ตอนที่ได้ดูตัวอย่างหนัง Where We Belong ครั้งแรก สารภาพว่าเฉยๆ กึ่งไปทางไม่อยากดู เพราะจากตัวอย่างหนังรู้สึกถึงกลิ่นอายมิตรภาพของเพื่อนสาว แอบไปทางจิ้นวายนิดๆ ซึ่งไม่ใช่แนวเราเลย แต่จากประสบการณ์หนังที่มี BNK48 แสดงอย่าง Girl Don’t Cry, App War และ Homestay ก็เป็นหนังดี ให้ข้อคิดและแรงบันดาลใจมาตลอด เลยเชื่อมั่นในระดับหนึ่งว่าค่าย BNK48 คงไม่เอาน้องๆ มาแสดงหนังที่ไม่ดีหรอก
“เมื่อการอยู่ที่เดิมไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น การเดินทางเพื่อตามหาความฝันจึงเป็นคำตอบ”
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ “ซู” (เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ) สาวน้อยสุดอินดี้และเพื่อนซี้ “เบล” (แพรวา สุธรรมพงษ์) ที่ตัวติดกันตลอดเป็นปาท่องโก๋ แต่แล้ววันหนึ่งซูเกิดเบื่อชีวิต จึงตัดสินใจสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่ประเทศฟินแลนด์ เพื่อหนีไปให้พ้นจากความซ้ำซากจำเจของที่บ้าน ระหว่างนั้นซูและเบลก็ต้องจัดการสะสางปัญหาที่ค้างคาอยู่ของซู รวมทั้งใจจริงของเบลที่ไม่อยากให้ซูไป ซูกับเบลจะตัดสินใจเลือกทางเดินอย่างไร

Review: 7.5/10
เนื้อเรื่องสวยงามและอินดี้มาก!
ขอชื่นชมคุณ “คงเดช จาตุรันต์รัศมี” ผู้กำกับที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ดีและสวยงาม ทุกฉาก ทุกบทพูดที่ใส่เข้ามามันมีข้อคิดดีๆ แฝงอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะคิดไม่ได้ทันทีในตอนแรก แต่หลังหนังจบแล้ว ใช้เวลานั่งย่อยข้อมูลสักแปปหนึ่ง จะรู้สึกว่า โหว เจ๋งว่ะ! ฉากนั้นมันเป็นแบบนี้นี้เอง เช่น ฉากของคุณย่าของเบล เหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันแฝงข้อคิดดีๆ มาก
ฉากที่เราชอบ (แบบไม่สปอย)
มีหลายฉากที่เราชอบมาก แต่ขอเลือกฉากที่ไม่สปอยละกัน คือฉากที่ซูสอบสัมภาษณ์เพื่อจะชิงทุนไปเรียนต่อที่ฟินแลนด์ กรรมการถามซูว่า “ความฝันของหนูคืออะไร?” ซูตอบตามจริงว่า “หนูไม่มีความฝัน…” กรรมการอึ้งไปเลย นี้ฉันกำลังจะให้ทุนกับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฟินแลนด์และไม่มีความฝันเนี่ยนะ แต่ซูก็ตอบต่อว่า “เพราะงั้นหนูถึงอยากไปฟินแลนด์ ประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เพราะหวังว่าที่นั้นจะช่วยให้หนูรู้ได้ว่าความฝันของหนูคืออะไร” เป็นคำตอบน่าเอาไปลอกตอนสอบสัมภาษณ์บ้าง 😂 ยังบทพูดธรรมดาๆ แต่แฝงข้อคิดอีกเยอะมาก

มิตรภาพงดงามระหว่างเพื่อนสาว
