[SP Interview: Where We Belong]
“Where We Belong” ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า ผลงานล่าสุดของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์เด็กผู้หญิงและสะท้อนมุมมองช่วงวัยแห่งการค้นหาชีวิตของตัวเอง
เป็นโปรเจกต์ที่ไปไกลตั้งแต่เริ่ม ด้วยการคว้ารางวัล CJ Entertainment Award ด้านบทภาพยนตร์ และเป็น 1 ใน 29 ภาพยนตร์ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วม Asia Project Market เมื่อปลายปี 2018 ตั้งแต่ยังไม่ถ่ายทำ
คงเดชเลือกนักแสดงในบทเด็กสาววัยกำลังค้นหาตัวเอง จากเมมเบอร์ของไอดอลกรุ๊ประดับปรากฏการณ์ 'BNK48' ซึ่งเขาออกตัวก่อนเลยว่า รู้จักน้องๆ เพียงผิวเผิน จึงต้องใช้เวลาในการพูดคุย ค้นหา และคัดเลือกนักแสดงจากเมมเบอร์ BNK48 เพื่อมารับบทนำที่สุดเข้มข้นนี้อย่างหนักหน่วง
กระทั่งได้ มิวสิค-แพรวา สุธรรมพงษ์, เจนนิษฐ์-เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ และอีก 6 เมมเบอร์ มาสวมบท
ความท้าทายครั้งใหม่จึงเริ่มขึ้น ทั้งตัวผู้กำกับที่เว้นระยะจากการกำกับไปร่วม 4 ปี และสองนักแสดงนำที่ก้าวลงจากเวทีชั่วคราว มาเผชิญบทบาทใหม่ในจอ
#BNK48 #MusicBNK48 #JennisBNK48 #WhereWeBelong

[SP Interview: Where We Belong]
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ผู้กำกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี และสองนักแสดงนำ แพรวา สุธรรมพงษ์ (มิวสิค), เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ (เจนนิษฐ์) จาก Where We Belong
ติดตามอ่านฉบับเต็ม ทั้งบทสัมภาษณ์และรูปประกอบ ใน Starpics ฉบับ 901 เร็วๆ นี้

ทำไมถึงได้มาเล่นหนังเรื่องนี้
เจนนิษฐ์: เขาบอกว่าจะมีแคสต์หนังในเธียเตอร์ (ของ BNK48) ประมาณ 20 คน เรียกเข้าไปคุยทีละคน รู้ว่าผู้กำกับเป็นพี่คงเดช แต่ไม่รู้ว่าเป็นหนังเรื่องอะไร ไม่รู้อะไรอื่นเลย รู้แค่ว่าจะมีการแคสต์ ทุกคนก็แค่แต่งหน้ามา แทบไม่ได้เตรียมตัวเลย
มิวสิค: ตอนแรกคิดว่า ก็ไปแสดงให้เขาดู กับพูดไดอาล็อคบ้าง
เจนนิษฐ์: แต่คนเข้าไปก่อนหน้าบอกว่า เขาแค่ชวนคุยเฉยๆ ก็เลยสบายใจ พอถึงคิวตัวเอง หนูก็เข้าไปคุย เป็นเชิงทำความรู้จักผ่านตัวตน ผ่านเรื่องต่างๆ ที่เล่า ชวนคุยเรื่องทั่วไปเลยค่ะ แต่เรื่องทั่วไปนี่แหละที่จะโชว์ทัศนคติ มุมมอง ที่จะทำให้รู้จักตัวตนมากกว่าสัมภาษณ์ทั่วไป แล้วถ้าเราเปิดใจ เราก็จะเล่าเกินจากที่ถาม เขาก็จะรู้จักเรามากขึ้น หนูว่าตรงนั้นที่ทำให้เขาให้เห็นตัวตนเราสองคนที่ค่อนข้างเข้ากับบทเบลและซู
