
เชื่อว่าชาว Pantip น่าจะเคยอ่านรีวิวท่องเที่ยวเกาหลีกันมาเยอะแล้ว และหลายท่านก็น่าจะเคยไปเที่ยวเองมาแล้วหลายรอบด้วย แต่อย่างไรก็ขอฝากกระทู้นี้ของผมไว้อีกหนึ่ง ถือว่าเป็นทริปเล่าสู่กันฟังแล้วกันนะครับ
จริงๆ แล้วแผนการเดินทางไปเที่ยวเกาหลีของผมเริ่มต้นตั้งแต่ปีที่แล้ว 2018 แต่เกิดมีปัญหาเรื่องการจองตั๋วผิดวันไปซะก่อน ทำให้ตกเครื่อง 2 ไฟลท์ซ้อน จำต้องเลื่อนมาเดินทางใหม่ในปีนี้แทน
จากการมองหาวันว่างในตารางงานอันแสนแน่นเอี๊ยดแล้ว ฤกษ์งามๆ มาตกลงที่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งสามารถลาพักร้อนจุกๆ ตรงกลางระหว่างวันหยุดนักขัตฤกษ์ 2 งาน เหมารวมเป็น 1 สัปดาห์เต็มพอดี ทริปนี้เริ่มต้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางโดยสายการบิน T'Way หลังเที่ยงคืน บินตรงถึงสนามบิน Incheon (อินชอน) ประมาณ 8 โมงเช้า ของวันที่ 1 พฤษภาคม
ด่านแรกที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกังวลในการเดินทางไปยังประเทศเกาหลีใต้คือ การผ่าน ตม. ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกกลัวมาก่อนเลย จนกระทั่งก่อนวันเดินทาง 2-3 วัน มีข่าวเที่ยวบินจากไทยถูกส่งกลับแบบยกลำกำลังเป็นกระแสพอดี สุดท้ายจึงต้องรีบไปแจ้งทำเอกสารรับรองต่างๆ ทุกชนิดเพื่อการันตีว่าจะไม่ติด ตม. นะ แต่สุดท้ายก็ผ่าน ตม. ไปได้โดยไม่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่เลยซักคำ ;)
Day 1

หลังจากรับกระเป๋าออกมาก็ต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน ที่สนามบินมีร้านสะดวกซื้ออยู่หลายร้าน ราคาไม่แพง สำหรับคนที่มีบัตร T-money หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า Cash bee (แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเรียกว่า T-money อยู่ดี) สามารถแวะซื้อหรือเติมเงินที่ร้านสะดวกซื้อได้เลย ซึ่งในทริปนี้ผมมีบัตร Cash bee ที่ยืมจากเพื่อนที่ไทยมาก่อนแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการเดินทางจากสนามบินอินชอนเข้าสู่โซล ส่วนวิธีการนั้นมีให้เลือกตามสะดวก มีทั้งรถไฟฟ้า รถบัส และรถแท็กซี่ เลือกใช้ได้ตามอัธยาศัย ซึ่งรอบนี้เราจะเดินทางด้วย Airport Limousine Bus สาย 6002 ที่จะพาผมไปส่งใกล้ที่พักบริเวณย่าน Sinchon (ชินช่น)
*** Website - Application เช็คสายรถบัส / จุดจอด / ตารางเดินรถ ***
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เช็คสาย จุดจอด เวลา ราคา Airport Limousine Bus
http://www.airportlimousine.co.kr/eng/lbr/lbr02_1.php
Application เช็คสายรถ Bus ของ Google Play
https://play.google.com/store/apps/details?id=com.astroframe.seoulbus&hl=en
Application เช็คสายรถ Bus ของ App Store
https://apps.apple.com/us/app/kakaobus/id1095206186
