บทที่ 2
พี่โอมกลับบ้านมาพร้อม ข้อมูลครอบครัวมาใหม่ นายแว่นโย่ง ชื่อ ต่อ อายุเท่าฉัน และมีพี่สาวชื่อ มิน อายุเท่าพี่โอม
งานนี้ดูท่าพี่โอมจะหลงรักสาวข้างบ้านเข้าให้เสียแล้ว พอมาถึงบ้านก็พร่ำเพ้อถึงแต่สาวบิ๊กไบค์หน้าสวยไม่หยุดหย่อน และยังตั้งมั่นว่าจะจีบเธอให้ได้
พี่โอมก็เป็นซะแบบนี้เจอคนสวยเป็นไม่ได้ต่อมเจ้าชู้เริ่มทำงานทันที ฉันก็อยากจะรู้นัก ถ้าจีบสาวข้างบ้านติดจนเป็นแฟนกัน จะคบได้กี่เดือนเชียว
เพราะจากสถิติที่พี่โอมคบผู้หญิงในฐานะแฟน นานสุดก็หนึ่งปี และที่น้อยสุดนะ คนที่พี่โอมเพิ่งเลิกไป คบกันได้แค่สิบวัน สิบวันที่ต้องแยกทางกัน ตลกชะมัด
ตลอดทั้งคืนนั้น..ฉันได้ยินรถบ้านฝั่งตรงข้ามขับเข้าออกจากซอยอยู่หลายเที่ยว และกว่าทุกอย่างจะเงียบสงบก็ตอนสามทุ่มกว่าๆ
ในตอนเช้าฉันพาเจ้าซูโม่เดินเล่นรอบหมู่บ้านเหมือนทุกๆเช้าที่ฉันเคยทำ ..ซูโม่คือหมาพันธ์พุดเดิ้ลสีขาวดำ มันอายุสามปี เป็นหมานิสัยดีชอบผูกมิตรกับทุกคน ใครส่งยิ้มให้มันหน่อย เจ้าซูโม่จะกระดิกหาง หน้าบานยิ้มร่าวิ่งเข้าหาทันที
มีคนบอกว่าหมามันยิ้มเป็นเสียที่ไหนกัน ฉันคนหนึ่งละขอค้าน เพราะฉันเห็นซูโม่มันยิ้มประจำจะเป็นเพราะคิดไปเองหรืออะไรก็ตาม
แต่ฉันมั่นใจว่าเห็นมันยิ้ม ที่สำคัญเจ้าซูโม่ไม่เคยร้ายกับใครสักคน หมาสายนางงามชัดๆ
และวันนี้ก็เช่นกัน ฉันเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ที่ลานออกกำลังกายภายในหมู่บ้าน
แล้วเจ้าซูโม่ก็วิ่งกระชากสายจูงดึงตัวฉันให้วิ่งตามไป นายแว่นโย่งกำลังทำเสียงเรียกหมาของฉัน
และไอ้หมาของฉันก็ดันวิ่งไปหาอย่างว่าง่าย นายแว่นโย่งย่อตัวนั่งยองลูบหัวมัน
"มันชื่ออะไร" นายแว่นเอ่ยถาม
ฉันไม่ตอบหรอก เรื่องอะไรจะต้องมาเสวนากับนาย นายทำกุ้งฉันไหม้ไปห้าตัวนะ ไปหากุ้งมาคืนแล้วจะคุยด้วย เชอะ
"แอม..น้องสาวพี่โอมใช่ป่ะ ส่วนผมชื่อต่อนะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
นายต่อลุกขึ้นยืนแล้วทำเป็นโค้งศีรษะเล็กน้อย
ส่วนฉันตอบรับด้วยการทำเสียง อืมม์ ในลำคอพอไม่ให้เสียมารยาทมากมายนัก
ฉันดึงสายจูงให้ซูโม่เดินตาม และนายนั่นก็เดินตามมาอีก
"ผมย้ายมาเรียนที่โรงเรียนเดียวกับคุณ อีกสองวันเปิดเทอม หวังว่าเราจะได้อยู่ห้องเดียวกัน"
นายแว่นพูดขึ้นฉันหันขวับมามอง
"นายรู้ได้ยังไงว่าฉันเรียนที่ไหน"
"ผมถามพี่โอมน่ะ แล้วนี้บอกได้หรือยังว่าเจ้านี่ชื่ออะไร ผมว่ามันน่ารักมากเลยนะ"
นายแว่นชี้นิ้วมาที่เจ้าซูโม่ ซึ่งมันเดินพันแข้งขาเขาอยู่ไม่ห่าง แถมยังทำหน้าระริกระรี้เข้าหาตลอดเวลาด้วย ไอ้หมาบ้า..ฉันสบถในใจ
"ซูโม่" ฉันบอกไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
"ชื่อเก๋ดี"
ฉันรู้สึกว่ามุมปากตัวเองกำลังฉีกยิ้ม ก็แน่ละชื่อนี้ฉันเป็นตั้งให้มันเองเชียวนะ
"ผมเคยเลี้ยงหมาตัวหนึ่งมันชื่อยัยสวย มันเป็นหมาจรจัดที่พ่อเก็บมาเลี้ยงน่ะ มันเชื่องมากเลยนะ"
"ฉันไม่เห็นมันมาด้วย" อยู่ๆฉันก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
นายต่อยิ้มก่อนตอบว่า
"มันตายแล้ว มันแก่ตาย"
"เสียใจด้วย" แล้วฉันก็หลุดพูดสิ่งนี้ออกไป บ้าชะมัด ฉันไม่ได้อยากญาติดีอะไรกับนายหมอนี่หรอกนะ