พอตัวเองต้องไปอยู่ในหนังสไตล์พี่คงเดช จินตนาการออกไหมว่ามันจะเป็นยังไง
เจนนิษฐ์: หนูจะสายเล่นมินิมอล แสดงอารมณ์ออกมาน้อย เลยคิดว่าน่าจะเหมาะกับหนู แต่สิคจะตรงกันข้าม ด้วยพื้นฐาน สิคเป็นคนเล่นเยอะ ส่วนหนูเป็นคนเล่นน้อย แต่คิดว่า มันก็น่าจะเข้ากับเบลและซู
มิวสิค: เพราะหนูไม่เคยเล่นหนังมาก่อนด้วย ไม่ว่าจะเป็นยังไงมันก็ท้าทายสิคหมด มันคือการปลดล็อคทาเลนต์ตัวเองที่ไม่เคยทำมาก่อน เลยคิดว่าเป็นงานที่ใหญ่พอสมควร

มิวสิคไม่เคยมีประสบการณ์การแสดงมาก่อน กลัวไหมกับการแสดงหนังเรื่องแรก
มิวสิค: แน่นอนว่าก็ต้องมีคำถามกับตัวเองว่า เราจะทำให้เขาผิดหวังหรือเปล่า มีกังวลในตอนแรก มีหลายครั้งที่ถามพี่เดช พี่ทองดี (โสฬส สุขุม-โปรดิวเซอร์) ว่าหนูจะทำได้ไหม กังวลมาก ถามหลายคนเลย พี่ๆ เขาก็บอกว่า เอาน่ะๆ ทำได้อยู่แล้ว แต่มันก็กังวลอยู่ดี ด้วยทาเลนต์ที่ตัวละครมี แต่เราไม่มี และเราต้องทำให้ได้ เพราะว่าเรากำลังจะเป็นเขา
เจนนิษฐ์เคยมีประสบการณ์การแสดงในตอนเด็ก รวมถึงซีรีส์ด้วย ต้องปรับตัวยังไงบ้างกับการเล่นหนังใหญ่อีกครั้ง
เจนนิษฐ์: เหมือนต้องมาเรียนแอ็คติ้งใหม่ มีเวิร์คช็อป 3-4 ครั้ง ที่เปลี่ยนก็คือภาษา บางทีเราติดพูดแบบเป็น BNK48 หรือหนูจะติดพูดควบกล้ำ ร.เรือ ซึ่งคนส่วนมาก ตอนพูดกับเพื่อนเขาจะไม่พูดอย่างนั้น
มิวสิค: สิคก็มีงานพากย์ ที่ทำให้เราต้องพูดชัด แบบชัดไปหน่อย (หัวเราะ)
เจนนิษฐ์: จนมันผิดธรรมชาติ เลยค่อยๆ ปรับให้เข้ากับคาแรคเตอร์ในหนัง
นอกจากการพูด มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนอีก
มิวสิค: โดยพื้นฐาน คิดว่าบทที่ได้รับก็ไม่ต่างจากตัวเองมากนะคะ มันก็คือเด็กคนหนึ่ง อย่างที่หนูมาเป็นไอดอล ก็มีบางช่วงที่เราลืมไปว่า ชีวิตเด็กธรรมดาเป็นยังไง เพราะเราต้องคิดวิเคราะห์กับหลายๆ อย่าง หลายๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา แต่พอต้องมาทำงานนี้ เหมือนเรากลับไปเป็นตัวตนของเราที่เป็นอยู่ตั้งแต่แรก เลยไม่ได้ยากในเรื่องคาแรคเตอร์ หรือนิสัยใจคอ มันก็คล้ายๆ กันอยู่แล้ว เราแค่กลับไปเป็นวัยรุ่นธรรมดา
