ก็ได้เพราะเราง่าย จำไว้นะลูก”
“จ้าๆๆบรีสสัญญาด้วยเกรียติของลูกผู้หญิง อิอิ”
บรีสฟังคำสอนแบบนี้ตั้งแต่เข้ามัธยมต้นจนตอนนี้อยู่มัธยมปลายแล้ว แต่เขาก็ไม่เบื่อที่จะฟัง เพราะเขารู้ว่าพ่อแม่รักและหวังดี นอกจากนั้นก็ไม่ได้ขู่เฉยๆด้วย รู้ว่าพ่อพูดจริงทำจริง เพราะบรีสเคยเห็นตอนพ่อโกรธแล้วว่าเป็นยังไง ในเรื่องของพี่ชายในปีนั้น
ทรงพลกับนงนุชมีความภูมิใจในตัวลูกๆของเขาทั้งสองคน ที่ลูกๆเชื่อฟังและเป็นคนดี ถึงแม้ลูกชายอาจจะหลงผิดไปบ้างแต่ลูกก็กลับใจ ไม่หลงผิดอีก นอกจากนั้นเขายังภูมิใจในตัวเขาเองที่สามารถเลี้ยงลูกได้ดีขนาดนี้ ถึงจะไม่ดีร้อยเปอร์เซ็น แต่ก็ถือว่าลูกๆยังอยู่ในกรอบ ไม่มีใครนอกลู่นอกทางอีก
“พุ่มแกจะเสียดายลูกแกมั้ยน๊า แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่คืนให้แกหรอก”
ทรงพลคิดในใจและก็ยิ้มแบบมีความสุขเหมือนทุกๆครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องลูกๆของเขา บูมที่ไปเรียนมหาลัยก็กลับมาทุกวันเสาร์อาทิตย์ ถ้าอาทิตย์ไหนมีกิจกรรมก็ไม่ได้กลับ หรือเป็นเดือนๆก็ไม่ได้กลับเลย ทรงพลกับนงนุชก็เข้าใจเพราะก็เคยผ่านการเป็นนักศึกษามาเหมือนกัน แค่ต่างกันที่รูปแบบ สมัยเขาต้องเรียนและทำงานไปด้วย เขาทำงานส่งตัวเองเรียน เขาเรียนมหาลัยเปิดที่เรียนแค่วันอาทิตย์ที่กรุงเทพ พอจบแล้วเขาก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ กลับมาใช้วิชาที่เรียนมา มาทำธุรกิจที่บ้านเกิดของเขาเอง ถือว่าประสบผลสำเร็จมากเพราะเขาทำเป็นเจ้าแรก ภายหลังมีคนทำตาม มีได้บ้างเจ๊งบ้าง ถึงจะมีคู่แข่งก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากอะไรเลย
ทุกอย่างในการใช้ชีวิตประจำวันกำลังไปได้ดี เจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็หาเรื่องมาให้อีกแล้ว แต่เขากลับยินดีมากที่สุด เขาไม่คิดว่าเขาจะมีวันนี้ในตอนที่เขาไปตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เขาเคยฝันสลายแล้วแต่วันนี้กลับเป็นวันที่เขายินดีมากที่สุด เมื่อแม่ของฝ่ายหญิงของแฟนของลูกชายมาที่บ้าน มาบอกให้ไปสู่ขอลูกสาวเขาเลย เพราะลูกชายของทรงพลไปทำลูกสาวเขาท้อง ในขณะที่ยังเรียนไม่จบ ปีนี้พึ่งขึ้นปีที่สี่ได้ไม่กี่เดือนเอง
“ท้องหรอ!!”