สำหรับคนที่ยังไม่มีบัตร Cash bee ให้ติดต่อซื้อตั๋วที่ Bus Ticket Office เจ้าหน้าที่ใจดี น่ารัก สงสัยอะไรให้สอบถามจากตรงนี้ได้เลย ส่วนคนที่มีบัตร Cash bee ให้ออกไปรอรถที่บริเวณท่ารถได้เลย เวลาขึ้นรถจะมีเครื่องสแกนให้ใช้บัตร Cash bee แตะ 1 ครั้งเพื่อชำระเงินแทนการใช้ตั๋ว ซึ่งจะมีป้ายบอกไว้ว่าท่าไหนสำหรับขึ้นรถสายไหน เมื่อรถมาถึงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะลงรถที่จุดจอดไหน เจ้าหน้าที่จะแปะสติ๊กเกอร์ที่สัมภาระและนำไปเก็บไว้ใต้รถให้เรา และเมื่อถึงที่หมายเจ้าหน้าที่จะมาช่วยยกสัมภาระลงให้เราครับ
รถบัสที่เกาหลีจะมีสัญญาณเสียงแจ้งชื่อสถานีทุกป้ายที่จะจอด มีทั้งภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษ หากเราจะลงป้ายไหนให้กดกริ่ง หลังจากได้ยินเสียงประกาศชื่อสถานีที่จะลง นอกจากรถบัสแล้ว รถไฟฟ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้น การเดินทางในเกาหลีสำหรับชาวต่างชาติเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
สำหรับที่พักตลอด 6 คืนของทริปนี้ ได้แก่ DH Sinchon Guesthoust อยู่ใกล้สถานี Sinchon ทำเลดีมากๆ ห้องค่อนข้างแคบถ้าพักปกติแบบ 2 คน แต่ผมเดินทางไปคนเดียว ก็เลยกลายเป็นห้องขนาดพอดีๆ เพราะถึงยังไงก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกห้องอยู่แล้ว
หลังจากฝากกระเป๋าไว้กับที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเตร็ดเตร่ไปในกรุงโซลกันแล้วจ้า
이화여자대학교
Ehwa Womans University
มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา
เริ่มต้นการเตร็ดเตร่ในโซลด้วยความมึนงง ประกอบกับอยากเดินเล่นสำรวจพื้นที่ใกล้ๆ เพื่อรอเวลาเช็คอิน สุดท้ายก็เดินเท้ามาโผล่ที่มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ที่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมของอาคารที่มีความแปลกใหม่และสวยงาม แลนด์มาร์กของที่นี่คืออาคารที่เจาะผ่านเนินเขาเข้าไป ใครที่มาเยือนก็ต้องมาถ่ายรูปทางเดินตรงกลางระหว่างตึกตรงนี้ ไม่อย่างนั้นจะถึงว่ามาไม่ถึงอีฮวา
นอกจากนี้ รอบๆ มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวายังเป็นแหล่งของร้านอาหาร คาเฟ่ และเป็นแหล่งช้อปปิ้งแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักศึกษาเกาหลี ขาช้อปกิน ขาช้อป ต้องห้ามพลาด
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานีอีฮวา (Ewha University) ทางออกที่ 2 หรือ 3 (สำหรับคนที่ไม่สะดวกเดินเท้า)
남산타워
N Seoul Tower (์Namsan Tower)
หอคอยกรุงโซล (หอคอยนัมซาน)
เสร็จจากการเดินเล่นแถวมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาก็ได้เวลาเช็คอินพอดี กว่าจะจัดของ อาบน้ำ ทานข้าวเสร็จก็เสียเวลาไปพอสมควร จุดหมายต่อไปคือหอคอยนัมซานหรือนัมซานทาวเวอร์ เช็คพอยต์บังคับสำหรับการไปโซลครั้งแรก ถ้าไม่ได้มาจะเหมือนทริปไม่สมบูรณ์(คิดเอาเอง) หอคอยนัมซานตั้งอยู่บนเขานัมซาน อย่างที่ทราบกันดีว่าที่นี่มีจุดคล้องกุญแจคู่รัก คนที่มาคนเดี่ยวๆ ก็จะเหงาๆ เขินๆ หน่อย ทำตัวไม่ถูก จะคล้องกุญแจบ้างก็ดูจะผิดขนบธรรมเนียม เลยได้แต่นั่งชมวิวกรุงโซลสู้ลมหนาวไปพลางๆ แทน