จากตัวอย่างหนัง หลายๆ ฉากทำให้คนดูคิดไปว่า นี่คือหนังเพื่อนรักเพื่อน มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม
มิวสิค: อืม...ยังไงดี หนูเคยอยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาก่อน มันจะมีเพื่อนที่เราสนิทมากๆ เล่นกันได้โดยไม่คิดอะไร เมมเบอร์ในวงเองก็มีเยอะเลยที่สนิทจนไปนอนบ้านกัน
เจนนิษฐ์: ทีเซอร์มันก็คือทีเซอร์ ถ้าบอกหมดก็สปอยล์สิ บอกไม่ได้ (หัวเราะ)

เล่าที่มาที่ไปของเพลง Let U Go หน่อย
มิวสิค: เราคุยกับพี่เดชตั้งแต่ช่วงที่เพลงเพลงยังแต่งไม่ถึงไหนเลย ก็แก้กันหลายรอบ ค่อยๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงของเพลง จากแนวนี้ไปแนวนี้ จนสุดท้ายมันก็สมจริงตอนมีซูเข้ามาร้องด้วย
เจนนิษฐ์: ตอนแรกจะเป็นเบลร้องคนเดียว เพราะเป็นเพลงที่เบลแต่งให้ซู
มิวสิค: หนูว่าดีแล้วนะที่ร้องสองคน เพลงมันคงไม่สมบูรณ์ถ้าไม่ร้องสองคน มันคือการสื่อสารกันผ่านเพลง
ตีความเนื้อเพลงว่ายังไง
มิวสิค: จริงๆ เพลงนี้คือบทสรุปของทั้งเรื่อง สำหรับหนูนะ มันอธิบายทุกความรู้สึกเลย
เจนนิษฐ์: เนื้อเพลงมันก็เล่าถึงความสัมพันธ์ ทุกความสัมพันธ์ก็มีการจากลา มันก็สามารถเอาไปใช้กับความสัมพันธ์ของใครก็ได้
เพลงว่าด้วยการปล่อยใครสักคนหรืออะไรสักอย่างไปจากชีวิต เราเคยมีประสบการณ์แบบนั้นไหม
เจนนิษฐ์: หนูปล่อยชีวิตมัธยมไปแล้ว (หัวเราะ)
มิวสิค: แม่ก็ถามว่า ยอมไหมที่จะสละชีวิตวัยรุ่น เพราะถ้าเราก้าวออกมา มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้วนะ แถมชีวิตม.ปลายก็เป็นช่วงที่สนุกที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตด้วย แต่เราก็เลือกจะแลกมันกับงานตรงนี้ แลกมาเกือบ 3 ปีแล้ว
ฝากถึงแฟนคลับหรือคนที่กำลังจะดูหนังเรื่องนี้หน่อย
เจนนิษฐ์: กำลังจะดูเหมือนกัน (หัวเราะ)
มิวสิค: ในฐานะเบล ไม่รู้เหมือนกันว่าที่แสดงไปเป็นยังไงบ้าง แต่ก็ฝากด้วยนะคะ ไปดูพร้อมๆ กัน แล้วมาเล่าให้กันฟังว่าชอบไหม (ยิ้ม)

คงเดชมักทำงานกับน้องใหม่ทางการแสดงเสมอ จึงไม่ใช่โจทย์ยากในการกำกับ รวมถึงทุกครั้งในการทำงานเขามักได้รับความเซอร์ไพรส์จากผลงานของน้องใหม่ เรื่องนี้ก็เช่นกัน
“คือเราไม่เคยคิดว่าน้องเป็นไอดอลเลยจนตอนนี้นะ เรามองน้องเป็นนักแสดงคนหนึ่ง เป็นเด็กสาวที่เราต้องการงานแสดงที่ดีจากเขา เราต้องการทัศนคติที่ดีจากเขา เวลาเราเลือกนักแสดง มักจะเลือกทัศนคติเสมอ ดูว่าเขามองชีวิตยังไง เขามีความเป็นมนุษย์มากขนาดไหน บางคนเป็นนักแสดงที่ดี แต่เขาห่วงสวยตลอดเวลา เช็คเฟรมตลอดเวลา ดูว่ามุมไหนเขาดูไม่ดี แบบนี้เราไม่เอาเลย"
