ทำงานฟรีแลนซ์ คู่กับงานประจำมันน่ารังเกียจตรงไหนหรือ?

กระทู้คำถาม
เริ่มแรกผมเป็นเด็กกาญจนบุรีเข้ามาหาเงินเรียนเองหางานทำเองในกทม.ขอเล่าเรียงลำดับปีที่เริ่มมีความคิดทำงานเสริม กิจการเสริม แม้แต่อาชีพฟรีแลนซ์เสริมลงมือทำคู่กับงานประจำครับ

ปีแรก ปี 55 ผมทำงานประจำตำแหน่ง engineer infrastructure เงินเดือน 15000 แห่งหนึ่งแถวพญาไท งานเป็นแบบ support ต้องทำสแตนบาย 24/7 ไม่  ว่าจะเป็นตอนนอนหรือวันหยุดก็ตามถ้าระบบไอทีหรือ server ล้มมีปัญหาต้องเข้าไปแก้ไขทันที ด้วยความค่าครองชีพแถวนั้นค้อนข้างสูง ค่าเช่าห้องปกติ 5000-6000 ต่อเดือน(ไม่รวมค่าไฟค่าน้ำ) นั่งวินไปกลับ ตกวันละ 100 ซึ่งแต่ละเดือนไม่พอกินไม่พอใช้ จึงมีความคิดว่าซื้อจักรยานพับมาปั่นไปทำงานดีกว่า ผลที่ได้เริ่มมีเงินเหลือเฉลี่ย 3000 บาทต่อเดือน พอใช้งานได้สัก 6 เดือนจักรยานพัง ไปหาร้านซ่อมแถวลาดพร้าวบ้าง สุทธิสารบ้าง ณ ตอนนั้นไม่มีร้านไหนรับซ่อมเลยเพราะไม่ได้ซื้อจากร้านพวกเขาและไม่สนใจแถมไล่ไปซ่อมที่อื่นอีก **อ้าวไมละ..ตรงนี้เกิดความเออไม่ซ่อมถ้าเปิดธุรกิจซ่อมเองละมันต้องมีคนอื่นที่เจอปัญหาแบบเดียวกัน ไม่รอช้า..แต่รอเงินเดือนออก เงินที่เหลือเก็บไปซื้อกล่องเครื่องมือขนาดเล็ก 3500 บาท (ตอนนั้นยังซ่อมรถไม่เป็น) หัดฝึกวิชากับรถตัวเองบ้างรถเพื่อนบ้าง จนมั่นใจไปเปิดเพจร้าน และประกาศในเว็บบอร์ดจักรยานเว็บหนึ่งโพสได้แค่ 15 นาทีโดนแอดมินลบทิ้ง แต่ใน 15 นาทีผมได้ลูกค้าติดต่อมา เพราะผมรับ service delivery เป็นเจ้าแรกที่ทำแบบนั้น ทำในเวลา 18.00 เป็นต้นไปทุกวันไม่มีหยุด จนรายได้งานเสริมอยู่ที่ 30K/เดือน ผมตัดสินใจขอลาออกจากงานประจำ **นายถามจะไปทำอะไร..ผมตอบไปทำธุรกิจจักรยานครับ นายมองบนทำหน้าแหย่ๆ พูดกับผมเด๋วก็เจ๊ง