ทีแรกคิดว่าจะเดินทางขึ้นมาถึงประมาณช่วงท้องฟ้าสีส้มๆ ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ไม่คาดคิดมาก่อนว่า Cable Car จะแถวยาวมหาศาลยิ่งกว่ามังกรตรุษจีนปากน้ำโพเสียอีก กว่าจะได้ขึ้นมาจริงๆ ดวงอาทิตย์ก็โบกมือลาขอตัวไปนอนก่อนตั้งนานแล้ว การมาเยือนในครั้งนี้จึงได้ภาพวิวแสงไฟยามค่ำคืนของกรุงโซลไปแทน
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 4 ลงสถานีมยองดง (Myeongdong) ทางออกที่ 3 จากนั้นนั่ง Shuttle Bus No.05 หรือเดินมาทาง Pacific Hotel ประมาณ 15 นาที ทั้ง 2 วิธีจะพามาที่สถานี Cable Car (ค่าขึ้น Cable Car สำหรับ 1 คน ไป-กลับ 9,500 W)
Day 2
Bukchon Hanok Village
북촌한옥마을
หมู่บ้านวัฒนธรรมบุกช่นฮันอก
วันที่สองของการเตร็ดเตร่ในกรุงโซล ตั้งใจว่าจะไปเดินในโซนวัง จึงเริ่มต้นที่หมู่บ้านบุกช่น ฮันอก (Bukchon Hanok Village) เป็นชุมชนกลางกรุงโซลที่อาคารบ้านเรือนยังมีความโบราณอยู่ นักท่องเที่ยวจึงนิยมสวมใส่ชุดฮันบกไปเดินเที่ยวชม และถ่ายรูปโดยมีความสวยงามของอาคารบ้านเรือนเป็นฉากหลัง ในส่วนหนึ่งของชุมชนเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร ร้านคาเฟ่เท่ๆ และร้านขายของฝากของที่ระลึก แต่เนื่องจากชาวชุมชนบางส่วนซึ่งเป็นผู้อาศัยจริงๆ ยังคงรักความเป็นส่วนตัวสูง หลายครั้งที่มีข่าวการประท้วงนักท่องเที่ยวให้เห็นกันบ่อยๆ ทำให้นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องระมัดระวังในการรักษาความสงบและสำรวมในกิริยามารยาทกันซักหน่อย เพื่อไม่ให้ไปรบกวนการอยู่อาศัยของเจ้าของพื้นที่ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจะได้ใช้พื้นที่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขนะครับ
ระหว่างเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านบุกช่นก็ไปสะดุดตากับร้านขายไอศกรีมพุงออปัง (붕어빵) หรือ ขนมปังปลา ซึ่งเป็นหนึ่งในขนม Signature ของเกาหลี ถ้าตามฉบับดั้งเดิมจะเป็นขนมปังรูปปลาสอดไส้ถั่วแดง แต่ถูกนำมาดัดแปลงให้ส่วนปากปลาเป็นช่องใส่ไอศกรีมโยเกิร์ตโรยด้วยทอปปิ้ง ฟองดู และเปเปโร (빼빼로) ป๊อกกี้ของเกาหลี ส่วนท่อนล่างของตัวปลามีไส้คัตตาร์ดซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไอศกรีมโยเกิร์ตเนี่ย กินแล้วรู้สึกสดชื่น หายเหนื่อยจากการเดินขี้นเนิน ลงเนินในหมู่บ้านได้ดีทีเดียวเชียวล่ะ
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงสถานีอันกุก (Anguk) ทางออกที่ 2
그린마일 커피 (북촌점)
Green Mile Coffee (Bukchon)
กรีน มายล์ คอฟฟี่ (บุกช่น)