แต่การต้องสูญเสียสิ่งที่รัก มันน่าเศร้า การเอ่ยแสดงความเสียใจจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ฉันก็พูดไปตามมารยาท
"ขอบคุณนะ" นายต่อพูดขึ้น
ฉันไม่แสดงสีหน้าอะไรนอกจากรีบเดินหนีให้เร็วที่สุด แต่เจ้าซูโม่นี่สิไม่ยอมเดินตามมาแต่โดยดี
มัวแต่ทำจมูกฟุดฟิดดมรอบๆขานายต่อ
"นี่..แม่ผมจะเปิดร้านขายขนมไทยที่หน้าปากซอย คงอีกสามสี่วันถึงจะเปิดร้านได้ ว่างๆแวะไปกินนะ ให้กินฟรีเลย แม่ผมทำขนมอร่อยมาก"
นายต่อเดินมาติดๆ และพูดพล่ามไปเรื่อย
"อืมม์"....ฉันตอบรับแบบขอไปที
"แล้วเจอกันอีกนะ"
นายต่อโบกมือให้ฉันแล้วเดินแยกไปอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทางกลับบ้านตัวเอง ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่านายนี่จะไปไหน
ฉันพาเจ้าซูโม่กลับเข้าบ้าน เจอแม่นั่งอยู่บนโซฟา ฉันถามแม่ว่าวันนี้ไม่ไปร้านเหรอ
แม่เหมือนไม่ได้ยินที่ถาม ฉันจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ และถามคำถามเดิมอีกครั้ง แม่ดูเหม่อลอยชอบกล แต่ก็ตอบกลับมา
"วันนี้แม่ว่าจะหยุดพักหน่อยจ๊ะ แม่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย"
"แม่ทานยาหรือยังคะ เดี๋ยวแอมจะเอามาให้" ฉันยกหลังมือทาบบนหน้าผากแม่ ตัวแม่อุ่นๆเหมือนคนมีไข้ ฉันจึงบอกให้แม่นอนพัก
ฉันกดโทรศัพท์โทรหาพ่อเพื่อจะบอกอาการป่วยของแม่ แต่พ่อไม่รับสาย พ่อคงทำงานอยู่
"โทรหาพ่อละสิ คงไม่ว่างมารับสายหรอก พ่อแกงานยุ่งตลอด เย็นนี้คงไม่กลับมากินข้าวที่บ้านอีกตามเคย"
แม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง แล้วแม่ก็ลุกเดินเข้าห้องนอน และปิดประตู
ฉันรู้สึกว่าพ่อกับแม่มีบรรยากาศที่ตึงเครียดต่อกัน ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆต่อให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันแค่ไหน สุดท้ายท่านทั้งสองก็กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม
คงเป็นธรรมดาของคู่รักละมั้ง บางทีก็ตลกดี พ่อกับแม่ชอบงอนใส่กัน
ฉันเดินเข้าไปในครัวเพื่อเทอาหารให้เจ้าซูโม่ สักพักมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เมื่อเดินมาเปิดประตูจึงเห็นว่าเป็นพี่สาวนายต่อ ที่ถือถาดขนมมาด้วย
"น้องแอมใช่ไหม พี่เอาขนมหม้อแกงมาฝากจ๊ะ ฝีมือแม่พี่ทำเองเลยนะ มาขอบคุณพี่ชายน้องด้วยที่ช่วยขนของ..."
พี่สาวนายต่อยื่นถาดขนมมาให้ พร้อมชะเง้อหน้ามองเข้ามาในบ้าน คงมองหาพี่โอม
"ขอบคุณค่ะ" ฉันตอบไป
"โอมไม่อยู่หรือจ๊ะ"
"ไม่อยู่ค่ะ"
"งั้นพี่กลับนะ"
พอได้มาเห็นพี่สาวนายต่อใกล้ๆแบบนี้ สวยสมคำบอกเล่าของพี่โอมจริงๆ
แต่เอ..ทำไมถึงถามหาพี่โอม จะสนิทกันเร็วขนาดนี้เชียว
ฉันนำถาดขนมไปไว้วางในครัว แล้วเดินขึ้นห้องตัวเอง จัดเตรียมอุปกรณ์การเรียน ตรวจดูตารางเรียนก่อนเปิดเทอมเสียหน่อย
ห้องนอนฉันอยู่บนชั้นสอง หน้าต่างห้องหันไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม ทำให้ฉันอดมองไปทางหน้าต่างไม่ได้
ฉันไม่ได้อยากรู้หรอกนะว่านายต่อกลับเข้าบ้านหรือยัง แค่มองออกไปนอกหน้าต่างเฉยๆ
....