ปี 56 ช่วงเปิดแรกๆ รายได้ตกอยู่ประมาณ 3 เดือนจนมีความคิดไปสมัครงานที่ซีพีเย็นเลิกงานมาทำร้านต่อ แต่ผู้บริหารไม่รับให้ทำจักรยานต่อไป จากนั้นรับงานไม่แลกเฟรมหัก ล้อพังก็ซ่อม ผลตอบรับดีมาก ผมรับงานทั่วทุกเขตในกรุงเทพโดยปั่นจักรยานไป service delivery รายได้เริ่มขยับ 62K แต่เหนื่อยมาก เวลาและความเร็วการทำงานสำคัญแต่คุณภาพต้องดีที่สุด จนคิวที่ลูกค้าจองไว้ล้นข้ามเดือน จนลูกค้าคนแรกให้โอกาสชวนผมไปเปิดร้านที่รัชดา ซื้อเครื่องมือซ่อมครบชุด เปิดได้ 2 เดือน รายได้ขั้นมาเป็น 101K ต่อเดือน งานล้นเพราะทำด้วยตัวคนเดียวไม่มีลูกจ้างหรือคนช่วย กลับหอตี 1 ตี 2 ทุกคืนแต่มีความสุขกับการทำงานมาก และลูกค้าก็รอรถอยู่ส่งรถมาจากเชียงใหม่ น่าน สงขลา ชลบุรี สระบุรี ราชบุรีบ้าง ฐานลูกค้า 80% เป็น กทม. แฟนรู้เรื่องเข้าอยากจะทำธุรกิจส่วนตับ้าง เลยถามอยากทำอะไร ดันตอบเค้าอยากทำโรงงานเฉาก๊วย....หราาาอืมมม...ยังคงรายได้ระดับนี้ไปจนถึงต้นปี 57
---ในช่วงระหว่างทำจักรยานไปด้วยเริ่มคิดถ้ามีงานสำรองอีกตัวคงดีให้แฟนคุมแทน เราแค่บอก know how กับ how to ก็พอมั่ง ไปชิมทุกจ้าวที่วางขาย ใช้อะไรบ้าง สูตรอะไร ทุกคืนหลังปิดร้านมาคิดสูตรกวนเฉาก๊วยเองที่ห้องอยู่ 3 เดือน จนเจ้าของหอด่ากลิ่นรบกวนทั้งชั้น วันนั้นสูตรสำเร็จพอดี เอาเงินเก็บที่ทำจักรยาน 3 แสนให้แฟนไปลงทุนเปิด รง.เล็กๆไปก่อน

ปี 57 ในปีนี้เริ่มมีเหตุการณ์อุบัติเหตุรถยนต์ชนจักรยานเป็นรายวัน ทำให้กระแสวงการจักรยานเริ่มตกลงเรื่อยๆ ลูกค้าเริ่มน้อยลงจากงานล้นมาตบยุงแทนเวลาเริ่มเหลือปิดร้าน(ยังไม่ปิดกิจการ) ไปช่วยแฟนเปิด รง.ที่นครพนมในที่ตัวเองที่แลกตรงนั้น เป้าหมายเน้นทำส่งออกเป็นหลักเผื่อเปิด AEC คงฟรี tax อะไรแบบนั้น เริ่มแรกทำขายทันงานประเพณีพระธาตุพอดี มีชาวลาว เวียดนาม กัมพูชาที่มีฐานะมาลองกินแล้วติดใจมากขอสั่งไปขายที่ประเทศเขา ต้องเร่งจดทะเบียนบริษัท ทำ อย. ทำ GMP อีกพอได้แล้วแจ้งลูกค้าและส่งขายตามลูกค้าที่สั่ง ทำยอดขายหักต้นทุน 351K ต่อเดือน ถ้าช่วงหน้าร้อนกระโดด 540-580Kต่อเดือน ต้องสั่งเครื่องจักร จ้างคนงานเพิ่มมาช่วยทำ มาตายในเดือน ธค.57 สืบเนื่องจาก คสช. รัฐประหารได้ 1 อาทิตย์ ลูกค้าทั้งหมด cancel order รายได้ 0 บาทในทันที วิกฤตแรกที่เจอในรอบ 11 เดือนเปิดรง.มา กระทันหันมากเราไม่เคยทำตลาดภายขายในประเทศเลย ต้องลุยไปขอร้องตามร้านโชห่วยต่างจังหวัดช่วยรับของไปขายในราคาได้กำไรถุงละ 50 สตางค์ก็ยอมเพื่ออยู่รอด และมอบหมายให้แฟนบริหารจัดการต่อไปและอัพเดทตลอดเวลา