"เราสนใจคนที่สามารถปลดปล่อยตัวเองออกมาได้ ไม่มีกำแพงไม่มีกรอบ เพราะว่าเราจะได้ทำงานกับเขาได้เต็มที่และสบายใจ ดังนั้นมันก็เลยไม่ได้แปลกใหม่ไปกว่าที่เคยทำ เพราะเราก็ทำงานกับนักแสดงหน้าใหม่มาหลายครั้งแล้ว”
“แต่ที่แปลกใหม่สำหรับเรา เรียกว่าเซอร์ไพรส์มากกว่า เพราะหนังเรื่องนี้ต้องการการแสดงหรือการแบกน้ำหนักที่เข้มข้น แล้วน้องๆ ทำได้ดีเกินคาดมากๆ เราโคตรโชคดีเลยที่ได้สองคนนี้มาแสดง”
“คนที่ดูทีเซอร์ไปแล้วจิ้นว่ามันจะเป็นหนังแบบนั้นแบบนี้ เป็นทางหนังหญิงๆ หรือเปล่า หรือว่าเกินเพื่อนไหม ที่เราจะบอกก็คือในจักรวาลชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งมันมีหลายเรื่องมาก นี่ก็คือหนังเกี่ยวกับเด็กสาวคนหนึ่งที่มีความรู้สึกที่เราน่าจะสามารถเข้าใจได้"
"เพราะเราทุกคนต่างก็ไม่รู้สึกฟิตอินกับที่ๆ เราอยู่สักเท่าไหร่ เราต่างก็ไม่ค่อยได้เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองสักเท่าไหร่ในสังคมปัจจุบัน”
“แน่นอนว่าหนังยังมีความเป็นตัวตนของเราอยู่มาก (หัวเราะ) คนถามว่าพอเจอ BNK48 พี่คงเดชยังเป็นพี่คงเดชไหม ยังเป็นอยู่มากเลยครับ ไม่ต้องห่วง (หัวเราะ)”
https://www.facebook.com/125628280823697/posts/2224939674225870?s=100009217874179&sfns=mo
บทสัมภาษณ์จาก Starpice “Where We Belong”
“Where We Belong” ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า ผลงานล่าสุดของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์เด็กผู้หญิงและสะท้อนมุมมองช่วงวัยแห่งการค้นหาชีวิตของตัวเอง
เป็นโปรเจกต์ที่ไปไกลตั้งแต่เริ่ม ด้วยการคว้ารางวัล CJ Entertainment Award ด้านบทภาพยนตร์ และเป็น 1 ใน 29 ภาพยนตร์ที่ถูกเลือกให้เข้าร่วม Asia Project Market เมื่อปลายปี 2018 ตั้งแต่ยังไม่ถ่ายทำ
คงเดชเลือกนักแสดงในบทเด็กสาววัยกำลังค้นหาตัวเอง จากเมมเบอร์ของไอดอลกรุ๊ประดับปรากฏการณ์ 'BNK48' ซึ่งเขาออกตัวก่อนเลยว่า รู้จักน้องๆ เพียงผิวเผิน จึงต้องใช้เวลาในการพูดคุย ค้นหา และคัดเลือกนักแสดงจากเมมเบอร์ BNK48 เพื่อมารับบทนำที่สุดเข้มข้นนี้อย่างหนักหน่วง
