จากเพจของพี่เต๋อ นวพล กับอีกครั้งของปัญหา CYBERBULLYING ที่ไม่เคยจางหายไป
https://www.facebook.com/ternawapol/posts/2341919739180020
คัดลอกจาก FB
"STOP CYBERBULLYING DAY :
10 ปีแห่งการไซเบอร์บุลลี่ จากเมธาวีถึงไข่มุก
วันสองวันก่อน ทาง dtac ส่งเมล์มาชวนให้นวพลเป็นตัวแทนเขียนถึงเรื่องวัน stop cyberbullying day (วันนี้ 21 มิ.ย.) สักเล็กน้อย ตอนแรกเอ๊ะ ผมเป็นตัวแทนได้ใช่มั๊ย 555 แต่พอคิดทวนอีกทีก็ เออ จริงๆตัวเองทำหนังเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดเกือบ 10 ปีเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม มันออกมาโดยอัตโนมัติ อาจจะเป็นเพราะมันเป็นประเด็นที่อยู่ใกล้ตัวเราตลอดเวลาก็เป็นได้
พอลองนั่งดูหนังสั้นเรื่อง มั่นใจว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนเกลียดเมธาวี ไล่มาถึงหนังสั้น thank you fro sharing มาจบที่คลิป deleted scene จาก girls don't cry ที่เคยทำให้ไข่มุกเมื่อสองสามเดือนก่อน เราก็พบความจริงอย่างหนึ่งว่า หนังเรื่องเมธาวีเริ่มทำในปี 2011 และคลิปไข่มุกทำในปี 2019 โอ้โห นี่ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้ว ปัญหา cyberbullying

ก็ยังไม่จบอีกและมีทีท่าว่าจะรุนแรงและซับซ้อนหลากสไตล์มากขึ้นเรื่อยๆ , นี่มันจะ 10 ปีแล้วนะเว่ย (ย้ำอีกที) ถ้าผมยังสามารถทำหนังประเด็นนี้ได้อยู่ อาจจะแปลว่าปัญหานี้ไม่เคยหมดไปเลยจริงๆ
ผมคิดเสมอว่าพฤติกรรมมนุษย์จะเปลี่ยนทุกครั้งเวลามีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่เกิดขึ้น อินเทอร์เน็ตคือการเปลี่ยนแปลงนั้น , เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้มากขึ้น เจอคนที่มีความชอบและรสนิยมแบบเดียวกันได้มากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักกันหรือไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน ไอ้ความที่ไม่ต้องเห็นหน้ากันหรือไม่ต้องรู้จักกันนี่แหละที่ทำให้อินเทอร์เน็ตได้สร้างอาวุธชนิดใหม่ขึ้นมาซึ่งเป็นร่างมืดของตัวมันเอง ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนที่เราจะมีอินเทอร์เน็ต การจะเดินไปด่าคนๆหนึ่งมันต้องใช้ใจและศักดิ์ศรีมากนะ เพราะมันต้องพูดต่อหน้าเขาซึ่งๆหน้า มันต้องกล้าและคิดไตร่ตรองก่อนทำประมาณหนึ่ง แต่ทันทีที่เราสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องเห็นหน้า เราก็ไม่ต้องใช้ใจและศักดิ์ศรีอีกต่อไป อยากด่าอะไรก็ไปพิมพ์ซัดที่หน้าวอลล์เขาได้เลย กำแพงแห่งการคิดไตร่ตรองก่อนทำก็ไม่ต้องมีอีกต่อไป เพราะทุกคนต่างรู้สึกปลอดภัยที่หน้าคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ภายใต้ชื่อ username ปลอมนั้น เราก็รู้สึกว่าเราไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีกต่อไป พิมพ์ด่าเสร็จขำๆก็หันกลับไปสั่งชาไข่มุกแล้วเดินเล่นสยามสบายใจตามปกติ ราวกับคนที่เราเพิ่งพิมพ์ด่าเขาไปแค่ตัวละครสมมติในนิยาย ไม่ได้มีเลือดเนื้อจริงๆ (เพราะไม่ต้องไปปะทะต่อหน้า) ถ้าเกิดเรื่องเดือดร้อนอะไรมาถึงตัวในภายหลัง ก็แค่ลบโพสท์ ลบแอคเคานท์ทุกอย่างก็จบ
นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มของทุกอย่าง , วิวัฒนาการของ cyberbullying พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเหมือนไวรัส และมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องการด่าทอคนอื่นโดยไม่ต้องรับผิดชอบอีกต่อไป แต่มันเริ่มกลายเป็นการรวมหัวยกพวกเรียกเพื่อนไปรุมด่าคนที่เราไม่ชอบในช่องคอมเมนต์ ค่อยๆพัฒนาเป็นการแคปเจอร์รูปแล้วเอาไปเขียนแคปชั่นใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจผิด จนไปถึงขั้นการสร้างข่าวปลอมแชร์ข้อมูลผิดๆในโลกออนไลน์จนทำให้คนๆหนึ่งอาจจะถูกทำร้ายในโลกความเป็นจริง
วงจรของ cyberbullyingเริ่มต้นที่ความสนุกชั่วคราวในโลกออนไลน์
และจบลงที่ความเจ็บปวดถาวรของใครสักคนในโลกความเป็นจริงเสมอ
เราจะหยุดการทำร้ายคนด้วยการคลิ๊กเมาส์และกดคีย์บอร์ดด้วยวิธีไหน คำตอบคือ ไม่มีเทคโนโลยีใดจะสามารถหยุดการทำร้ายระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้ เพราะการทำร้ายกันต้องหยุดที่ความคิดของคนๆนั้น และในหมู่มวลตระกูลบุลลี่นั้น ไซเบอร์บุลลี่อาจจะหยุดได้ยากที่สุดเพราะมันคือการกลั่นแกล้งที่ทำได้ง่ายๆเพียงแค่กดโพสท์ , อาจจะใช้เวลาไม่ถึง 5 วินาที ใช้แรงไม่ถึง 1 แคลอรี่ , ดังนั้นจิตใจด้านดาร์คไซด์ของเราที่เผลอคิดไม่ดีต่อคนอื่นในบางเวลามัน
สามารถไหลลงไปอยู่ในหน้าวอลล์ได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งทำได้ง่าย ยิ่งห้ามใจยาก เราเข้าใจ ,
แต่ไม่ได้ความว่าจะห้ามตัวเองไม่ได้
ความโกรธความเกลียดหยุดได้ด้วยการพูดคุย ไม่ใช่การพิมพ์ด่า
ทะเลาะกัน ต้องมาเจอกันต่อหน้าเพื่อทำความเข้าใจ ไม่ใช่ทำการเข้าเฟซฯไปด่าลับหลังให้สะใจ
ถ้าเราเน้นความสะใจกันในวันนี้ แปลว่าเรากำลังช่วยกันสร้างสังคมเน้นความสะใจกันในอนาคต
และถ้าความสะใจกลายเป็นเรื่องปกติ วันหนึ่งคุณเองอาจจะถูกไซเบอร์บุลลี่แบบที่ต้องยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของโลกไปด้วยเช่นกัน , อ๋อ อ่านโพสท์นี้ของเราแล้วไม่ชอบเหรอ เดี๋ยวโดนแคปชื่อที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ไปปล่อยไว้หน้าฟีดส์แน่ จะเรียกพวกไปถล่มเล่น
ถึงเมื่อกี๊จะฟังดูเป็นพล็อตหนังไซไฟน่าสนใจ แต่ผมก็ไม่อยากจะทำหนังประเด็นนี้อีกแล้ว
เพราะถ้าผมยังทำเป็นหนังได้อีก แปลว่าเรื่องเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ในสังคม