เป็นเสียงของทรงพลที่ทำเป็นเสียงเข้มขรึมข่มความรู้สึกตื่นเต้นดีใจเอาไว้ ภายในบ้านของทรงพลมีผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงแค่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงเท่านั้น ส่วนฝั่งของทรงพลมีครอบครัวญาติพี่น้องครบทุกคนเลย
“ไอ้บูมแกไปทำลูกเขาท้องหรอ”
ทรงพลถามลูกชายรอบที่สอง ที่นั่งก้มหน้าเศร้าๆไม่กล้าตอบผู้เป็นพ่อ เพราะรู้ถึงอารมณ์ของพ่อว่าพ่อโกรธมันเป็นยังไงมาแล้ว
“ครับ”
เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วทรงพลก็จัดแจงเรื่องราวทั้งหมดว่าจะจัดงานแต่งงานให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องให้ลูกชายเขากลับไปเรียนและต้องให้ลูกสะใภ้เรียนด้วย แต่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงไม่ยอมที่จะให้ลูกสาวเรียน เพราะเขาเลือกที่จะมีครอบครัวแล้วก็ไม่ควรจะกลับไปเรียน เพราะครอบครัวเขาค่อนข้างที่จะยึดติดเรื่องแบบนี้ แต่ทรงพลไม่ยอมจึงเสนอว่าให้ลูกสะใภ้ ดรอปไว้ปีนึงคลอดลูกแล้วกลับไปเรียนต่อให้จบ เขาจะส่งลูกสะใภ้เขาเรียนเอง แต่มีข้อแม้อีกข้อว่าลูกสะใภ้กลับหลานต้องอยู่บ้านเขา จากนั้นก็พากันตกลงถึงค่าสินสอด เมื่อเห็นจำนวนค่าสินสอดเป็นที่น่าพอใจแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิงจึงตกลงยินยอมตามข้อตกลง แต่ขอมีข้อแม้บ้างว่าขอให้พาหลานมาหาเขาบ้าง ทรงพลก็ยินยอมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
“พ่อพลบูมขอโทษอีกครั้งนะครับ”
“ขอโทษเรื่องไร”
“ก็เรื่องที่พ่อสอนมาตลอดแล้วบูมทำผิดอีกแล้ว”
ทรงพลยิ้มและตบไหล่ลูกชายเบาๆด้วยความเอ็นดู เอ็นดูที่เขาเห็นถึงความกลัวของลูก ที่อาจจะเป็นเพราะที่เขาตีลูกชายตอนนั้นก็ได้ และภูมิใจที่ลูกชายมีความรับผิดชอบ เป็นลูกผู้ชาย ไม่เสียแรงที่เขาเลี้ยงดูสั่งสอนมา
“ไม่เป็นไรลูก พ่ออยากมีหลาน”
“คิดมากหน่า ทำหน้าที่บูมให้ดีที่สุดนะตอนนี้ เรียนให้จบ ให้มีงานทำ แล้วมาดูแลครอบครัวของบูมเอง ถ้าบูมมีลูกเป็นของตัวเองแล้วบูมจะเข้าใจพ่อแม่ เข้าใจพ่อแม่ของบูมเองมากขึ้นนะ”
ทรงพลคุยกับลูกชายที่สวนหญ้าหลังจากส่งครอบครัวฝ่ายหญิงกลับแล้ว และบูมเดินมาหาพ่อ อยากขอโทษทุกการกระทำของตัวเอง ที่ทำความเดือดร้อนให้พ่ออีกครั้งแล้ว ทรงพลคิดอะไรไปเรื่อยเปลื่อย คิดย้อนไปตั้งแต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถมีลูกได้! เมื่อหมอวินิจฉัยออกมา แต่วันนี้เขากำลังจะมีหลาน เขากำลังจะเป็นคุณปู่ และภรรยาเขาที่ยอมอยู่กับเขาแม้จะไม่มีลูกได้สักคนก็กำลังจะเป็นคุณย่า แต่เขาก็แอบคิดไปถึงน้องสาวกับอดีตน้องเขยที่เป็นพ่อแท้ๆของลูกๆ เขาจะตื่นเต้นดีใจมั้ยนะ ทำไมเขาช่างตื่นเต้นที่จะมีหลานมากๆเลย ทำเอาเขานอนไม่หลับอยากเห็นหน้าหลานเร็วๆแล้วสิ คิดไปก็ยิ้มไป “ไม่ได้หรอกใครจะมาเอาหลานฉันไปไม่ได้หรอก” เขาคิดในใจ เฮ้อๆๆไอ้ทรงพลเอ้ยเป็นบุญของเอ็งจริงๆ ไอ้พุ่มช่วยไม่ได้เว้ยลูกฉันเด้อ ไม่ใช่ลูกแก เมื่อทรงพลคิดไปอีกก็แอบขำออกมา
“พ่อขำไรอยู่คนเดียว”
บูมที่ยังไม่ได้ไปไหนเหลือบมาเห็น พ่อที่กำลังขำอะไรคนเดียวเหมือนมีความสุข
“คนมีความสุขน้อ มาทำอะไรตรงนี้ ไปหาเมียแกไปเนสหิวแล้วมั่งนะ”