กระทั่งได้ มิวสิค-แพรวา สุธรรมพงษ์, เจนนิษฐ์-เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ และอีก 6 เมมเบอร์ มาสวมบท
ความท้าทายครั้งใหม่จึงเริ่มขึ้น ทั้งตัวผู้กำกับที่เว้นระยะจากการกำกับไปร่วม 4 ปี และสองนักแสดงนำที่ก้าวลงจากเวทีชั่วคราว มาเผชิญบทบาทใหม่ในจอ
#BNK48 #MusicBNK48 #JennisBNK48 #WhereWeBelong
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ ผู้กำกับ คงเดช จาตุรันต์รัศมี และสองนักแสดงนำ แพรวา สุธรรมพงษ์ (มิวสิค), เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ (เจนนิษฐ์) จาก Where We Belong
ติดตามอ่านฉบับเต็ม ทั้งบทสัมภาษณ์และรูปประกอบ ใน Starpics ฉบับ 901 เร็วๆ นี้
เจนนิษฐ์: เขาบอกว่าจะมีแคสต์หนังในเธียเตอร์ (ของ BNK48) ประมาณ 20 คน เรียกเข้าไปคุยทีละคน รู้ว่าผู้กำกับเป็นพี่คงเดช แต่ไม่รู้ว่าเป็นหนังเรื่องอะไร ไม่รู้อะไรอื่นเลย รู้แค่ว่าจะมีการแคสต์ ทุกคนก็แค่แต่งหน้ามา แทบไม่ได้เตรียมตัวเลย
มิวสิค: ตอนแรกคิดว่า ก็ไปแสดงให้เขาดู กับพูดไดอาล็อคบ้าง
เจนนิษฐ์: แต่คนเข้าไปก่อนหน้าบอกว่า เขาแค่ชวนคุยเฉยๆ ก็เลยสบายใจ พอถึงคิวตัวเอง หนูก็เข้าไปคุย เป็นเชิงทำความรู้จักผ่านตัวตน ผ่านเรื่องต่างๆ ที่เล่า ชวนคุยเรื่องทั่วไปเลยค่ะ แต่เรื่องทั่วไปนี่แหละที่จะโชว์ทัศนคติ มุมมอง ที่จะทำให้รู้จักตัวตนมากกว่าสัมภาษณ์ทั่วไป แล้วถ้าเราเปิดใจ เราก็จะเล่าเกินจากที่ถาม เขาก็จะรู้จักเรามากขึ้น หนูว่าตรงนั้นที่ทำให้เขาให้เห็นตัวตนเราสองคนที่ค่อนข้างเข้ากับบทเบลและซู
พอตัวเองต้องไปอยู่ในหนังสไตล์พี่คงเดช จินตนาการออกไหมว่ามันจะเป็นยังไง
เจนนิษฐ์: หนูจะสายเล่นมินิมอล แสดงอารมณ์ออกมาน้อย เลยคิดว่าน่าจะเหมาะกับหนู แต่สิคจะตรงกันข้าม ด้วยพื้นฐาน สิคเป็นคนเล่นเยอะ ส่วนหนูเป็นคนเล่นน้อย แต่คิดว่า มันก็น่าจะเข้ากับเบลและซู
มิวสิค: เพราะหนูไม่เคยเล่นหนังมาก่อนด้วย ไม่ว่าจะเป็นยังไงมันก็ท้าทายสิคหมด มันคือการปลดล็อคทาเลนต์ตัวเองที่ไม่เคยทำมาก่อน เลยคิดว่าเป็นงานที่ใหญ่พอสมควร
มิวสิค: แน่นอนว่าก็ต้องมีคำถามกับตัวเองว่า เราจะทำให้เขาผิดหวังหรือเปล่า มีกังวลในตอนแรก มีหลายครั้งที่ถามพี่เดช พี่ทองดี (โสฬส สุขุม-โปรดิวเซอร์) ว่าหนูจะทำได้ไหม กังวลมาก ถามหลายคนเลย พี่ๆ เขาก็บอกว่า เอาน่ะๆ ทำได้อยู่แล้ว แต่มันก็กังวลอยู่ดี ด้วยทาเลนต์ที่ตัวละครมี แต่เราไม่มี และเราต้องทำให้ได้ เพราะว่าเรากำลังจะเป็นเขา