อย่าให้ผมได้มีโอกาสทำเลยครับ ช่วยกันรณรงค์เรื่องนี้
อย่าปล่อยให้ความสะดวกของเทคโนโลยีทำให้เราทำร้ายคนอย่างสบายไปด้วยเลย
#เรื่องแค่นี้เอง
#StopCyberbully
#dtacSafeInternet"
เต๋อ นวพล : STOP CYBERBULLYING DAY : 10 ปีแห่งการไซเบอร์บุลลี่ จากเมธาวีถึงไข่มุก
https://www.facebook.com/ternawapol/posts/2341919739180020
คัดลอกจาก FB
"STOP CYBERBULLYING DAY :
10 ปีแห่งการไซเบอร์บุลลี่ จากเมธาวีถึงไข่มุก
วันสองวันก่อน ทาง dtac ส่งเมล์มาชวนให้นวพลเป็นตัวแทนเขียนถึงเรื่องวัน stop cyberbullying day (วันนี้ 21 มิ.ย.) สักเล็กน้อย ตอนแรกเอ๊ะ ผมเป็นตัวแทนได้ใช่มั๊ย 555 แต่พอคิดทวนอีกทีก็ เออ จริงๆตัวเองทำหนังเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดเกือบ 10 ปีเหมือนกันนะ ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม มันออกมาโดยอัตโนมัติ อาจจะเป็นเพราะมันเป็นประเด็นที่อยู่ใกล้ตัวเราตลอดเวลาก็เป็นได้
พอลองนั่งดูหนังสั้นเรื่อง มั่นใจว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนเกลียดเมธาวี ไล่มาถึงหนังสั้น thank you fro sharing มาจบที่คลิป deleted scene จาก girls don't cry ที่เคยทำให้ไข่มุกเมื่อสองสามเดือนก่อน เราก็พบความจริงอย่างหนึ่งว่า หนังเรื่องเมธาวีเริ่มทำในปี 2011 และคลิปไข่มุกทำในปี 2019 โอ้โห นี่ผ่านมาเกือบ 10 ปีแล้ว ปัญหา cyberbullying
ผมคิดเสมอว่าพฤติกรรมมนุษย์จะเปลี่ยนทุกครั้งเวลามีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่เกิดขึ้น อินเทอร์เน็ตคือการเปลี่ยนแปลงนั้น , เราสามารถติดต่อสื่อสารกันได้มากขึ้น เจอคนที่มีความชอบและรสนิยมแบบเดียวกันได้มากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักกันหรือไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตาม แต่ในขณะเดียวกัน ไอ้ความที่ไม่ต้องเห็นหน้ากันหรือไม่ต้องรู้จักกันนี่แหละที่ทำให้อินเทอร์เน็ตได้สร้างอาวุธชนิดใหม่ขึ้นมาซึ่งเป็นร่างมืดของตัวมันเอง ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนที่เราจะมีอินเทอร์เน็ต การจะเดินไปด่าคนๆหนึ่งมันต้องใช้ใจและศักดิ์ศรีมากนะ เพราะมันต้องพูดต่อหน้าเขาซึ่งๆหน้า มันต้องกล้าและคิดไตร่ตรองก่อนทำประมาณหนึ่ง แต่ทันทีที่เราสามารถสื่อสารกันได้โดยไม่ต้องเห็นหน้า เราก็ไม่ต้องใช้ใจและศักดิ์ศรีอีกต่อไป อยากด่าอะไรก็ไปพิมพ์ซัดที่หน้าวอลล์เขาได้เลย กำแพงแห่งการคิดไตร่ตรองก่อนทำก็ไม่ต้องมีอีกต่อไป เพราะทุกคนต่างรู้สึกปลอดภัยที่หน้าคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ภายใต้ชื่อ username ปลอมนั้น เราก็รู้สึกว่าเราไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีกต่อไป พิมพ์ด่าเสร็จขำๆก็หันกลับไปสั่งชาไข่มุกแล้วเดินเล่นสยามสบายใจตามปกติ ราวกับคนที่เราเพิ่งพิมพ์ด่าเขาไปแค่ตัวละครสมมติในนิยาย ไม่ได้มีเลือดเนื้อจริงๆ (เพราะไม่ต้องไปปะทะต่อหน้า) ถ้าเกิดเรื่องเดือดร้อนอะไรมาถึงตัวในภายหลัง ก็แค่ลบโพสท์ ลบแอคเคานท์ทุกอย่างก็จบ