ทรงพลไล่ลูกชายให้กลับเข้าบ้านไปหาลูกสะใภ้
จากนั้นอีกไม่กี่เดือนก็มีงานแต่งงานที่บ้านทรงพล มีแขกมาร่วมงานมากมาย แม้กระทั้งครอบครัวของพ่อแท้ๆของลูกชายก็มาร่วมยินดีด้วย
“ผมขออนุญาติเอาบูมไปทำงานด้วยนะครับ ไปช่วยงาน ผมจ่ายเงินเดือน ผมไม่ได้ให้ไปช่วยงานฟรี”
อดีตน้องเขยเดินมาหาทรงพล ที่กำลังยืนส่งแขกบางส่วนที่กำลังทยอยกันกลับแล้ว สำหรับญาติที่มาจากทางไกล
“อืม ฉันรู้แล้วเรื่องนี้”
“ผมมาขออนุญาติพี่ กลัวพี่โกรธ”
“ฉันอนุญาติให้แกแค่คนเดียว ยายบรีสแกไม่มีสิทธิ์”
แล้วทรงพลก็เดินไปหาแขกที่มาใหม่ แขกกำลังทยอยมาเรื่อยๆ ส่วนคนมาเช้าก็กำลังทยอยกลับกันงานแต่งงานผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นบูมก็กลับไปเรียน ทีนี้บูมกลับบ้านทุกวันหยุดเพราะกลับมาหาภรรยาสุดที่รักของเขา
เวลาผ่านไปเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีเข้าช่วงปลายฤดูหนาว ช่วงเดือนกุมภาพันธุ์เนสคลอดหลานสาวให้ทรงพลหน้าตาหน้ารักน่าชังมาก มีญาติๆมาร่วมยินดีที่โรงบาล พุ่มเอาโฉนดที่ดินเล็กๆน้อยๆสมบัติส่วนตัวของตัวเองมาผูกแขนหลาน
“โฮๆๆๆๆๆ ลูกรักของพ่อ”
“แม่เอาให้หลานแม่ ไม่ได้เอาให้แกพี่บูม”
“ของลูกบูมก็เหมือนของบูมละแม่ ให้ป๊าดูแลให้นะลูกนะ”
ฮ่าๆๆๆ เสียงหัวเราะเฮฮา ของคนที่มาเยี่ยมหลานน้อยในห้องพิเศษของโรงบาลประจำจังหวัด
“ อ้าว ย่าพุ่มให้เยอะขนาดนี้ แล้วปู่พลจะให้อะไรละ บ้านพร้อมที่ดิน พร้อมสมุดบัญชีเงินฝาก พร้อมหุ้นที่มีอยู่ดีมั้ย”
ทรงพลพูดแซวน้องสาว
“เยอะไปๆเอาไว้ผูกแขนหลานตาบ้างก็ได้ จะผูกหลานปู่หมดเลย”
บรีสพูดบ้าง ก็ตามด้วยเสียงหัวเราะแบบมีความสุขของครอบครัว
“พ่อๆ! พ่อกับแม่นุชไม่ต้องผูกไรมาก รับหน้าที่เลี้ยงหลานก็พอ” บูมตอบ
“ฮือออ น้องบรีสมีแฟนแล้วหรอเรานะ จะให้ผูกแขนหลานตานะ ใครมันเป็นไก่ตาบอดเข้ามาจีบได้ละห๊ะ”
พุ่มถามลูกสาวบ้าง
“พุ่มแกอย่าถามอย่างนั้น แกต้องถามว่าใครจะมาสู่ขอตอนไหน คุยเยอะเกินตอนนี้”
“ฮ้วยๆๆพ่อนิ!! แม่พุ่มก็มีละน้อ บรีสออกจะสวย แม่ว่าลูกแม่ไม่สวยสั้นบ่ สวยสุดแล้วในหมู่บ้านนี่ 555”
“สวยที่สุดในโลกส่วนตัวละแม่”
พี่ชายแซวบ้าง
“ฮ้วย!!! รุมกันเข้าไปเด้อ ไม่คุยด้วยแล้ว คุยกับมิเกลวหลานอาดีกว่า น้อมิเกลวน้อ”
น้องบรีสทำหน้างอลๆแล้วสบัดหน้าไปทางหลานสาวกับพี่สะใภ้ที่อยู่บนเตียง ส่วนเนสภรรยาของบูมไม่พูดอะไร ยิ้มและขำพ่อกับแม่คุยกันอย่างเดียว
เมื่อหลานออกจากโรงบาลแล้ว คนที่เห่อหลานที่สุดเห็นจะเป็นปู่พลนี่แหละ แทบจะไม่ทำงานสวนงานฟาร์มเลยช่วงแรกๆ ลูกสะใภ้หลังคลอดแข็งแรงแล้วก็กลับไปเรียนต่อให้จบ และพอจบแล้วก็พากันไปทำงานกับพ่อแท้ๆของสามีที่กรุงเทพ โดยเอาลูกสาวไว้กับทรงพล ทรงพลไม่ได้ขอให้เอาหลานไว้กับตัวเอง นั้นมันลูกของบูม เขาจะไม่ขอก้าวก่าย แค่เขาได้เลี้ยงบูมมาเหมือนลูกก็มากพอแล้ว แต่บูมรู้ใจพ่อว่าอยากเลี้ยงหลาน เลยตั้งใจเอามิเกลวไว้กับพ่อแม่ของตัวเอง และพากันไปแค่สองคนผัวเมีย
“วันหยุดนั้งเครื่องมาแป๊บเดียว ปู่ย่านะอย่าตามใจหลานมากเด้อ เดียวเสียคน”
“เดียวถ่ายคลิปส่งให้ทุกวัน โทรหาทุกวันเด้อลูกๆ”