ในคืนที่ต้องขนของย้ายบ้าน กว่าจะขนย้ายมาจนหมดก็ปาไปเกือบสามทุ่ม ผมกับพ่อทำหน้าที่ขนย้ายของที่บ้านหลังเก่า
ส่วนแม่กับพี่มินเป็นคนจัดระเบียบในบ้านหลังใหม่ ข้าวของเครื่องใช้แต่ละอย่างจะต้องวางไว้ตรงไหน ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพวกผู้หญิงเค้าจัดการกัน
หลังจากที่ผมกับพ่อขนของมาจนหมดแล้ว แม่บอกให้ผมไปอาบน้ำแล้วไปนอน พรุ่งนี้ค่อยจัดต่อ
ผมเลือกห้องนอนชั้นสอง มีหน้าต่างหันไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม มองเห็นห้องนอนที่อยู่ตรงกับห้องของผมพอดี ไฟในห้องยังเปิดอยู่เลย แต่สักพักก็ปิดลง
ผมนึกอยากรู้ว่าห้องนั้นเป็นห้องของใคร แต่เดี๋ยวสักพักผมก็คงรู้แน่ๆ ผมคิดว่านะ
ผมล้มตัวนอนบนผ้านวมซึ่งปูแบบลวกๆ ด้วยอาการเหนื่อยล้า กะว่าพรุ่งนี้จะตื่นให้สายหน่อย แต่ความเอะอะเสียงดังด้านล่างและเสียงเคาะประตู ปลุกผมให้ตื่นในตอนเช้าจนได้
"ต่อ..ต่อ.. มาช่วยยกตู้กับข้าวหน่อย" เสียงเรียกจากพี่มิน ทำให้ต้องลุกขึ้นมาด้วยความขี้เกียจ ผมเหวี่ยงผ้าห่มออกจากตัว
ตู้กับข้าวที่ถูกขนลงมาจากรถ ยังตั้งไว้ตรงห้องโถงด้านหน้า ผมและพ่อช่วยกันยกมาไว้ในห้องครัว
แล้วผมกับพี่มินก็ช่วยกันยกโซฟาไปตั้งไว้ในมุมที่พี่มินเห็นว่าเหมาะสมที่สุด
ในขณะที่พ่อกำลังติดตั้งสายไฟให้เชื่อมต่อกับปลั๊กเสียบโทรทัศน์ และแม่วุ่นวายอยู่กับการทำอาหารในห้องครัว และวันนี้แม่ดูเก้ๆกังๆ จับหยิบอะไรก็ดูวุ่นวายไปหมด อาจเพราะเครื่องครัวแม่ยังอยู่ไม่ครบถ้วน หรือไม่ได้อยู่ในที่ที่มันควรอยู่
มีหลายครั้งที่แม่ตะโกนออกมาถามพี่มิน
"มิน ตะหลิวอยู่ไหนลูกเห็นมั้ย"
"มิน ลูกได้หยิบเอากระทะใบใหญ่มาด้วยมั้ย ทำไมแม่หาไม่เจอ"
"แล้วครกอยู่ไหนใครเห็นบ้าง"
แล้วแม่ก็เดินเข้าๆออกๆจากห้องครัวเพื่อตามหาอุปกรณ์ที่แม่ต้องใช้ในการทำอาหาร
ผมเดินออกมานอกบ้าน เพื่อมายกเก้าอี้ไม้ไปให้พี่มิน และผมบังเอิญหันไปเห็นพี่โอมสะพายกระเป๋ากีต้าร์เดินออกมาจากบ้านพอดี
พี่โอมโบกมือให้ผม ก่อนจะเดินมาหา
"ย้ายบ้านวันแรกวุ่นวายเลยนะ" พี่โอมกล่าวทักทาย
"ครับ"
"เอ่อนี่..พี่กำลังจะไปซ้อมดนตรีกับเพื่อน ถ้าต่อสนใจอยากไปดู ไปดูได้เลย เดินเข้าไปในซอยนี่ละ เดินไปจนกว่าจะถึงลานออกกำลังของหมู่บ้านแล้วจะเจอสามแยก ต่อจะเห็นร้านอินเตอร์เน็ตอยู่ฝั่งตรงข้าม เข้าไปได้เลย พวกพี่ซ้อมดนตรีอยู่บนชั้นสอง"
"ครับ..แล้วผมจะเข้าไป"
พี่โอมทำท่าจะเดินจากไป แต่ชะงักนิดหนึ่ง แล้วชะเง้อหน้ามองเข้าไปในบ้าน
คงมองหาพี่มินละสิ รายนั่นนะถ้าผมฟูหน้ามันไม่มีทางรับแขกหรอก
ผมยกเก้าอี้มาให้พี่มินแล้วบอกขอตัวไปเดินสำรวจหมู่บ้าน
"รีบไปรีบกลับมากินข้าวนะลูก กับข้าวกำลังเสร็จแล้ว" เสียงแม่ตะโกนออกมา
ผมเดินมาตามทางที่พี่โอมบอก หมู่บ้านนี้สงบเงียบและดูสะอาดมาก มีคนวิ่งออกกำลังกายสองสามคน
ผู้ชายวัยกลางคน ซึ่งวิ่งออกกำลังกายอยู่ เมื่อเขาวิ่งผ่านผมไป เขาได้วิ่งย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง
"ย้ายมาใหม่เหรอ" เขาเอ่ยถาม
"ครับ"