ตอนดูตัวอย่างแอบกลัวว่าเรื่องนี้จะเน้นจิ้นวายเป็นจุดขายหรือเปล่า แต่พอดูจบแล้วรู้สึกได้ถึงความรักบริสุทธิ์แบบเพื่อนที่เบลมีให้ซูจริงๆ ซูเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดของเบล แต่ก็ไม่ได้เกินเลยไปมากกว่านั้น ชอบที่หนังไม่ได้ยัดเยียดความจิ้นมากเกินไป แล้วแต่คนดู จะจิ้นกันต่อเองก็ได้ หนังทำให้เรานึกย้อนกลับไปสมัยมัธยม ความสัมพันธ์แบบในหนังมัน Real มาก ความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างทำเพื่อเพื่อนอีกคนอย่างดีที่สุด แต่…
“คำว่า 'ดีที่สุด' ของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน”
เบลทำเพื่อซูทุกอย่างจริงๆ ช่วยจัดกระเป๋าเดินทาง ไปรอหน้าห้องสัมภาษณ์ ช่วยให้เพื่อนที่ทะเลาะกันให้กลับมาคืนดีกันก็เพื่อซู ในขณะที่ซูอยู่กับเบลตลอดก็จริง แต่ในหนังซูไม่เคยถามเลยว่าเบลต้องการอะไร อยากทำอะไร ซูจะคิดแต่เรื่องของตัวเองมาก่อนเสมอ ประโยคสะเทือนใจที่ซูพูดกับเบลคือ
“ไม่ใช่ว่าเราไม่รักแก แต่เราให้แกได้ดีที่สุดเท่านี้”
ซึ่งหากเป็นเราในตอนเด็ก เราคงจะมองว่าซูผิดที่เห็นแก่ตัว รักเพื่อนไม่เท่ากับที่เพื่อนรักตัวเอง แต่พอโตแล้วเรากลับเข้าใจซู ซูไม่ผิดที่คิดถึงความต้องการของตัวเองก่อน เบลก็ไม่ผิดที่เอาซูมาไว้เป็นที่หนึ่ง และคาดหวังลึกๆ ว่าซูจะเอาตัวเองมาเป็นที่หนึ่งบ้าง แต่เมื่อเราตั้งความหวังเอง แล้วเราผิดหวัง เราก็ต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเราเองให้ได้

บทนี้เกิดมาเพื่อเจนนิษฐ์จริงๆ
เป็นจุดเริ่มต้นที่สวยงามในวงการแสดงของ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ ส่วนตัวไม่ค่อยได้ติดตาม BNK48 แต่เคยดูน้องเจนนิษฐ์พูดตอนที่ประกาศผล Senbatsu General Election ก็รู้สึกว่าน้องเป็นคนน่ารัก อินดี้ในระดับหนึ่ง ซึ่งบทของซูมันส่งกับบุคลิกของน้องมาก จนแอบคิดว่านี้คนเขียนบทสร้างตัวละครนี้มาเพื่อเจนนิษฐ์เลยหรือเปล่า เหมือนน้องกำลังแสดงเป็นตัวเอง ซึ่งเหมือนจะไม่ยากอะไร แต่ฉากที่ทำให้เห็นฝีมือการแสดงของน้องจริงๆ คือฉากที่ไปเจอร่างทรงของแม่ และฉากร้องไห้บนเครื่องเล่น น้องจัดเต็มอินเนอร์ดีตลอดทั้งเรื่อง อาจจะยังไม่อินถึงขนาดร้องไห้ตาม แต่ก็อินแบบรู้สึกเศร้าไปด้วยเลย
มิวสิคยังไปได้อีกไกล
การแสดงของมิวสิคก็ถือว่าดีสำหรับหนังเรื่องแรก แสดงเป็นสาวน้อยก๋ากั๋น รักเพื่อนได้ดี แต่ยังมีความรู้สึกว่าการแสดงของมิวสิคโดนเจนนิษฐ์กลบนิดหน่อย อาจด้วยความที่บทหนังเน้นไปที่ซูมากกว่า หลายๆ ฉากควรจะเป็นของเบล เช่น ฉากเปิดใจที่ทะเล ฉากไปซื้อของกับแม่เบล ฉากย่าของเบล เรากลับจดจำการแสดงของซูได้มากกว่า ซึ่งมิวสิคแสดงภายนอกได้ดี แต่อินเนอร์ยังไม่เท่าเจนนิษฐ์ หากพัฒนาเรื่องนี้ได้ น้องจะเป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่น่าติดตามได้เลย