พ่อลูกกราบลากันก่อนที่จะเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพ บ้านที่ไม่มีลูกชายมันช่างเงียบเหงามากในความรู้สึกเขา เขาไม่เคยชินสักครั้งกับการที่ลูกไม่อยู่บ้าน แม้จะมีหลานตัวน้อยๆไว้คอยปลอบใจก็ตาม ถ้าบรีสไปจากบ้านอีกคนละ บ้านมันจะไม่เหงาเศร้าไปมากกว่านี้หรอ แค่คิดก็ใจเสียแล้ว แต่มันคือสิ่งที่ต้องเป็นไป ชีวิตทุกนต้องดำเนินต่อไป เปลี่ยนแปลงไปทุกวันตามกาลเวลา จะให้ยึดติดแต่สิ่งเดิมๆมันก็ไม่ใช่ บ้านที่ไม่เคยเงียบเหงา บ้านที่มีแต่เสียงหัวเราะ บ้านที่มีเด็กสองคนช่วยลากสายยางรดร้ำหญ้า เอาหญ้าให้วัวในฟาร์ม ภาพที่เด็กๆสองคนที่พ่อแม่พาทำอะไรก็ทำไม่เคยบ่นว่าขี้เกรียจ มันไม่มีอีกแล้ว
นงนุชรับหน้าที่เลี้ยงหลาน แต่มีหลานชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ทำให้บ้านดูไม่เงียบเหงาเหมือนที่ผ่านมา ส่วนทรงพลก็ดูฟาร์มเหมือนเคย พอเสร็จก็รีบมาดูหลานช่วยภรรยา ไม่ใช่จำเป็นแต่เขาตั้งใจ เขาอยากอยู่กับหลานๆ เล่นกับหลานๆเหมือนที่เขาเคยเล่นกับลูกๆมาก่อน แต่วันนี้ไม่มีบรีสแล้ว เพราะบรีสไปเรียนต่อมหาลัยที่ต่างจังหวัดเหมือนกัน กลับทีก็วันหยุด
“น้องบรีสจะทำงานที่ไหนวางแผนชีวิตไว้ยัง”
“บรีสจะเป็นชาวนา”
“แนะ ลูกคนนี้นิตลกอยู่เรื่อยเลย พ่อไม่ตลกนะน้องบรีส พ่อถามจริงๆ “
“บรีสว่าจะทำงานที่บ้านเราอ่ะพ่อ บรีสไม่อยากอยู่ไกลพ่อกับแม่”
ทรงพลยิ้มแล้วเอามือลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู ตลอดเวลาตอนเด็กๆ เด็กคนนี้ไม่เคยพูดว่าจะไปอยู่ไกลพ่อแม่เลยสักครั้ง
แม่กาเหว่า5 (ตอนจบ)
เข้าปีนี้บูมเรียนมหาลัยแล้ว ได้เรียนคณะและมหาลัยที่ใฝ่ฝัน สิ่งที่เปลี่ยนไปภายในตัวคนในครอบครัวเห็นจะเป็นพ่อกับแม่ ทรงพลกับนงนุชเริ่มมีไฮไลต์ผมสีขาวขึ้นมาบ้างแล้ว ทรงพลด้วยความที่ค่อนข้างสำอาง อืม! ถึงจะทำสวนทำฟาร์มก็ไม่ได้ทำให้ทรงพลดูมอมแมมและดูสกปรกสักนิดเดียว ทรงพลจะใช้ให้บรีสย้อมสีผมให้ตลอดเมื่อส่องกระจกเห็นว่ามีผมสีขาวยาวขึ้นมา ส่วนนงนุชปล่อยไปตามธรรมชาติ อยากขาวก็ขาวเลย ไม่อะไรอยู่แล้ว
“น้องบรีส เอาเงินกับแม่ไปซื้อน้ำยาย้อมผมสีดำมาย้อมให้พ่อหน่อย”
“อีกและปล่อยไปเถอะ เหมือนแม่นะ”
เด็กสาวหย่นจมูกแบบอีกแล้วหรอ ขี้เกรียจนะพ่อแบบนี้ แต่ก็ยอมไปโดยดี เมื่อซื้อมาแล้วก็จัดการทำสีผมให้ผู้เป็นพ่ออย่างเชี่ยวชาญ เพราะทำประจำ อย่างกะเป็นหน้าที่ๆต้องทำทุกๆเดือน
“พ่อไม่แก่เด้อ ให้แม่แก่คนเดียวเลย”
ทรงพลพูดแล้วก็ขำ เมือมองไปที่ศรีษะของภรรยาที่นั่งอยู่โซฟาข้างๆกันกับลูกสาว เขารู้ดีว่าไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ แต่เขาก็อยากจะฝืน พอทำสีผมเสร็จก็ไปนอนดูมวยคู่เอก เพราะวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ถ้าช่วงเวลานี้จะพลาดไม่ได้เลย ทำอะไรอยู่ก็ต้องหยุดทำ
“พ่อเจ้าบูมไปเรียนมหาลัยกลัวมันเอาลูกสะใภ้มาให้จริงๆเลย มีไม่ว่าหรอกกลัวมันจะเอาหลานมาให้เลี้ยงก่อนวัยอันควรนี่ละ”
นงนุชบ่นลูกชายที่ตอนเข้าไปบ้านใหญ่แล้วได้ยินลูกบ้านข้างมาเล่าให้ฟังว่า บูมกับแฟนพักอยู่หอพักเดียวกัน หรือไม่อาจจะอยู่ห้องด้วยกันก็ได้ใครจะรู้
“นี่แม่มีก็ดีสิ อยากมีหลานอยู่พอดีเลย ส่วนน้องบรีสห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาดนะ ถ้ายังเรียนไม่จบ ถ้าจับได้เดียวรู้กัน”