"มีคนเขาลือกันว่าบ้านหลังนั้นมีผี ใครมาเช่านะอยู่ได้ไม่นานสักคน" เขาทำท่าทางกระซิบกระซาบข้างหูผม
แต่ผมคิดว่ามันเสียงดังพอ โดยไม่ต้องมากระซิบบอกข้างหูผมก็ได้
"อ่อ เออ..เหรอครับ ขอบคุณที่บอกครับ" ผมพูดได้เพียงเท่านี้ จะให้บอกว่าไงละ เมื่อคืนผมหลับสนิทไม่เห็นมีผีมาหลอกเลย
ผมไม่เชื่อเรื่องผีเหรอนะ และไม่คิดที่จะกลัวผีด้วย คนที่ตายไปแล้ว เขาไปอยู่ในภพภูมิของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับคนเป็นสักหน่อย
ผมเดินต่อมาจนถึงลานออกกำลัง ซึ่งมีเครื่องออกกำลังหลายอย่าง
ผมถามคุณป้าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ ว่าเครื่องออกกำลังกายพวกนี้ทุกคนใช้ได้ไหม
"ใช้ได้ทุกคนละพ่อหนุ่ม เป็นของหลวง ใครอยากสุขภาพดีก็มาออกกำลังกาย"
นั่นคือคำตอบจากคุณป้า
ผมเหลือบไปเห็นเธอสาวข้างบ้านใบหน้าบึ้ง เธอใส่ชุดวอร์มสีชมพู และจูงหมามาด้วย ผมทำเสียงเรียกเจ้าหมาน้อย เพื่อให้มันลากเธอมาใกล้ๆผม
ดูเหมือนจะได้ผล เจ้าหมาน้อยวิ่งหน้าบานมาเลย หมาตัวนี้เป็นมิตรทีเดียว
เธอทำหน้าเหมือนไม่พอใจที่เจอผมที่นี่ ผมจึงพยายามชวนเธอคุย ด้วยการถามชื่อหมาก่อน
แต่เธอไม่ตอบ เธอสะบัดหน้าหนี คงไม่อยากผูกมิตรไมตรีกับผม หน้าตาก็สวยทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย
ผมไม่ลดละความพยายามหรอก ผมจึงเปลี่ยนมาพูดเรื่องเปิดเทอม ซึ่งผมรู้ว่าเธอเรียนที่ไหน และที่นั่นก็เป็นโรงเรียนใหม่ที่ผมย้ายมาเรียน
แบบนี้คงชวนเธอคุยได้
ได้ผล..และแล้วเธอก็พูดกับผมและยอมบอกชื่อหมาของเธอ แม้น้ำเสียงจะฟังดูห้วนๆเหมือนไม่อยากคุยด้วย แต่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นสานต่อมิตรภาพที่ดีต่อกันไปได้
ผมจึงเล่าเรื่องหมาของผมที่ตายไปแล้วให้เธอฟัง แล้วเธอแสดงความเสียใจกลับมา
ว้าว..ทำผมอึ้งเลยนะนี่ ผมดูเธอผิดไปเลย
เธอมีน้ำใจและน่ารักกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้อีก ดูเผินๆจะเหมือนเป็นคนเย่อหยิ่งพอตัว แต่พอผมได้คุยกับเธอในครั้งนี้ ทำให้ผมรู้ว่าเธอยังมีมุมดีๆที่น่าค้นหาอยู่ไม่น้อย
และผมจะไม่ปล่อยให้เวลาที่เราได้อยู่บ้านใกล้กันนี้สูญเปล่าแน่นอน ผมต้องการรู้จักเธอให้มากขึ้น
เธอเดินกลับบ้านไปพร้อมเจ้าหมาน้อยซูโม่ ส่วนผมเดินไปอีกทางหนึ่ง
ไปยังห้องซ้อมดนตรีที่พี่โอมบอก ซึ่งหาไม่ยากเลย เพราะป้ายร้านอินเตอร์เน็ตป้ายใหญ่ตั้งเด่นอยู่หน้าร้าน
ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน
"ร้านยังไม่เปิดค่ะ" เสียงเด็กสาวผมสั้น นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ภายในร้านพูดขึ้น
เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อย และพูดต่อ
"ร้านเปิดสิบโมงค่ะ"
"ผมมาหาพี่โอมครับ"
"มาซ้อมดนตรีเหรอ ทำไมหนูไม่เคยเห็นหน้าพี่มาก่อน"
"เปล่าหรอก พี่โอมชวนผมมาดูพี่แกซ้อมน่ะ"
"แล้วพี่ชื่ออะไรคะ"
"ต่อ"
ผมบอกชื่อไป เด็กสาวยกโทรศัพท์มือถือโทรหาใครสักคน
"พี่โอมคะมีคนชื่อต่อมาหาพี่ค่ะ" เธอพูดกรอกใส่โทรศัพท์
"พี่โอมบอกให้พี่ต่อขึ้นไปเลยค่ะ..หนูชื่อฝ้ายนะคะ"
ผมพยักหน้าเป็นการรับรู้และเดินขึ้นชั้นสอง