เจนนิษฐ์เคยมีประสบการณ์การแสดงในตอนเด็ก รวมถึงซีรีส์ด้วย ต้องปรับตัวยังไงบ้างกับการเล่นหนังใหญ่อีกครั้ง
เจนนิษฐ์: เหมือนต้องมาเรียนแอ็คติ้งใหม่ มีเวิร์คช็อป 3-4 ครั้ง ที่เปลี่ยนก็คือภาษา บางทีเราติดพูดแบบเป็น BNK48 หรือหนูจะติดพูดควบกล้ำ ร.เรือ ซึ่งคนส่วนมาก ตอนพูดกับเพื่อนเขาจะไม่พูดอย่างนั้น
มิวสิค: สิคก็มีงานพากย์ ที่ทำให้เราต้องพูดชัด แบบชัดไปหน่อย (หัวเราะ)
เจนนิษฐ์: จนมันผิดธรรมชาติ เลยค่อยๆ ปรับให้เข้ากับคาแรคเตอร์ในหนัง
นอกจากการพูด มีอะไรที่ต้องเปลี่ยนอีก
มิวสิค: โดยพื้นฐาน คิดว่าบทที่ได้รับก็ไม่ต่างจากตัวเองมากนะคะ มันก็คือเด็กคนหนึ่ง อย่างที่หนูมาเป็นไอดอล ก็มีบางช่วงที่เราลืมไปว่า ชีวิตเด็กธรรมดาเป็นยังไง เพราะเราต้องคิดวิเคราะห์กับหลายๆ อย่าง หลายๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เราต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา แต่พอต้องมาทำงานนี้ เหมือนเรากลับไปเป็นตัวตนของเราที่เป็นอยู่ตั้งแต่แรก เลยไม่ได้ยากในเรื่องคาแรคเตอร์ หรือนิสัยใจคอ มันก็คล้ายๆ กันอยู่แล้ว เราแค่กลับไปเป็นวัยรุ่นธรรมดา
จากตัวอย่างหนัง หลายๆ ฉากทำให้คนดูคิดไปว่า นี่คือหนังเพื่อนรักเพื่อน มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม
มิวสิค: อืม...ยังไงดี หนูเคยอยู่โรงเรียนหญิงล้วนมาก่อน มันจะมีเพื่อนที่เราสนิทมากๆ เล่นกันได้โดยไม่คิดอะไร เมมเบอร์ในวงเองก็มีเยอะเลยที่สนิทจนไปนอนบ้านกัน
เจนนิษฐ์: ทีเซอร์มันก็คือทีเซอร์ ถ้าบอกหมดก็สปอยล์สิ บอกไม่ได้ (หัวเราะ)
มิวสิค: เราคุยกับพี่เดชตั้งแต่ช่วงที่เพลงเพลงยังแต่งไม่ถึงไหนเลย ก็แก้กันหลายรอบ ค่อยๆ เห็นการเปลี่ยนแปลงของเพลง จากแนวนี้ไปแนวนี้ จนสุดท้ายมันก็สมจริงตอนมีซูเข้ามาร้องด้วย
เจนนิษฐ์: ตอนแรกจะเป็นเบลร้องคนเดียว เพราะเป็นเพลงที่เบลแต่งให้ซู
มิวสิค: หนูว่าดีแล้วนะที่ร้องสองคน เพลงมันคงไม่สมบูรณ์ถ้าไม่ร้องสองคน มันคือการสื่อสารกันผ่านเพลง
ตีความเนื้อเพลงว่ายังไง
มิวสิค: จริงๆ เพลงนี้คือบทสรุปของทั้งเรื่อง สำหรับหนูนะ มันอธิบายทุกความรู้สึกเลย
เจนนิษฐ์: เนื้อเพลงมันก็เล่าถึงความสัมพันธ์ ทุกความสัมพันธ์ก็มีการจากลา มันก็สามารถเอาไปใช้กับความสัมพันธ์ของใครก็ได้
เพลงว่าด้วยการปล่อยใครสักคนหรืออะไรสักอย่างไปจากชีวิต เราเคยมีประสบการณ์แบบนั้นไหม