ทรงพลแอบขู่ลูกสาวไว้ แต่ถึงบรีสจะเป็นแบบนั้นจริงเขาก็จะไม่ว่าอะไร ก็ยังจะให้การศึกษาเหมือนเดิม และรวมไปถึงลูกชายด้วย แต่ก็ต้องขู่ไว้ กันไว้ดีกว่าแก้
“เอ้า พูดถึงพี่บูมอยู่ดีๆไงมาว่าบรีส”
บรีสที่นั่งดูมวยกับพ่อ แต่ไม่ได้ดูหรอก ตาจ้องมือจิ้มมือถืออยู่ ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างอะไรเลย
“ผู้ชายนะก็อย่าไปจริงจังกับมันเยอะ พอจบออกไปมีการมีงานทำก็ต่างคนต่างไปแล้ว อย่าว่าแต่มีงานทำเลย แค่เรียนคนละที่ก็หนีไปมีแฟนใหม่แล้ว”
ทรงพลยังไม่หยุดที่จะสอนลูกสาวไปอีก เมื่อเห็นลูกสาวกำลังคุยไลน์กับเพื่อนชายอยู่
“บรีสก็แค่คุยๆไปแค่นั้นแหละพ่อ บรีสไม่จริงจังอะไรหรอก”
“น้องบรีสพ่อพูดจริงๆนะ พ่อไม่ห้ามหรอกเรื่องแฟน แค่อยู่ในกรอบ อย่าทำอะไรที่มันนอกลู่นอกทางพอ ถือว่าพ่อขอนะ”
“ถ้าเรามีศักดิ์ศรี ผู้ชายเขาก็ดูถูกเราไม่ได้ ถ้าเราทำตัวไม่มีค่า เขาก็ดูถูกเราได้ เขาจะทิ้งเราเมื่อไหร่ก็ได้เพราะเราง่าย จำไว้นะลูก”
“จ้าๆๆบรีสสัญญาด้วยเกรียติของลูกผู้หญิง อิอิ”
บรีสฟังคำสอนแบบนี้ตั้งแต่เข้ามัธยมต้นจนตอนนี้อยู่มัธยมปลายแล้ว แต่เขาก็ไม่เบื่อที่จะฟัง เพราะเขารู้ว่าพ่อแม่รักและหวังดี นอกจากนั้นก็ไม่ได้ขู่เฉยๆด้วย รู้ว่าพ่อพูดจริงทำจริง เพราะบรีสเคยเห็นตอนพ่อโกรธแล้วว่าเป็นยังไง ในเรื่องของพี่ชายในปีนั้น
ทรงพลกับนงนุชมีความภูมิใจในตัวลูกๆของเขาทั้งสองคน ที่ลูกๆเชื่อฟังและเป็นคนดี ถึงแม้ลูกชายอาจจะหลงผิดไปบ้างแต่ลูกก็กลับใจ ไม่หลงผิดอีก นอกจากนั้นเขายังภูมิใจในตัวเขาเองที่สามารถเลี้ยงลูกได้ดีขนาดนี้ ถึงจะไม่ดีร้อยเปอร์เซ็น แต่ก็ถือว่าลูกๆยังอยู่ในกรอบ ไม่มีใครนอกลู่นอกทางอีก
“พุ่มแกจะเสียดายลูกแกมั้ยน๊า แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่คืนให้แกหรอก”
ทรงพลคิดในใจและก็ยิ้มแบบมีความสุขเหมือนทุกๆครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องลูกๆของเขา บูมที่ไปเรียนมหาลัยก็กลับมาทุกวันเสาร์อาทิตย์ ถ้าอาทิตย์ไหนมีกิจกรรมก็ไม่ได้กลับ หรือเป็นเดือนๆก็ไม่ได้กลับเลย ทรงพลกับนงนุชก็เข้าใจเพราะก็เคยผ่านการเป็นนักศึกษามาเหมือนกัน แค่ต่างกันที่รูปแบบ สมัยเขาต้องเรียนและทำงานไปด้วย เขาทำงานส่งตัวเองเรียน เขาเรียนมหาลัยเปิดที่เรียนแค่วันอาทิตย์ที่กรุงเทพ พอจบแล้วเขาก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ กลับมาใช้วิชาที่เรียนมา มาทำธุรกิจที่บ้านเกิดของเขาเอง ถือว่าประสบผลสำเร็จมากเพราะเขาทำเป็นเจ้าแรก ภายหลังมีคนทำตาม มีได้บ้างเจ๊งบ้าง ถึงจะมีคู่แข่งก็ไม่ได้ทำให้เขาลำบากอะไรเลย
ทุกอย่างในการใช้ชีวิตประจำวันกำลังไปได้ดี เจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็หาเรื่องมาให้อีกแล้ว แต่เขากลับยินดีมากที่สุด เขาไม่คิดว่าเขาจะมีวันนี้ในตอนที่เขาไปตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน เขาเคยฝันสลายแล้วแต่วันนี้กลับเป็นวันที่เขายินดีมากที่สุด เมื่อแม่ของฝ่ายหญิงของแฟนของลูกชายมาที่บ้าน มาบอกให้ไปสู่ขอลูกสาวเขาเลย เพราะลูกชายของทรงพลไปทำลูกสาวเขาท้อง ในขณะที่ยังเรียนไม่จบ ปีนี้พึ่งขึ้นปีที่สี่ได้ไม่กี่เดือนเอง
“ท้องหรอ!!”