คนที่ทำให้เราเสียน้ำตา
นอกจากตัวเอกสองคนนี้แล้ว อยากชื่นชมนักแสดงรุ่นใหญ่อย่างคุณ “ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย” ที่รับบทเป็นพ่อของซู เป็นคนที่ทำให้เราเสียน้ำตากับหนังเรื่องนี้ได้ แสดงเป็นพ่อที่เข้มงวด และไม่ค่อยได้แสดงความรักกับลูกๆ และต่อต้านการไปเรียนต่อของซู แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรัก ความห่วงใยที่มีให้ซู โดยเฉพาะฉากจบมันบีบใจจนทำให้เราร้องไห้ตาม

ใครควรไปดูหนังเรื่องนี้บ้าง (นอกจากแฟนๆ BNK48)
เหมาะกับคนกำลังมองหาข้อคิดและแรงบันดาลใจ ก่อนไปดูหนังควรเปิดใจให้กว้าง เปิดสมองให้โล่ง รับข้อมูลเข้ามาเต็มๆ แล้วค่อยๆ คิดตาม เพราะถ้าไม่คิดอะไรเลย จะรู้สึกว่าหนังยาว และดำเนินเรื่องเอื่อยจนอยากหลับ หลายๆ ฉากใส่มาทำไมไม่รู้ แต่ถ้าคิดตามดีๆ ตั้งใจฟังทุกบทพูด จะมีข้อคิดแฝงอยู่ในบทที่เหมือนจะไม่สำคัญเหล่านั้น
หนังอินดี้ที่โคตรอิน โคตรดี แต่ไม่สนุก
เป็นหนังอินดี้ ที่เนื้อเรื่องดี แต่ไม่สนุกเท่าไหร่ คำว่าไม่สนุกของเราคือ ไม่ได้รู้สึกอยากดูรวดเดียวจบ ถ้าเปิดดูเองที่บ้าน คงจะดูไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักแล้วค่อยกลับมาดูใหม่ มีแอบสัปหงกบ้างกลางเรื่อง ต้องพยายามถ่างตาดูจนจบ แต่พอดูจบแล้วรู้สึกว่าดีจริงๆ ที่ได้มาดู เป็นการจุดไฟเล็กๆ ให้เราอยากใช้ชีวิตตามความรู้สึกของเราเอง ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และกล้าที่จะเดินทางหาความฝันแบบซูบ้าง
สรุปอาทิตย์นี้แนะนำหนังดี 2 เรื่องค่า ใครอยากดูหนังสนุกผ่อนคลายขอเชิญ MIB: International แต่ถ้าอยากดูหนังมีข้อคิดขอเชิญ Where We Belong จ้า ใครไปดูมาแล้ว คิดว่ายังบ้างคะ เล่าสู่กันฟังได้ 👇
[CR] รีวิวหนัง Where We Belong (2019) 7.5/10: หนังอินดี้ที่มีดีทุกฉาก
“เมื่อการอยู่ที่เดิมไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น การเดินทางเพื่อตามหาความฝันจึงเป็นคำตอบ”
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ “ซู” (เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ) สาวน้อยสุดอินดี้และเพื่อนซี้ “เบล” (แพรวา สุธรรมพงษ์) ที่ตัวติดกันตลอดเป็นปาท่องโก๋ แต่แล้ววันหนึ่งซูเกิดเบื่อชีวิต จึงตัดสินใจสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่ประเทศฟินแลนด์ เพื่อหนีไปให้พ้นจากความซ้ำซากจำเจของที่บ้าน ระหว่างนั้นซูและเบลก็ต้องจัดการสะสางปัญหาที่ค้างคาอยู่ของซู รวมทั้งใจจริงของเบลที่ไม่อยากให้ซูไป ซูกับเบลจะตัดสินใจเลือกทางเดินอย่างไร
เนื้อเรื่องสวยงามและอินดี้มาก!