ปี 58 หลังจากนั้นกลับมากรุงเทพเปิดร้านจักรยานต่อ รัชดาคนไม่เข้าแล้วย้ายร้านไปเปิดที่ ถ.ดินสอ ศาลเจ้าพ่อเสือแทน คิดว่าตรงนั้นมีคนปั่นจำนานมากและชาวจักรยานนิยมปั่นมาหาของกินค่ำคืนแถวนี้บ่อยๆ ลงทุนเช่าห้องใต้ตึกเก่าๆ โทรมๆ 14x2.8 ม. เดือนละ 35K ผมรีโรเวท ด้วยตัวทั้งหมดซื้อไม้ทำพื้นร้าน ทาสี ติดพัดลม เดินสายไฟเอง ฯลฯ (ยกเว้นเรื่องต่อไฟเข้ามิเตอร์...กลัวไฟ) ทำร้านเสร็จ สั่งของแต่ง สั่งชุดเกียร์อะไหล่จักรยานมาลงขาย 2แสนบาท เปิดร้านไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่คนเดียว เปิดได้ 4 เดือน รายได้ 1400 บาท**ผมพลาดเรื่องไม่ได้สำรวจตลาดเชิงลึกให้ดีสะก่อน แถมช่วงนั้นเดือนเมษายนพายุเข้าน้ำท่วมร้านถึงเข่า ของขาย ฟอนิเจอร์ ต่างๆ พังเสียหายทั้งหมดไม่เหลือ อะไหล่ส่งเครมก็ไม่ได้สุดท้ายต้องปล่อยเลทิ้งชิ้นละ 100 แถวนั้นต้องบอกขอปิดร้านในกรุงเทพชั่วคราว ขาดทุนยับพินาศไม่เหลือเงินเก็บแล้ว แต่คนรู้จักทราบข่าวชวนไปเปิดร้านที่ชลบุรีอีกแต่ผมยัไม่ตัดสินใจ ขอไปดูรง.จะเข้าไตรมาสที่ 3 แผนวางขายในประเทศทำได้แค่ 6 จังหวัดในภาคอีสานเท่านั้น เพราะมีปัญหาโลจีสติกส์แพงมากจากกำไรที่น้อยอยู่แล้วทำให้ขาดทุนหนักกว่าเดิม ราคาน้ำมันแพง+คนกำลังซื้อน้อย พยายามจะฟื้นขายส่งออกเหมือนเดิมในช่วงนั้น ภาษีเข้าออกคิดแพงมากลูกค้าไม่ได้กำไรเลยไม่สั่งอีก เฉลี่ยตู้เย็น 1 ตู้โดนไปภาษีเกือบ 2 หมื่นแถมมีจะขอเรียกเก็บใต้โต๊ะอีกเพื่อความสะดวกการขนส่ง...แม่มเอ่ย แฟนก็เริ่มท้อเริ่มถอดใจ เริ่มมีปากเสียงทะเลาะกันหนักมากขึ้นโทษมาลงที่ผมคิดพลาดทำพลาด ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่างพังหมด ต่อหน้า พนง. แถมต่อท้ายชีวิตกุเป็นแบบนี้เพราะไม่ช่ายหราให้ลาออกจากงานมาคุมโรงงานเนี่ย..ผมได้แต่ตอบกูรับผิดชอบเองกับรับผิดชอบชีวิตด้วย จากนั้นผมเรียกประชุมพนง.ทั้งหมดบอกเค้าเกี่ยวกับปัญหาและปิดกิจการโรงงานลงในปี 59 พอดี และผมไม่ได้เจอหน้าหรือคุยกับแฟนอีกเลย