เป็นเสียงของทรงพลที่ทำเป็นเสียงเข้มขรึมข่มความรู้สึกตื่นเต้นดีใจเอาไว้ ภายในบ้านของทรงพลมีผู้ใหญ่ทางฝ่ายหญิงแค่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงเท่านั้น ส่วนฝั่งของทรงพลมีครอบครัวญาติพี่น้องครบทุกคนเลย
“ไอ้บูมแกไปทำลูกเขาท้องหรอ”
ทรงพลถามลูกชายรอบที่สอง ที่นั่งก้มหน้าเศร้าๆไม่กล้าตอบผู้เป็นพ่อ เพราะรู้ถึงอารมณ์ของพ่อว่าพ่อโกรธมันเป็นยังไงมาแล้ว
“ครับ”
เมื่อรู้เช่นนั้นแล้วทรงพลก็จัดแจงเรื่องราวทั้งหมดว่าจะจัดงานแต่งงานให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องให้ลูกชายเขากลับไปเรียนและต้องให้ลูกสะใภ้เรียนด้วย แต่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงไม่ยอมที่จะให้ลูกสาวเรียน เพราะเขาเลือกที่จะมีครอบครัวแล้วก็ไม่ควรจะกลับไปเรียน เพราะครอบครัวเขาค่อนข้างที่จะยึดติดเรื่องแบบนี้ แต่ทรงพลไม่ยอมจึงเสนอว่าให้ลูกสะใภ้ ดรอปไว้ปีนึงคลอดลูกแล้วกลับไปเรียนต่อให้จบ เขาจะส่งลูกสะใภ้เขาเรียนเอง แต่มีข้อแม้อีกข้อว่าลูกสะใภ้กลับหลานต้องอยู่บ้านเขา จากนั้นก็พากันตกลงถึงค่าสินสอด เมื่อเห็นจำนวนค่าสินสอดเป็นที่น่าพอใจแล้ว พ่อแม่ฝ่ายหญิงจึงตกลงยินยอมตามข้อตกลง แต่ขอมีข้อแม้บ้างว่าขอให้พาหลานมาหาเขาบ้าง ทรงพลก็ยินยอมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
“พ่อพลบูมขอโทษอีกครั้งนะครับ”
“ขอโทษเรื่องไร”
“ก็เรื่องที่พ่อสอนมาตลอดแล้วบูมทำผิดอีกแล้ว”
ทรงพลยิ้มและตบไหล่ลูกชายเบาๆด้วยความเอ็นดู เอ็นดูที่เขาเห็นถึงความกลัวของลูก ที่อาจจะเป็นเพราะที่เขาตีลูกชายตอนนั้นก็ได้ และภูมิใจที่ลูกชายมีความรับผิดชอบ เป็นลูกผู้ชาย ไม่เสียแรงที่เขาเลี้ยงดูสั่งสอนมา
“ไม่เป็นไรลูก พ่ออยากมีหลาน”
“คิดมากหน่า ทำหน้าที่บูมให้ดีที่สุดนะตอนนี้ เรียนให้จบ ให้มีงานทำ แล้วมาดูแลครอบครัวของบูมเอง ถ้าบูมมีลูกเป็นของตัวเองแล้วบูมจะเข้าใจพ่อแม่ เข้าใจพ่อแม่ของบูมเองมากขึ้นนะ”
ทรงพลคุยกับลูกชายที่สวนหญ้าหลังจากส่งครอบครัวฝ่ายหญิงกลับแล้ว และบูมเดินมาหาพ่อ อยากขอโทษทุกการกระทำของตัวเอง ที่ทำความเดือดร้อนให้พ่ออีกครั้งแล้ว ทรงพลคิดอะไรไปเรื่อยเปลื่อย คิดย้อนไปตั้งแต่เขารู้ว่าเขาไม่สามารถมีลูกได้! เมื่อหมอวินิจฉัยออกมา แต่วันนี้เขากำลังจะมีหลาน เขากำลังจะเป็นคุณปู่ และภรรยาเขาที่ยอมอยู่กับเขาแม้จะไม่มีลูกได้สักคนก็กำลังจะเป็นคุณย่า แต่เขาก็แอบคิดไปถึงน้องสาวกับอดีตน้องเขยที่เป็นพ่อแท้ๆของลูกๆ เขาจะตื่นเต้นดีใจมั้ยนะ ทำไมเขาช่างตื่นเต้นที่จะมีหลานมากๆเลย ทำเอาเขานอนไม่หลับอยากเห็นหน้าหลานเร็วๆแล้วสิ คิดไปก็ยิ้มไป “ไม่ได้หรอกใครจะมาเอาหลานฉันไปไม่ได้หรอก” เขาคิดในใจ เฮ้อๆๆไอ้ทรงพลเอ้ยเป็นบุญของเอ็งจริงๆ ไอ้พุ่มช่วยไม่ได้เว้ยลูกฉันเด้อ ไม่ใช่ลูกแก เมื่อทรงพลคิดไปอีกก็แอบขำออกมา