หัวใจซ่อนรัก บทที่ 2
งานนี้ดูท่าพี่โอมจะหลงรักสาวข้างบ้านเข้าให้เสียแล้ว พอมาถึงบ้านก็พร่ำเพ้อถึงแต่สาวบิ๊กไบค์หน้าสวยไม่หยุดหย่อน และยังตั้งมั่นว่าจะจีบเธอให้ได้
พี่โอมก็เป็นซะแบบนี้เจอคนสวยเป็นไม่ได้ต่อมเจ้าชู้เริ่มทำงานทันที ฉันก็อยากจะรู้นัก ถ้าจีบสาวข้างบ้านติดจนเป็นแฟนกัน จะคบได้กี่เดือนเชียว
เพราะจากสถิติที่พี่โอมคบผู้หญิงในฐานะแฟน นานสุดก็หนึ่งปี และที่น้อยสุดนะ คนที่พี่โอมเพิ่งเลิกไป คบกันได้แค่สิบวัน สิบวันที่ต้องแยกทางกัน ตลกชะมัด
ตลอดทั้งคืนนั้น..ฉันได้ยินรถบ้านฝั่งตรงข้ามขับเข้าออกจากซอยอยู่หลายเที่ยว และกว่าทุกอย่างจะเงียบสงบก็ตอนสามทุ่มกว่าๆ
ในตอนเช้าฉันพาเจ้าซูโม่เดินเล่นรอบหมู่บ้านเหมือนทุกๆเช้าที่ฉันเคยทำ ..ซูโม่คือหมาพันธ์พุดเดิ้ลสีขาวดำ มันอายุสามปี เป็นหมานิสัยดีชอบผูกมิตรกับทุกคน ใครส่งยิ้มให้มันหน่อย เจ้าซูโม่จะกระดิกหาง หน้าบานยิ้มร่าวิ่งเข้าหาทันที
มีคนบอกว่าหมามันยิ้มเป็นเสียที่ไหนกัน ฉันคนหนึ่งละขอค้าน เพราะฉันเห็นซูโม่มันยิ้มประจำจะเป็นเพราะคิดไปเองหรืออะไรก็ตาม
แต่ฉันมั่นใจว่าเห็นมันยิ้ม ที่สำคัญเจ้าซูโม่ไม่เคยร้ายกับใครสักคน หมาสายนางงามชัดๆ
และวันนี้ก็เช่นกัน ฉันเดินเล่นอย่างสบายอารมณ์ที่ลานออกกำลังกายภายในหมู่บ้าน
แล้วเจ้าซูโม่ก็วิ่งกระชากสายจูงดึงตัวฉันให้วิ่งตามไป นายแว่นโย่งกำลังทำเสียงเรียกหมาของฉัน
และไอ้หมาของฉันก็ดันวิ่งไปหาอย่างว่าง่าย นายแว่นโย่งย่อตัวนั่งยองลูบหัวมัน
"มันชื่ออะไร" นายแว่นเอ่ยถาม
ฉันไม่ตอบหรอก เรื่องอะไรจะต้องมาเสวนากับนาย นายทำกุ้งฉันไหม้ไปห้าตัวนะ ไปหากุ้งมาคืนแล้วจะคุยด้วย เชอะ
"แอม..น้องสาวพี่โอมใช่ป่ะ ส่วนผมชื่อต่อนะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
นายต่อลุกขึ้นยืนแล้วทำเป็นโค้งศีรษะเล็กน้อย
ส่วนฉันตอบรับด้วยการทำเสียง อืมม์ ในลำคอพอไม่ให้เสียมารยาทมากมายนัก
ฉันดึงสายจูงให้ซูโม่เดินตาม และนายนั่นก็เดินตามมาอีก
"ผมย้ายมาเรียนที่โรงเรียนเดียวกับคุณ อีกสองวันเปิดเทอม หวังว่าเราจะได้อยู่ห้องเดียวกัน"
นายแว่นพูดขึ้นฉันหันขวับมามอง
"นายรู้ได้ยังไงว่าฉันเรียนที่ไหน"
"ผมถามพี่โอมน่ะ แล้วนี้บอกได้หรือยังว่าเจ้านี่ชื่ออะไร ผมว่ามันน่ารักมากเลยนะ"
นายแว่นชี้นิ้วมาที่เจ้าซูโม่ ซึ่งมันเดินพันแข้งขาเขาอยู่ไม่ห่าง แถมยังทำหน้าระริกระรี้เข้าหาตลอดเวลาด้วย ไอ้หมาบ้า..ฉันสบถในใจ
"ซูโม่" ฉันบอกไปด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
"ชื่อเก๋ดี"
ฉันรู้สึกว่ามุมปากตัวเองกำลังฉีกยิ้ม ก็แน่ละชื่อนี้ฉันเป็นตั้งให้มันเองเชียวนะ
"ผมเคยเลี้ยงหมาตัวหนึ่งมันชื่อยัยสวย มันเป็นหมาจรจัดที่พ่อเก็บมาเลี้ยงน่ะ มันเชื่องมากเลยนะ"
"ฉันไม่เห็นมันมาด้วย" อยู่ๆฉันก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
นายต่อยิ้มก่อนตอบว่า
"มันตายแล้ว มันแก่ตาย"
"เสียใจด้วย" แล้วฉันก็หลุดพูดสิ่งนี้ออกไป บ้าชะมัด ฉันไม่ได้อยากญาติดีอะไรกับนายหมอนี่หรอกนะ