เจนนิษฐ์: หนูปล่อยชีวิตมัธยมไปแล้ว (หัวเราะ)
มิวสิค: แม่ก็ถามว่า ยอมไหมที่จะสละชีวิตวัยรุ่น เพราะถ้าเราก้าวออกมา มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้วนะ แถมชีวิตม.ปลายก็เป็นช่วงที่สนุกที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตด้วย แต่เราก็เลือกจะแลกมันกับงานตรงนี้ แลกมาเกือบ 3 ปีแล้ว
ฝากถึงแฟนคลับหรือคนที่กำลังจะดูหนังเรื่องนี้หน่อย
เจนนิษฐ์: กำลังจะดูเหมือนกัน (หัวเราะ)
มิวสิค: ในฐานะเบล ไม่รู้เหมือนกันว่าที่แสดงไปเป็นยังไงบ้าง แต่ก็ฝากด้วยนะคะ ไปดูพร้อมๆ กัน แล้วมาเล่าให้กันฟังว่าชอบไหม (ยิ้ม)
“คือเราไม่เคยคิดว่าน้องเป็นไอดอลเลยจนตอนนี้นะ เรามองน้องเป็นนักแสดงคนหนึ่ง เป็นเด็กสาวที่เราต้องการงานแสดงที่ดีจากเขา เราต้องการทัศนคติที่ดีจากเขา เวลาเราเลือกนักแสดง มักจะเลือกทัศนคติเสมอ ดูว่าเขามองชีวิตยังไง เขามีความเป็นมนุษย์มากขนาดไหน บางคนเป็นนักแสดงที่ดี แต่เขาห่วงสวยตลอดเวลา เช็คเฟรมตลอดเวลา ดูว่ามุมไหนเขาดูไม่ดี แบบนี้เราไม่เอาเลย"
"เราสนใจคนที่สามารถปลดปล่อยตัวเองออกมาได้ ไม่มีกำแพงไม่มีกรอบ เพราะว่าเราจะได้ทำงานกับเขาได้เต็มที่และสบายใจ ดังนั้นมันก็เลยไม่ได้แปลกใหม่ไปกว่าที่เคยทำ เพราะเราก็ทำงานกับนักแสดงหน้าใหม่มาหลายครั้งแล้ว”
“แต่ที่แปลกใหม่สำหรับเรา เรียกว่าเซอร์ไพรส์มากกว่า เพราะหนังเรื่องนี้ต้องการการแสดงหรือการแบกน้ำหนักที่เข้มข้น แล้วน้องๆ ทำได้ดีเกินคาดมากๆ เราโคตรโชคดีเลยที่ได้สองคนนี้มาแสดง”
“คนที่ดูทีเซอร์ไปแล้วจิ้นว่ามันจะเป็นหนังแบบนั้นแบบนี้ เป็นทางหนังหญิงๆ หรือเปล่า หรือว่าเกินเพื่อนไหม ที่เราจะบอกก็คือในจักรวาลชีวิตของเด็กสาวคนหนึ่งมันมีหลายเรื่องมาก นี่ก็คือหนังเกี่ยวกับเด็กสาวคนหนึ่งที่มีความรู้สึกที่เราน่าจะสามารถเข้าใจได้"
"เพราะเราทุกคนต่างก็ไม่รู้สึกฟิตอินกับที่ๆ เราอยู่สักเท่าไหร่ เราต่างก็ไม่ค่อยได้เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองสักเท่าไหร่ในสังคมปัจจุบัน”
“แน่นอนว่าหนังยังมีความเป็นตัวตนของเราอยู่มาก (หัวเราะ) คนถามว่าพอเจอ BNK48 พี่คงเดชยังเป็นพี่คงเดชไหม ยังเป็นอยู่มากเลยครับ ไม่ต้องห่วง (หัวเราะ)”
https://www.facebook.com/125628280823697/posts/2224939674225870?s=100009217874179&sfns=mo