ปี 59 ผมกลายเป็นคนตกงาน ไปสัมภาษณ์งานมีแต่คนอ่าน resume แล้วต่างรังเกียจ ในนั้นผมไม่ได้เขียนโกหกจากการทำงานปี 55 แล้วทำไรต่อบ้าง แต่สายตา HR กะ BOSS ส่วนใหญ่มองด้วยความสมเพสว่าตกอับไปไม่รอด เจ้าของทุกบริษัทดูถูกด้วยซ้ำว่ามีปัญญาแค่นี้เองหราอายุเท่านี้ก็สมควรแล้วที่ทำได้เท่านี้ , หรือโหหห โครตดราม่าเลยอ่ะ ผมทำได้แค่ยิ้มบอกครับไปเท่านั้นเอง เดิมๆ ผมเป็น it สาย security+admin+suport อยู่แล้ว ไปเปิดธุรกิจส่วนตัวอีกผมได้ management มาด้วยและอะไรอีกหลายอย่างที่ผมเห็นว่าพอจะมีประโยชน์กับบริษัทได้บ้างถ้าจ้างผมทำงาน ผมก็ไม่ได้งานเลยไปร่วมเปิดร้านจักรยานกับคนรู้จักอีก 3 คน สุดท้ายโดนรวมหัวโกงส่วนแบ่งผมเรียบร้อยตามตำรา

ปี 60 ไม่มีอะไรมากตกงานกลับมาอยู่บ้านที่กาญ กับพ่อแม่ที่อายุ 70 และต้องนั่งทนดูพ่อขับรถส่งของเช้ายันมืด ดูแม่คิดบช.จนเกือบเช้า ตี 3 กว่าทุกวัน โดยที่ผมช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง พ่อขับรถขนของแบกของบริษัทห้ามคนนอกยุ่ง ส่วนแม่ปัญหาคือผมไม่เป็นบช.เลย ช่วยได้แค่งานบ้านทำกับข้าวแค่นั้นจริงๆ บ่อยครั้งวันที่ฟ้าเปิดจะแอบปีนหลังคาบ้านนอนดูดาวและร้องไห้คนเดียวจนสว่าง แค้นตัวเองมาก..ผมเห็นพ่อแม่เป็นแบบนี้มาเกือบ 30 ปีตั้งใจจะพลิกชีวิต และเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ทำไมเราทำไม่ได้ เราไม่ดูถูกใครไม่ได้แข่งกับใคร เราแข่งกับเวลาที่กำลังจะหมดไปจะทนดูพ่อแม่ลำบากจนตายแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