แต่การต้องสูญเสียสิ่งที่รัก มันน่าเศร้า การเอ่ยแสดงความเสียใจจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ฉันก็พูดไปตามมารยาท
"ขอบคุณนะ" นายต่อพูดขึ้น
ฉันไม่แสดงสีหน้าอะไรนอกจากรีบเดินหนีให้เร็วที่สุด แต่เจ้าซูโม่นี่สิไม่ยอมเดินตามมาแต่โดยดี มัวแต่ทำจมูกฟุดฟิดดมรอบๆขานายต่อ
"นี่..แม่ผมจะเปิดร้านขายขนมไทยที่หน้าปากซอย คงอีกสามสี่วันถึงจะเปิดร้านได้ ว่างๆแวะไปกินนะ ให้กินฟรีเลย แม่ผมทำขนมอร่อยมาก"
นายต่อเดินมาติดๆ และพูดพล่ามไปเรื่อย
"อืมม์"....ฉันตอบรับแบบขอไปที
"แล้วเจอกันอีกนะ"
นายต่อโบกมือให้ฉันแล้วเดินแยกไปอีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ทางกลับบ้านตัวเอง ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่านายนี่จะไปไหน
ฉันพาเจ้าซูโม่กลับเข้าบ้าน เจอแม่นั่งอยู่บนโซฟา ฉันถามแม่ว่าวันนี้ไม่ไปร้านเหรอ
แม่เหมือนไม่ได้ยินที่ถาม ฉันจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ และถามคำถามเดิมอีกครั้ง แม่ดูเหม่อลอยชอบกล แต่ก็ตอบกลับมา
"วันนี้แม่ว่าจะหยุดพักหน่อยจ๊ะ แม่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย"
"แม่ทานยาหรือยังคะ เดี๋ยวแอมจะเอามาให้" ฉันยกหลังมือทาบบนหน้าผากแม่ ตัวแม่อุ่นๆเหมือนคนมีไข้ ฉันจึงบอกให้แม่นอนพัก
ฉันกดโทรศัพท์โทรหาพ่อเพื่อจะบอกอาการป่วยของแม่ แต่พ่อไม่รับสาย พ่อคงทำงานอยู่
"โทรหาพ่อละสิ คงไม่ว่างมารับสายหรอก พ่อแกงานยุ่งตลอด เย็นนี้คงไม่กลับมากินข้าวที่บ้านอีกตามเคย"
แม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง แล้วแม่ก็ลุกเดินเข้าห้องนอน และปิดประตู
ฉันรู้สึกว่าพ่อกับแม่มีบรรยากาศที่ตึงเครียดต่อกัน ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ที่แน่ๆต่อให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันแค่ไหน สุดท้ายท่านทั้งสองก็กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิม
คงเป็นธรรมดาของคู่รักละมั้ง บางทีก็ตลกดี พ่อกับแม่ชอบงอนใส่กัน
ฉันเดินเข้าไปในครัวเพื่อเทอาหารให้เจ้าซูโม่ สักพักมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เมื่อเดินมาเปิดประตูจึงเห็นว่าเป็นพี่สาวนายต่อ ที่ถือถาดขนมมาด้วย
"น้องแอมใช่ไหม พี่เอาขนมหม้อแกงมาฝากจ๊ะ ฝีมือแม่พี่ทำเองเลยนะ มาขอบคุณพี่ชายน้องด้วยที่ช่วยขนของ..."
พี่สาวนายต่อยื่นถาดขนมมาให้ พร้อมชะเง้อหน้ามองเข้ามาในบ้าน คงมองหาพี่โอม
"ขอบคุณค่ะ" ฉันตอบไป
"โอมไม่อยู่หรือจ๊ะ"
"ไม่อยู่ค่ะ"
"งั้นพี่กลับนะ"
พอได้มาเห็นพี่สาวนายต่อใกล้ๆแบบนี้ สวยสมคำบอกเล่าของพี่โอมจริงๆ
แต่เอ..ทำไมถึงถามหาพี่โอม จะสนิทกันเร็วขนาดนี้เชียว
ฉันนำถาดขนมไปไว้วางในครัว แล้วเดินขึ้นห้องตัวเอง จัดเตรียมอุปกรณ์การเรียน ตรวจดูตารางเรียนก่อนเปิดเทอมเสียหน่อย
ห้องนอนฉันอยู่บนชั้นสอง หน้าต่างห้องหันไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม ทำให้ฉันอดมองไปทางหน้าต่างไม่ได้
ฉันไม่ได้อยากรู้หรอกนะว่านายต่อกลับเข้าบ้านหรือยัง แค่มองออกไปนอกหน้าต่างเฉยๆ
....