ขอชื่นชมคุณ “คงเดช จาตุรันต์รัศมี” ผู้กำกับที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ดีและสวยงาม ทุกฉาก ทุกบทพูดที่ใส่เข้ามามันมีข้อคิดดีๆ แฝงอยู่เสมอ ซึ่งอาจจะคิดไม่ได้ทันทีในตอนแรก แต่หลังหนังจบแล้ว ใช้เวลานั่งย่อยข้อมูลสักแปปหนึ่ง จะรู้สึกว่า โหว เจ๋งว่ะ! ฉากนั้นมันเป็นแบบนี้นี้เอง เช่น ฉากของคุณย่าของเบล เหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันแฝงข้อคิดดีๆ มาก
มีหลายฉากที่เราชอบมาก แต่ขอเลือกฉากที่ไม่สปอยละกัน คือฉากที่ซูสอบสัมภาษณ์เพื่อจะชิงทุนไปเรียนต่อที่ฟินแลนด์ กรรมการถามซูว่า “ความฝันของหนูคืออะไร?” ซูตอบตามจริงว่า “หนูไม่มีความฝัน…” กรรมการอึ้งไปเลย นี้ฉันกำลังจะให้ทุนกับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับฟินแลนด์และไม่มีความฝันเนี่ยนะ แต่ซูก็ตอบต่อว่า “เพราะงั้นหนูถึงอยากไปฟินแลนด์ ประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก เพราะหวังว่าที่นั้นจะช่วยให้หนูรู้ได้ว่าความฝันของหนูคืออะไร” เป็นคำตอบน่าเอาไปลอกตอนสอบสัมภาษณ์บ้าง 😂 ยังบทพูดธรรมดาๆ แต่แฝงข้อคิดอีกเยอะมาก
ตอนดูตัวอย่างแอบกลัวว่าเรื่องนี้จะเน้นจิ้นวายเป็นจุดขายหรือเปล่า แต่พอดูจบแล้วรู้สึกได้ถึงความรักบริสุทธิ์แบบเพื่อนที่เบลมีให้ซูจริงๆ ซูเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดของเบล แต่ก็ไม่ได้เกินเลยไปมากกว่านั้น ชอบที่หนังไม่ได้ยัดเยียดความจิ้นมากเกินไป แล้วแต่คนดู จะจิ้นกันต่อเองก็ได้ หนังทำให้เรานึกย้อนกลับไปสมัยมัธยม ความสัมพันธ์แบบในหนังมัน Real มาก ความสัมพันธ์ที่ต่างฝ่ายต่างทำเพื่อเพื่อนอีกคนอย่างดีที่สุด แต่…
“คำว่า 'ดีที่สุด' ของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน”
“ไม่ใช่ว่าเราไม่รักแก แต่เราให้แกได้ดีที่สุดเท่านี้”
ซึ่งหากเป็นเราในตอนเด็ก เราคงจะมองว่าซูผิดที่เห็นแก่ตัว รักเพื่อนไม่เท่ากับที่เพื่อนรักตัวเอง แต่พอโตแล้วเรากลับเข้าใจซู ซูไม่ผิดที่คิดถึงความต้องการของตัวเองก่อน เบลก็ไม่ผิดที่เอาซูมาไว้เป็นที่หนึ่ง และคาดหวังลึกๆ ว่าซูจะเอาตัวเองมาเป็นที่หนึ่งบ้าง แต่เมื่อเราตั้งความหวังเอง แล้วเราผิดหวัง เราก็ต้องรับผิดชอบความรู้สึกของตัวเราเองให้ได้