ระหว่างเดินอยู่ในหมู่บ้านบุกช่นก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นรีวิวใน Facebook หลายอันพูดถึงร้านกาแฟที่มีวิวดาดฟ้าเป็นหลังคาบ้านโบราณของเกาหลี ร้านนั้นก็คือ Green Mile Coffee สาขา Bukchon ร้านกาแฟหน้าตาสะอาดสะอ้าน ตกแต่งแบบมินิมอล เน้นไม้อัดสไตล์ญี่ปุ่น บรรยากาศของร้านจะชวนให้เราอยู่ในความเงียบสงบโดยอัตโนมัติ ตัวร้านแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นจุดรับออเดอร์ จากนั้นจะได้รับป้ายเลขออเดอร์มา เพื่อขึ้นมาหาที่นั่งบนชั้น 2 และชั้นบนสุดจะเป็นดาดฟ้าสำหรับขึ้นมาถ่ายรูปได้ (แต่ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาทานบนนี้เด็ดขาด)
เนื่องจากเป็นคนที่ดื่มกาแฟไม่ได้ ชาเขียวจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของร้านนี้ รสชาติกลมกล่อมกำลังดี นอกจากเมนูพื้นฐานทั่วไปแล้ว ยังมีเมนูชื่อแปลกๆ หลายรายการ ที่สะดุดตาคือ Bangkok Soda ใครเคยลองช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะ
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงสถานีอันกุก (Anguk) ทางออกที่ 2 เดินขึ้นเหนือไปบนถนนอันกุกพอสมควร ร้านอยู่ริมถนน แต่ต้องตั้งใจสังเกตหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเดินเลยร้านไปแน่ๆ ให้ใช้ GPS นำทางจะดีกว่า
경복궁
Gyeongbokgung
พระราชวังคยองบก
เสร็จจากย่านบุกช่น ก็เดินต่อมาสถานที่ใกล้ๆ กัน นั่นคือพระราชวังคยองบก หรือ คยองบกกุง โชคดีที่เดินทางมาถึงตอนเริ่มโชว์พิธีเปลี่ยนเวรยาม (Royal Guard Changing Ceremony) พอดิบพอดี นอกจากโชว์เปลี่ยนเวรยามที่น่าตื่นตาตื่นใจ และความสวยงามของพระราชวังแล้ว ยังมี National Palace Museum และ National Folk Museum ด้วย ถ้ามีเวลาพอควรแวะเข้าไปเยี่ยมชมครับ
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงสถานีคยองบกกุง (Gyeongbokgung) ทางออกที่ 5
[CR] A Week in Seoul - เตร็ดเตร่ไปในกรุงโซล - #1
เชื่อว่าชาว Pantip น่าจะเคยอ่านรีวิวท่องเที่ยวเกาหลีกันมาเยอะแล้ว และหลายท่านก็น่าจะเคยไปเที่ยวเองมาแล้วหลายรอบด้วย แต่อย่างไรก็ขอฝากกระทู้นี้ของผมไว้อีกหนึ่ง ถือว่าเป็นทริปเล่าสู่กันฟังแล้วกันนะครับ
จริงๆ แล้วแผนการเดินทางไปเที่ยวเกาหลีของผมเริ่มต้นตั้งแต่ปีที่แล้ว 2018 แต่เกิดมีปัญหาเรื่องการจองตั๋วผิดวันไปซะก่อน ทำให้ตกเครื่อง 2 ไฟลท์ซ้อน จำต้องเลื่อนมาเดินทางใหม่ในปีนี้แทน
จากการมองหาวันว่างในตารางงานอันแสนแน่นเอี๊ยดแล้ว ฤกษ์งามๆ มาตกลงที่ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งสามารถลาพักร้อนจุกๆ ตรงกลางระหว่างวันหยุดนักขัตฤกษ์ 2 งาน เหมารวมเป็น 1 สัปดาห์เต็มพอดี ทริปนี้เริ่มต้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ เดินทางโดยสายการบิน T'Way หลังเที่ยงคืน บินตรงถึงสนามบิน Incheon (อินชอน) ประมาณ 8 โมงเช้า ของวันที่ 1 พฤษภาคม