ในคืนที่ต้องขนของย้ายบ้าน กว่าจะขนย้ายมาจนหมดก็ปาไปเกือบสามทุ่ม ผมกับพ่อทำหน้าที่ขนย้ายของที่บ้านหลังเก่า
ส่วนแม่กับพี่มินเป็นคนจัดระเบียบในบ้านหลังใหม่ ข้าวของเครื่องใช้แต่ละอย่างจะต้องวางไว้ตรงไหน ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพวกผู้หญิงเค้าจัดการกัน
หลังจากที่ผมกับพ่อขนของมาจนหมดแล้ว แม่บอกให้ผมไปอาบน้ำแล้วไปนอน พรุ่งนี้ค่อยจัดต่อ
ผมเลือกห้องนอนชั้นสอง มีหน้าต่างหันไปทางบ้านฝั่งตรงข้าม มองเห็นห้องนอนที่อยู่ตรงกับห้องของผมพอดี ไฟในห้องยังเปิดอยู่เลย แต่สักพักก็ปิดลง
ผมนึกอยากรู้ว่าห้องนั้นเป็นห้องของใคร แต่เดี๋ยวสักพักผมก็คงรู้แน่ๆ ผมคิดว่านะ
ผมล้มตัวนอนบนผ้านวมซึ่งปูแบบลวกๆ ด้วยอาการเหนื่อยล้า กะว่าพรุ่งนี้จะตื่นให้สายหน่อย แต่ความเอะอะเสียงดังด้านล่างและเสียงเคาะประตู ปลุกผมให้ตื่นในตอนเช้าจนได้
"ต่อ..ต่อ.. มาช่วยยกตู้กับข้าวหน่อย" เสียงเรียกจากพี่มิน ทำให้ต้องลุกขึ้นมาด้วยความขี้เกียจ ผมเหวี่ยงผ้าห่มออกจากตัว
ตู้กับข้าวที่ถูกขนลงมาจากรถ ยังตั้งไว้ตรงห้องโถงด้านหน้า ผมและพ่อช่วยกันยกมาไว้ในห้องครัว
แล้วผมกับพี่มินก็ช่วยกันยกโซฟาไปตั้งไว้ในมุมที่พี่มินเห็นว่าเหมาะสมที่สุด
ในขณะที่พ่อกำลังติดตั้งสายไฟให้เชื่อมต่อกับปลั๊กเสียบโทรทัศน์ และแม่วุ่นวายอยู่กับการทำอาหารในห้องครัว และวันนี้แม่ดูเก้ๆกังๆ จับหยิบอะไรก็ดูวุ่นวายไปหมด อาจเพราะเครื่องครัวแม่ยังอยู่ไม่ครบถ้วน หรือไม่ได้อยู่ในที่ที่มันควรอยู่
มีหลายครั้งที่แม่ตะโกนออกมาถามพี่มิน
"มิน ตะหลิวอยู่ไหนลูกเห็นมั้ย"
"มิน ลูกได้หยิบเอากระทะใบใหญ่มาด้วยมั้ย ทำไมแม่หาไม่เจอ"
"แล้วครกอยู่ไหนใครเห็นบ้าง"
แล้วแม่ก็เดินเข้าๆออกๆจากห้องครัวเพื่อตามหาอุปกรณ์ที่แม่ต้องใช้ในการทำอาหาร
ผมเดินออกมานอกบ้าน เพื่อมายกเก้าอี้ไม้ไปให้พี่มิน และผมบังเอิญหันไปเห็นพี่โอมสะพายกระเป๋ากีต้าร์เดินออกมาจากบ้านพอดี
พี่โอมโบกมือให้ผม ก่อนจะเดินมาหา
"ย้ายบ้านวันแรกวุ่นวายเลยนะ" พี่โอมกล่าวทักทาย
"ครับ"
"เอ่อนี่..พี่กำลังจะไปซ้อมดนตรีกับเพื่อน ถ้าต่อสนใจอยากไปดู ไปดูได้เลย เดินเข้าไปในซอยนี่ละ เดินไปจนกว่าจะถึงลานออกกำลังของหมู่บ้านแล้วจะเจอสามแยก ต่อจะเห็นร้านอินเตอร์เน็ตอยู่ฝั่งตรงข้าม เข้าไปได้เลย พวกพี่ซ้อมดนตรีอยู่บนชั้นสอง"
"ครับ..แล้วผมจะเข้าไป"
พี่โอมทำท่าจะเดินจากไป แต่ชะงักนิดหนึ่ง แล้วชะเง้อหน้ามองเข้าไปในบ้าน
คงมองหาพี่มินละสิ รายนั่นนะถ้าผมฟูหน้ามันไม่มีทางรับแขกหรอก
ผมยกเก้าอี้มาให้พี่มินแล้วบอกขอตัวไปเดินสำรวจหมู่บ้าน
"รีบไปรีบกลับมากินข้าวนะลูก กับข้าวกำลังเสร็จแล้ว" เสียงแม่ตะโกนออกมา
ผมเดินมาตามทางที่พี่โอมบอก หมู่บ้านนี้สงบเงียบและดูสะอาดมาก มีคนวิ่งออกกำลังกายสองสามคน
ผู้ชายวัยกลางคน ซึ่งวิ่งออกกำลังกายอยู่ เมื่อเขาวิ่งผ่านผมไป เขาได้วิ่งย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง
"ย้ายมาใหม่เหรอ" เขาเอ่ยถาม
"ครับ"