“พ่อขำไรอยู่คนเดียว”
บูมที่ยังไม่ได้ไปไหนเหลือบมาเห็น พ่อที่กำลังขำอะไรคนเดียวเหมือนมีความสุข
“คนมีความสุขน้อ มาทำอะไรตรงนี้ ไปหาเมียแกไปเนสหิวแล้วมั่งนะ”
ทรงพลไล่ลูกชายให้กลับเข้าบ้านไปหาลูกสะใภ้
จากนั้นอีกไม่กี่เดือนก็มีงานแต่งงานที่บ้านทรงพล มีแขกมาร่วมงานมากมาย แม้กระทั้งครอบครัวของพ่อแท้ๆของลูกชายก็มาร่วมยินดีด้วย
“ผมขออนุญาติเอาบูมไปทำงานด้วยนะครับ ไปช่วยงาน ผมจ่ายเงินเดือน ผมไม่ได้ให้ไปช่วยงานฟรี”
อดีตน้องเขยเดินมาหาทรงพล ที่กำลังยืนส่งแขกบางส่วนที่กำลังทยอยกันกลับแล้ว สำหรับญาติที่มาจากทางไกล
“อืม ฉันรู้แล้วเรื่องนี้”
“ผมมาขออนุญาติพี่ กลัวพี่โกรธ”
“ฉันอนุญาติให้แกแค่คนเดียว ยายบรีสแกไม่มีสิทธิ์”
แล้วทรงพลก็เดินไปหาแขกที่มาใหม่ แขกกำลังทยอยมาเรื่อยๆ ส่วนคนมาเช้าก็กำลังทยอยกลับกันงานแต่งงานผ่านไปได้ด้วยดี จากนั้นบูมก็กลับไปเรียน ทีนี้บูมกลับบ้านทุกวันหยุดเพราะกลับมาหาภรรยาสุดที่รักของเขา
เวลาผ่านไปเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีเข้าช่วงปลายฤดูหนาว ช่วงเดือนกุมภาพันธุ์เนสคลอดหลานสาวให้ทรงพลหน้าตาหน้ารักน่าชังมาก มีญาติๆมาร่วมยินดีที่โรงบาล พุ่มเอาโฉนดที่ดินเล็กๆน้อยๆสมบัติส่วนตัวของตัวเองมาผูกแขนหลาน
“โฮๆๆๆๆๆ ลูกรักของพ่อ”
“แม่เอาให้หลานแม่ ไม่ได้เอาให้แกพี่บูม”
“ของลูกบูมก็เหมือนของบูมละแม่ ให้ป๊าดูแลให้นะลูกนะ”
ฮ่าๆๆๆ เสียงหัวเราะเฮฮา ของคนที่มาเยี่ยมหลานน้อยในห้องพิเศษของโรงบาลประจำจังหวัด
“ อ้าว ย่าพุ่มให้เยอะขนาดนี้ แล้วปู่พลจะให้อะไรละ บ้านพร้อมที่ดิน พร้อมสมุดบัญชีเงินฝาก พร้อมหุ้นที่มีอยู่ดีมั้ย”
ทรงพลพูดแซวน้องสาว
“เยอะไปๆเอาไว้ผูกแขนหลานตาบ้างก็ได้ จะผูกหลานปู่หมดเลย”
บรีสพูดบ้าง ก็ตามด้วยเสียงหัวเราะแบบมีความสุขของครอบครัว
“พ่อๆ! พ่อกับแม่นุชไม่ต้องผูกไรมาก รับหน้าที่เลี้ยงหลานก็พอ” บูมตอบ
“ฮือออ น้องบรีสมีแฟนแล้วหรอเรานะ จะให้ผูกแขนหลานตานะ ใครมันเป็นไก่ตาบอดเข้ามาจีบได้ละห๊ะ”
พุ่มถามลูกสาวบ้าง
“พุ่มแกอย่าถามอย่างนั้น แกต้องถามว่าใครจะมาสู่ขอตอนไหน คุยเยอะเกินตอนนี้”
“ฮ้วยๆๆพ่อนิ!! แม่พุ่มก็มีละน้อ บรีสออกจะสวย แม่ว่าลูกแม่ไม่สวยสั้นบ่ สวยสุดแล้วในหมู่บ้านนี่ 555”
“สวยที่สุดในโลกส่วนตัวละแม่”