ปี 61 ในที่สุดผมก็ได้งานในบริษัทแห่งหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ดีนัก ผลประกอบการบริษัทขาดทุน ทำให้จ่ายเงินเดือน พนง.ไม่เต็มหรือไม่จ่ายเลยบางเดือนต้องออกจากงานอีก รอบนี้ได้ downgrade ตัวเองไปได้งานลูกจ้างเหมาไปรษณีย์ไทย เงินเดือน 6 พัน ทำงาน 6 โมงเช้า เลิก 6 โมงเย็น ทำตั้งแต่ขนของลงจากรถหกล้อ รับเข้าระบบ จ่ายของ คัดของ ปิดระบบ ขนของขึ้นหกล้อ ด้วยการที่มีความรู้ทางไอทีและการจัดการอยู่บ้างเลยแนะนำให้เพื่อนร่วมทำวิธีล่นเวลา ปรับเปลี่ยนวิธีเข้าระบบที่ช้าให้เร็วขึ้น เสียพลังงานน้อยลง เวลาพักมากขึ้น เป็นระบบระเบียบมากขึ้นผิดพลาดน้อยลงหรือไม่ผิดเลย..อันที่จริงผมหาแนวร่วมไปงั้นละไม่คิดว่าจะทำจริง..แต่พรรคพวกเห็นชอบด้วยเลยทำตามขนของช่วยกันจ่าของเร็วขึ้นเสร็จก่อน 9 โมง เท่ากับว่า 9-13.00 น คือเวลาพักของทุกคนไปโดยปริยาย **มันทำให้ผมมีเวลาคิด isystem ไอ-ซิซเท็ม โปรเจคขึ้นมา เป็นงานตั้งใจวาดโมเดลเป็นรูปแบบบริษัท ให้บริการทางด้าน IT support infrastructure management และ security system onsite ครบวงจร คิด 3พี จุดคุ้มทุน วิเคระห์จุดแข็งจุดอ่อน และต่างๆ นาๆ จนหัวหน้างานเห็นว่าผมสามารถมากใช่ไหมเพิ่มงานให้ผมไปนั่งเคาร์เตอร์รับของถ้าจ่ายของเสร็จและปิดบช.งบดุลรายได้ จำนวนของทั้ง ปณ. ทุกวัน เวลางานเลิกงานผมขยับมาเป็น 2 ทุ่ม ทำงาน 13 ชม.เยี่ยมครับ เรียนรู้แก้บัคโปรแกรมรับฝากของได้อีก แต่ตรงปิด บช. ปณ.ทุกวันตัวเลขในระบบกับเงินสดไม่เคยตรงกัน เงินสดส่งมาหายจำนวนค่อนข้างมากและผมแค่ลูกจ้างเหมารายวันไมต้องมาทำว่ะ พนง.ประจำไม่ทำหรือมันแปลกๆ ว่าจะให้กูเป็นแพะแน่ทำได้ 6 เดือนลาออกดีกว่าองค์กรห่าไรไม่รู้ และมาได้งานต่อบริษัทไอทีของประเทศเกาหลีในตำแหน่ง หนง. ในช่วงท้ายปี 61

ปี 62 ณ วันนี้ผมยังอยู่กับงานประจำ ผมมาลองคิดดูงานโปรเจค isystem ต้องทำเป็นฟรีแลนซ์ ให้เกิดรายได้ก่อนให้พอจดทะเบียนบริษัทนิติได้

**แต่เมื่อผมทดลองออกไปหาลูกค้าตลอด 6 เดือนเสนอขายเซอร์วิสส่งเมล์ยิ่งกว่าสแปม เจ้าของระดับกลางไม่ชอบ ประมาณว่าโจรป่าวว่ะมาทำอะไร ยิ่งบริษัทใหญ่ๆ ยิ่งแล้วได้แค่ยืนรอหน้าป้อมยาม ผมเข้าใจฟรีแลนซ์โนเนมงิ โอกาสแถบเป็น 0 เลวร้ายกว่าขายแอมเวย์อีก ผมก็ไม่เข้านะครับว่าพวกเจ้าของกิจการระดับร้อยล้านพันล้าน รังเกียจคนทำฟรีแลนซ์ขนาดนั้นเลยหรา ทั้งที่ค่าบริการผมเริ่มต้นแค่ 3 พันบาทเอง (ตามจำนวนยูสเซอร์กับเนื้องานนะครับ) มีจนรายครั้งถึงรูปแบบสัญญาราย 3 6 12 เดือน ทำได้เกือบรอบด้านไอที ยกเว้น it telecom ทีจ้างคอนเซ้าหรือซับ มาบางคนผมเคยเจอไม่ทำงานด้วยซ้ำ เพราะอะไรหรือผมพลาดไปจุดไหน ผมคิดเริ่มทำตัวคนเดียวไม่มีเพื่อนไม่มีใครคบ ไม่มีที่ปรึกษาครับ ขอความเห็นผู้รู้หน่อยครับ

หรือจะไปเม้นในเพจ isystem ก็ได้นะครับ ในเพจผมโพจความรู้ความปลอดภัยทางไอทีต่างๆ ที่สำคัญกับคนทั่วไปสามารถใช้ได้จริงและเข้าใจได้

ขอขอบคุณที่รับอ่านชีวิตจริงทำงานจริงเจ๊งจริงยิ่งกว่านิทาน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่