เป็นจุดเริ่มต้นที่สวยงามในวงการแสดงของ เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ ส่วนตัวไม่ค่อยได้ติดตาม BNK48 แต่เคยดูน้องเจนนิษฐ์พูดตอนที่ประกาศผล Senbatsu General Election ก็รู้สึกว่าน้องเป็นคนน่ารัก อินดี้ในระดับหนึ่ง ซึ่งบทของซูมันส่งกับบุคลิกของน้องมาก จนแอบคิดว่านี้คนเขียนบทสร้างตัวละครนี้มาเพื่อเจนนิษฐ์เลยหรือเปล่า เหมือนน้องกำลังแสดงเป็นตัวเอง ซึ่งเหมือนจะไม่ยากอะไร แต่ฉากที่ทำให้เห็นฝีมือการแสดงของน้องจริงๆ คือฉากที่ไปเจอร่างทรงของแม่ และฉากร้องไห้บนเครื่องเล่น น้องจัดเต็มอินเนอร์ดีตลอดทั้งเรื่อง อาจจะยังไม่อินถึงขนาดร้องไห้ตาม แต่ก็อินแบบรู้สึกเศร้าไปด้วยเลย
การแสดงของมิวสิคก็ถือว่าดีสำหรับหนังเรื่องแรก แสดงเป็นสาวน้อยก๋ากั๋น รักเพื่อนได้ดี แต่ยังมีความรู้สึกว่าการแสดงของมิวสิคโดนเจนนิษฐ์กลบนิดหน่อย อาจด้วยความที่บทหนังเน้นไปที่ซูมากกว่า หลายๆ ฉากควรจะเป็นของเบล เช่น ฉากเปิดใจที่ทะเล ฉากไปซื้อของกับแม่เบล ฉากย่าของเบล เรากลับจดจำการแสดงของซูได้มากกว่า ซึ่งมิวสิคแสดงภายนอกได้ดี แต่อินเนอร์ยังไม่เท่าเจนนิษฐ์ หากพัฒนาเรื่องนี้ได้ น้องจะเป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่น่าติดตามได้เลย
นอกจากตัวเอกสองคนนี้แล้ว อยากชื่นชมนักแสดงรุ่นใหญ่อย่างคุณ “ขจรศักดิ์ รัตนนิสสัย” ที่รับบทเป็นพ่อของซู เป็นคนที่ทำให้เราเสียน้ำตากับหนังเรื่องนี้ได้ แสดงเป็นพ่อที่เข้มงวด และไม่ค่อยได้แสดงความรักกับลูกๆ และต่อต้านการไปเรียนต่อของซู แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรัก ความห่วงใยที่มีให้ซู โดยเฉพาะฉากจบมันบีบใจจนทำให้เราร้องไห้ตาม
เหมาะกับคนกำลังมองหาข้อคิดและแรงบันดาลใจ ก่อนไปดูหนังควรเปิดใจให้กว้าง เปิดสมองให้โล่ง รับข้อมูลเข้ามาเต็มๆ แล้วค่อยๆ คิดตาม เพราะถ้าไม่คิดอะไรเลย จะรู้สึกว่าหนังยาว และดำเนินเรื่องเอื่อยจนอยากหลับ หลายๆ ฉากใส่มาทำไมไม่รู้ แต่ถ้าคิดตามดีๆ ตั้งใจฟังทุกบทพูด จะมีข้อคิดแฝงอยู่ในบทที่เหมือนจะไม่สำคัญเหล่านั้น
หนังอินดี้ที่โคตรอิน โคตรดี แต่ไม่สนุก
เป็นหนังอินดี้ ที่เนื้อเรื่องดี แต่ไม่สนุกเท่าไหร่ คำว่าไม่สนุกของเราคือ ไม่ได้รู้สึกอยากดูรวดเดียวจบ ถ้าเปิดดูเองที่บ้าน คงจะดูไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักแล้วค่อยกลับมาดูใหม่ มีแอบสัปหงกบ้างกลางเรื่อง ต้องพยายามถ่างตาดูจนจบ แต่พอดูจบแล้วรู้สึกว่าดีจริงๆ ที่ได้มาดู เป็นการจุดไฟเล็กๆ ให้เราอยากใช้ชีวิตตามความรู้สึกของเราเอง ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และกล้าที่จะเดินทางหาความฝันแบบซูบ้าง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้