พี่ชายแซวบ้าง
“ฮ้วย!!! รุมกันเข้าไปเด้อ ไม่คุยด้วยแล้ว คุยกับมิเกลวหลานอาดีกว่า น้อมิเกลวน้อ”
น้องบรีสทำหน้างอลๆแล้วสบัดหน้าไปทางหลานสาวกับพี่สะใภ้ที่อยู่บนเตียง ส่วนเนสภรรยาของบูมไม่พูดอะไร ยิ้มและขำพ่อกับแม่คุยกันอย่างเดียว
เมื่อหลานออกจากโรงบาลแล้ว คนที่เห่อหลานที่สุดเห็นจะเป็นปู่พลนี่แหละ แทบจะไม่ทำงานสวนงานฟาร์มเลยช่วงแรกๆ ลูกสะใภ้หลังคลอดแข็งแรงแล้วก็กลับไปเรียนต่อให้จบ และพอจบแล้วก็พากันไปทำงานกับพ่อแท้ๆของสามีที่กรุงเทพ โดยเอาลูกสาวไว้กับทรงพล ทรงพลไม่ได้ขอให้เอาหลานไว้กับตัวเอง นั้นมันลูกของบูม เขาจะไม่ขอก้าวก่าย แค่เขาได้เลี้ยงบูมมาเหมือนลูกก็มากพอแล้ว แต่บูมรู้ใจพ่อว่าอยากเลี้ยงหลาน เลยตั้งใจเอามิเกลวไว้กับพ่อแม่ของตัวเอง และพากันไปแค่สองคนผัวเมีย
“วันหยุดนั้งเครื่องมาแป๊บเดียว ปู่ย่านะอย่าตามใจหลานมากเด้อ เดียวเสียคน”
“เดียวถ่ายคลิปส่งให้ทุกวัน โทรหาทุกวันเด้อลูกๆ”
พ่อลูกกราบลากันก่อนที่จะเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพ บ้านที่ไม่มีลูกชายมันช่างเงียบเหงามากในความรู้สึกเขา เขาไม่เคยชินสักครั้งกับการที่ลูกไม่อยู่บ้าน แม้จะมีหลานตัวน้อยๆไว้คอยปลอบใจก็ตาม ถ้าบรีสไปจากบ้านอีกคนละ บ้านมันจะไม่เหงาเศร้าไปมากกว่านี้หรอ แค่คิดก็ใจเสียแล้ว แต่มันคือสิ่งที่ต้องเป็นไป ชีวิตทุกนต้องดำเนินต่อไป เปลี่ยนแปลงไปทุกวันตามกาลเวลา จะให้ยึดติดแต่สิ่งเดิมๆมันก็ไม่ใช่ บ้านที่ไม่เคยเงียบเหงา บ้านที่มีแต่เสียงหัวเราะ บ้านที่มีเด็กสองคนช่วยลากสายยางรดร้ำหญ้า เอาหญ้าให้วัวในฟาร์ม ภาพที่เด็กๆสองคนที่พ่อแม่พาทำอะไรก็ทำไม่เคยบ่นว่าขี้เกรียจ มันไม่มีอีกแล้ว
นงนุชรับหน้าที่เลี้ยงหลาน แต่มีหลานชายเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ทำให้บ้านดูไม่เงียบเหงาเหมือนที่ผ่านมา ส่วนทรงพลก็ดูฟาร์มเหมือนเคย พอเสร็จก็รีบมาดูหลานช่วยภรรยา ไม่ใช่จำเป็นแต่เขาตั้งใจ เขาอยากอยู่กับหลานๆ เล่นกับหลานๆเหมือนที่เขาเคยเล่นกับลูกๆมาก่อน แต่วันนี้ไม่มีบรีสแล้ว เพราะบรีสไปเรียนต่อมหาลัยที่ต่างจังหวัดเหมือนกัน กลับทีก็วันหยุด
“น้องบรีสจะทำงานที่ไหนวางแผนชีวิตไว้ยัง”
“บรีสจะเป็นชาวนา”
“แนะ ลูกคนนี้นิตลกอยู่เรื่อยเลย พ่อไม่ตลกนะน้องบรีส พ่อถามจริงๆ “
“บรีสว่าจะทำงานที่บ้านเราอ่ะพ่อ บรีสไม่อยากอยู่ไกลพ่อกับแม่”
ทรงพลยิ้มแล้วเอามือลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู ตลอดเวลาตอนเด็กๆ เด็กคนนี้ไม่เคยพูดว่าจะไปอยู่ไกลพ่อแม่เลยสักครั้ง