ด่านแรกที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกังวลในการเดินทางไปยังประเทศเกาหลีใต้คือ การผ่าน ตม. ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกกลัวมาก่อนเลย จนกระทั่งก่อนวันเดินทาง 2-3 วัน มีข่าวเที่ยวบินจากไทยถูกส่งกลับแบบยกลำกำลังเป็นกระแสพอดี สุดท้ายจึงต้องรีบไปแจ้งทำเอกสารรับรองต่างๆ ทุกชนิดเพื่อการันตีว่าจะไม่ติด ตม. นะ แต่สุดท้ายก็ผ่าน ตม. ไปได้โดยไม่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่เลยซักคำ ;)
หลังจากรับกระเป๋าออกมาก็ต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน ที่สนามบินมีร้านสะดวกซื้ออยู่หลายร้าน ราคาไม่แพง สำหรับคนที่มีบัตร T-money หรือที่ปัจจุบันเรียกว่า Cash bee (แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเรียกว่า T-money อยู่ดี) สามารถแวะซื้อหรือเติมเงินที่ร้านสะดวกซื้อได้เลย ซึ่งในทริปนี้ผมมีบัตร Cash bee ที่ยืมจากเพื่อนที่ไทยมาก่อนแล้ว
ขั้นตอนต่อไปคือการเดินทางจากสนามบินอินชอนเข้าสู่โซล ส่วนวิธีการนั้นมีให้เลือกตามสะดวก มีทั้งรถไฟฟ้า รถบัส และรถแท็กซี่ เลือกใช้ได้ตามอัธยาศัย ซึ่งรอบนี้เราจะเดินทางด้วย Airport Limousine Bus สาย 6002 ที่จะพาผมไปส่งใกล้ที่พักบริเวณย่าน Sinchon (ชินช่น)
*** Website - Application เช็คสายรถบัส / จุดจอด / ตารางเดินรถ ***
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สำหรับคนที่ยังไม่มีบัตร Cash bee ให้ติดต่อซื้อตั๋วที่ Bus Ticket Office เจ้าหน้าที่ใจดี น่ารัก สงสัยอะไรให้สอบถามจากตรงนี้ได้เลย ส่วนคนที่มีบัตร Cash bee ให้ออกไปรอรถที่บริเวณท่ารถได้เลย เวลาขึ้นรถจะมีเครื่องสแกนให้ใช้บัตร Cash bee แตะ 1 ครั้งเพื่อชำระเงินแทนการใช้ตั๋ว ซึ่งจะมีป้ายบอกไว้ว่าท่าไหนสำหรับขึ้นรถสายไหน เมื่อรถมาถึงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าจะลงรถที่จุดจอดไหน เจ้าหน้าที่จะแปะสติ๊กเกอร์ที่สัมภาระและนำไปเก็บไว้ใต้รถให้เรา และเมื่อถึงที่หมายเจ้าหน้าที่จะมาช่วยยกสัมภาระลงให้เราครับ
รถบัสที่เกาหลีจะมีสัญญาณเสียงแจ้งชื่อสถานีทุกป้ายที่จะจอด มีทั้งภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษ หากเราจะลงป้ายไหนให้กดกริ่ง หลังจากได้ยินเสียงประกาศชื่อสถานีที่จะลง นอกจากรถบัสแล้ว รถไฟฟ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน ดังนั้น การเดินทางในเกาหลีสำหรับชาวต่างชาติเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
สำหรับที่พักตลอด 6 คืนของทริปนี้ ได้แก่ DH Sinchon Guesthoust อยู่ใกล้สถานี Sinchon ทำเลดีมากๆ ห้องค่อนข้างแคบถ้าพักปกติแบบ 2 คน แต่ผมเดินทางไปคนเดียว ก็เลยกลายเป็นห้องขนาดพอดีๆ เพราะถึงยังไงก็ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกห้องอยู่แล้ว
หลังจากฝากกระเป๋าไว้กับที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเตร็ดเตร่ไปในกรุงโซลกันแล้วจ้า
Ehwa Womans University
มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา
เริ่มต้นการเตร็ดเตร่ในโซลด้วยความมึนงง ประกอบกับอยากเดินเล่นสำรวจพื้นที่ใกล้ๆ เพื่อรอเวลาเช็คอิน สุดท้ายก็เดินเท้ามาโผล่ที่มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ที่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมของอาคารที่มีความแปลกใหม่และสวยงาม แลนด์มาร์กของที่นี่คืออาคารที่เจาะผ่านเนินเขาเข้าไป ใครที่มาเยือนก็ต้องมาถ่ายรูปทางเดินตรงกลางระหว่างตึกตรงนี้ ไม่อย่างนั้นจะถึงว่ามาไม่ถึงอีฮวา
นอกจากนี้ รอบๆ มหาวิทยาลัยสตรีอีฮวายังเป็นแหล่งของร้านอาหาร คาเฟ่ และเป็นแหล่งช้อปปิ้งแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในหมู่นักศึกษาเกาหลี ขาช้อปกิน ขาช้อป ต้องห้ามพลาด
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 2 ลงสถานีอีฮวา (Ewha University) ทางออกที่ 2 หรือ 3 (สำหรับคนที่ไม่สะดวกเดินเท้า)
남산타워
N Seoul Tower (์Namsan Tower)
หอคอยกรุงโซล (หอคอยนัมซาน)
เสร็จจากการเดินเล่นแถวมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวาก็ได้เวลาเช็คอินพอดี กว่าจะจัดของ อาบน้ำ ทานข้าวเสร็จก็เสียเวลาไปพอสมควร จุดหมายต่อไปคือหอคอยนัมซานหรือนัมซานทาวเวอร์ เช็คพอยต์บังคับสำหรับการไปโซลครั้งแรก ถ้าไม่ได้มาจะเหมือนทริปไม่สมบูรณ์(คิดเอาเอง) หอคอยนัมซานตั้งอยู่บนเขานัมซาน อย่างที่ทราบกันดีว่าที่นี่มีจุดคล้องกุญแจคู่รัก คนที่มาคนเดี่ยวๆ ก็จะเหงาๆ เขินๆ หน่อย ทำตัวไม่ถูก จะคล้องกุญแจบ้างก็ดูจะผิดขนบธรรมเนียม เลยได้แต่นั่งชมวิวกรุงโซลสู้ลมหนาวไปพลางๆ แทน
ทีแรกคิดว่าจะเดินทางขึ้นมาถึงประมาณช่วงท้องฟ้าสีส้มๆ ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน ไม่คาดคิดมาก่อนว่า Cable Car จะแถวยาวมหาศาลยิ่งกว่ามังกรตรุษจีนปากน้ำโพเสียอีก กว่าจะได้ขึ้นมาจริงๆ ดวงอาทิตย์ก็โบกมือลาขอตัวไปนอนก่อนตั้งนานแล้ว การมาเยือนในครั้งนี้จึงได้ภาพวิวแสงไฟยามค่ำคืนของกรุงโซลไปแทน
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 4 ลงสถานีมยองดง (Myeongdong) ทางออกที่ 3 จากนั้นนั่ง Shuttle Bus No.05 หรือเดินมาทาง Pacific Hotel ประมาณ 15 นาที ทั้ง 2 วิธีจะพามาที่สถานี Cable Car (ค่าขึ้น Cable Car สำหรับ 1 คน ไป-กลับ 9,500 W)
북촌한옥마을
หมู่บ้านวัฒนธรรมบุกช่นฮันอก
วันที่สองของการเตร็ดเตร่ในกรุงโซล ตั้งใจว่าจะไปเดินในโซนวัง จึงเริ่มต้นที่หมู่บ้านบุกช่น ฮันอก (Bukchon Hanok Village) เป็นชุมชนกลางกรุงโซลที่อาคารบ้านเรือนยังมีความโบราณอยู่ นักท่องเที่ยวจึงนิยมสวมใส่ชุดฮันบกไปเดินเที่ยวชม และถ่ายรูปโดยมีความสวยงามของอาคารบ้านเรือนเป็นฉากหลัง ในส่วนหนึ่งของชุมชนเป็นที่ตั้งของร้านอาหาร ร้านคาเฟ่เท่ๆ และร้านขายของฝากของที่ระลึก แต่เนื่องจากชาวชุมชนบางส่วนซึ่งเป็นผู้อาศัยจริงๆ ยังคงรักความเป็นส่วนตัวสูง หลายครั้งที่มีข่าวการประท้วงนักท่องเที่ยวให้เห็นกันบ่อยๆ ทำให้นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องระมัดระวังในการรักษาความสงบและสำรวมในกิริยามารยาทกันซักหน่อย เพื่อไม่ให้ไปรบกวนการอยู่อาศัยของเจ้าของพื้นที่ ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจะได้ใช้พื้นที่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขนะครับ
ระหว่างเดินเล่นอยู่ในหมู่บ้านบุกช่นก็ไปสะดุดตากับร้านขายไอศกรีมพุงออปัง (붕어빵) หรือ ขนมปังปลา ซึ่งเป็นหนึ่งในขนม Signature ของเกาหลี ถ้าตามฉบับดั้งเดิมจะเป็นขนมปังรูปปลาสอดไส้ถั่วแดง แต่ถูกนำมาดัดแปลงให้ส่วนปากปลาเป็นช่องใส่ไอศกรีมโยเกิร์ตโรยด้วยทอปปิ้ง ฟองดู และเปเปโร (빼빼로) ป๊อกกี้ของเกาหลี ส่วนท่อนล่างของตัวปลามีไส้คัตตาร์ดซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไอศกรีมโยเกิร์ตเนี่ย กินแล้วรู้สึกสดชื่น หายเหนื่อยจากการเดินขี้นเนิน ลงเนินในหมู่บ้านได้ดีทีเดียวเชียวล่ะ
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงสถานีอันกุก (Anguk) ทางออกที่ 2
그린마일 커피 (북촌점)
Green Mile Coffee (Bukchon)
กรีน มายล์ คอฟฟี่ (บุกช่น)
ระหว่างเดินอยู่ในหมู่บ้านบุกช่นก็นึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นรีวิวใน Facebook หลายอันพูดถึงร้านกาแฟที่มีวิวดาดฟ้าเป็นหลังคาบ้านโบราณของเกาหลี ร้านนั้นก็คือ Green Mile Coffee สาขา Bukchon ร้านกาแฟหน้าตาสะอาดสะอ้าน ตกแต่งแบบมินิมอล เน้นไม้อัดสไตล์ญี่ปุ่น บรรยากาศของร้านจะชวนให้เราอยู่ในความเงียบสงบโดยอัตโนมัติ ตัวร้านแบ่งเป็น 3 ชั้น ชั้นล่างเป็นจุดรับออเดอร์ จากนั้นจะได้รับป้ายเลขออเดอร์มา เพื่อขึ้นมาหาที่นั่งบนชั้น 2 และชั้นบนสุดจะเป็นดาดฟ้าสำหรับขึ้นมาถ่ายรูปได้ (แต่ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นมาทานบนนี้เด็ดขาด)
เนื่องจากเป็นคนที่ดื่มกาแฟไม่ได้ ชาเขียวจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจของร้านนี้ รสชาติกลมกล่อมกำลังดี นอกจากเมนูพื้นฐานทั่วไปแล้ว ยังมีเมนูชื่อแปลกๆ หลายรายการ ที่สะดุดตาคือ Bangkok Soda ใครเคยลองช่วยเล่าให้ฟังหน่อยนะ
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงสถานีอันกุก (Anguk) ทางออกที่ 2 เดินขึ้นเหนือไปบนถนนอันกุกพอสมควร ร้านอยู่ริมถนน แต่ต้องตั้งใจสังเกตหน่อย ไม่อย่างนั้นจะเดินเลยร้านไปแน่ๆ ให้ใช้ GPS นำทางจะดีกว่า
Gyeongbokgung
พระราชวังคยองบก
เสร็จจากย่านบุกช่น ก็เดินต่อมาสถานที่ใกล้ๆ กัน นั่นคือพระราชวังคยองบก หรือ คยองบกกุง โชคดีที่เดินทางมาถึงตอนเริ่มโชว์พิธีเปลี่ยนเวรยาม (Royal Guard Changing Ceremony) พอดิบพอดี นอกจากโชว์เปลี่ยนเวรยามที่น่าตื่นตาตื่นใจ และความสวยงามของพระราชวังแล้ว ยังมี National Palace Museum และ National Folk Museum ด้วย ถ้ามีเวลาพอควรแวะเข้าไปเยี่ยมชมครับ
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 3 ลงสถานีคยองบกกุง (Gyeongbokgung) ทางออกที่ 5
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้