นั่นอาจจะเป็นเพียงแค่จุดเริ่มของทุกอย่าง , วิวัฒนาการของ cyberbullying พัฒนาไปอย่างรวดเร็วเหมือนไวรัส และมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องการด่าทอคนอื่นโดยไม่ต้องรับผิดชอบอีกต่อไป แต่มันเริ่มกลายเป็นการรวมหัวยกพวกเรียกเพื่อนไปรุมด่าคนที่เราไม่ชอบในช่องคอมเมนต์ ค่อยๆพัฒนาเป็นการแคปเจอร์รูปแล้วเอาไปเขียนแคปชั่นใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจผิด จนไปถึงขั้นการสร้างข่าวปลอมแชร์ข้อมูลผิดๆในโลกออนไลน์จนทำให้คนๆหนึ่งอาจจะถูกทำร้ายในโลกความเป็นจริง
วงจรของ cyberbullyingเริ่มต้นที่ความสนุกชั่วคราวในโลกออนไลน์
และจบลงที่ความเจ็บปวดถาวรของใครสักคนในโลกความเป็นจริงเสมอ
เราจะหยุดการทำร้ายคนด้วยการคลิ๊กเมาส์และกดคีย์บอร์ดด้วยวิธีไหน คำตอบคือ ไม่มีเทคโนโลยีใดจะสามารถหยุดการทำร้ายระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้ เพราะการทำร้ายกันต้องหยุดที่ความคิดของคนๆนั้น และในหมู่มวลตระกูลบุลลี่นั้น ไซเบอร์บุลลี่อาจจะหยุดได้ยากที่สุดเพราะมันคือการกลั่นแกล้งที่ทำได้ง่ายๆเพียงแค่กดโพสท์ , อาจจะใช้เวลาไม่ถึง 5 วินาที ใช้แรงไม่ถึง 1 แคลอรี่ , ดังนั้นจิตใจด้านดาร์คไซด์ของเราที่เผลอคิดไม่ดีต่อคนอื่นในบางเวลามัน
สามารถไหลลงไปอยู่ในหน้าวอลล์ได้อย่างง่ายดาย
ยิ่งทำได้ง่าย ยิ่งห้ามใจยาก เราเข้าใจ ,
แต่ไม่ได้ความว่าจะห้ามตัวเองไม่ได้
ความโกรธความเกลียดหยุดได้ด้วยการพูดคุย ไม่ใช่การพิมพ์ด่า
ทะเลาะกัน ต้องมาเจอกันต่อหน้าเพื่อทำความเข้าใจ ไม่ใช่ทำการเข้าเฟซฯไปด่าลับหลังให้สะใจ
ถ้าเราเน้นความสะใจกันในวันนี้ แปลว่าเรากำลังช่วยกันสร้างสังคมเน้นความสะใจกันในอนาคต
และถ้าความสะใจกลายเป็นเรื่องปกติ วันหนึ่งคุณเองอาจจะถูกไซเบอร์บุลลี่แบบที่ต้องยอมรับว่ามันเป็นธรรมดาของโลกไปด้วยเช่นกัน , อ๋อ อ่านโพสท์นี้ของเราแล้วไม่ชอบเหรอ เดี๋ยวโดนแคปชื่อที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ไปปล่อยไว้หน้าฟีดส์แน่ จะเรียกพวกไปถล่มเล่น
ถึงเมื่อกี๊จะฟังดูเป็นพล็อตหนังไซไฟน่าสนใจ แต่ผมก็ไม่อยากจะทำหนังประเด็นนี้อีกแล้ว
เพราะถ้าผมยังทำเป็นหนังได้อีก แปลว่าเรื่องเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ในสังคม
อย่าให้ผมได้มีโอกาสทำเลยครับ ช่วยกันรณรงค์เรื่องนี้
อย่าปล่อยให้ความสะดวกของเทคโนโลยีทำให้เราทำร้ายคนอย่างสบายไปด้วยเลย
#เรื่องแค่นี้เอง
#StopCyberbully
#dtacSafeInternet"