"มีคนเขาลือกันว่าบ้านหลังนั้นมีผี ใครมาเช่านะอยู่ได้ไม่นานสักคน" เขาทำท่าทางกระซิบกระซาบข้างหูผม
แต่ผมคิดว่ามันเสียงดังพอ โดยไม่ต้องมากระซิบบอกข้างหูผมก็ได้
"อ่อ เออ..เหรอครับ ขอบคุณที่บอกครับ" ผมพูดได้เพียงเท่านี้ จะให้บอกว่าไงละ เมื่อคืนผมหลับสนิทไม่เห็นมีผีมาหลอกเลย
ผมไม่เชื่อเรื่องผีเหรอนะ และไม่คิดที่จะกลัวผีด้วย คนที่ตายไปแล้ว เขาไปอยู่ในภพภูมิของเขา ไม่เกี่ยวข้องกับคนเป็นสักหน่อย
ผมเดินต่อมาจนถึงลานออกกำลัง ซึ่งมีเครื่องออกกำลังหลายอย่าง
ผมถามคุณป้าที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ ว่าเครื่องออกกำลังกายพวกนี้ทุกคนใช้ได้ไหม
"ใช้ได้ทุกคนละพ่อหนุ่ม เป็นของหลวง ใครอยากสุขภาพดีก็มาออกกำลังกาย"
นั่นคือคำตอบจากคุณป้า
ผมเหลือบไปเห็นเธอสาวข้างบ้านใบหน้าบึ้ง เธอใส่ชุดวอร์มสีชมพู และจูงหมามาด้วย ผมทำเสียงเรียกเจ้าหมาน้อย เพื่อให้มันลากเธอมาใกล้ๆผม
ดูเหมือนจะได้ผล เจ้าหมาน้อยวิ่งหน้าบานมาเลย หมาตัวนี้เป็นมิตรทีเดียว
เธอทำหน้าเหมือนไม่พอใจที่เจอผมที่นี่ ผมจึงพยายามชวนเธอคุย ด้วยการถามชื่อหมาก่อน
แต่เธอไม่ตอบ เธอสะบัดหน้าหนี คงไม่อยากผูกมิตรไมตรีกับผม หน้าตาก็สวยทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย
ผมไม่ลดละความพยายามหรอก ผมจึงเปลี่ยนมาพูดเรื่องเปิดเทอม ซึ่งผมรู้ว่าเธอเรียนที่ไหน และที่นั่นก็เป็นโรงเรียนใหม่ที่ผมย้ายมาเรียน
แบบนี้คงชวนเธอคุยได้
ได้ผล..และแล้วเธอก็พูดกับผมและยอมบอกชื่อหมาของเธอ แม้น้ำเสียงจะฟังดูห้วนๆเหมือนไม่อยากคุยด้วย แต่ถือว่าเป็นการเริ่มต้นสานต่อมิตรภาพที่ดีต่อกันไปได้
ผมจึงเล่าเรื่องหมาของผมที่ตายไปแล้วให้เธอฟัง แล้วเธอแสดงความเสียใจกลับมา
ว้าว..ทำผมอึ้งเลยนะนี่ ผมดูเธอผิดไปเลย
เธอมีน้ำใจและน่ารักกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้อีก ดูเผินๆจะเหมือนเป็นคนเย่อหยิ่งพอตัว แต่พอผมได้คุยกับเธอในครั้งนี้ ทำให้ผมรู้ว่าเธอยังมีมุมดีๆที่น่าค้นหาอยู่ไม่น้อย
และผมจะไม่ปล่อยให้เวลาที่เราได้อยู่บ้านใกล้กันนี้สูญเปล่าแน่นอน ผมต้องการรู้จักเธอให้มากขึ้น
เธอเดินกลับบ้านไปพร้อมเจ้าหมาน้อยซูโม่ ส่วนผมเดินไปอีกทางหนึ่ง
ไปยังห้องซ้อมดนตรีที่พี่โอมบอก ซึ่งหาไม่ยากเลย เพราะป้ายร้านอินเตอร์เน็ตป้ายใหญ่ตั้งเด่นอยู่หน้าร้าน
ผมเปิดประตูเข้าไปในร้าน
"ร้านยังไม่เปิดค่ะ" เสียงเด็กสาวผมสั้น นั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ภายในร้านพูดขึ้น
เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อย และพูดต่อ
"ร้านเปิดสิบโมงค่ะ"
"ผมมาหาพี่โอมครับ"
"มาซ้อมดนตรีเหรอ ทำไมหนูไม่เคยเห็นหน้าพี่มาก่อน"
"เปล่าหรอก พี่โอมชวนผมมาดูพี่แกซ้อมน่ะ"
"แล้วพี่ชื่ออะไรคะ"
"ต่อ"
ผมบอกชื่อไป เด็กสาวยกโทรศัพท์มือถือโทรหาใครสักคน
"พี่โอมคะมีคนชื่อต่อมาหาพี่ค่ะ" เธอพูดกรอกใส่โทรศัพท์
"พี่โอมบอกให้พี่ต่อขึ้นไปเลยค่ะ..หนูชื่อฝ้ายนะคะ"
ผมพยักหน้าเป็นการรับรู้และเดินขึ้นชั้นสอง