“อีผิน...ฟิลิปปินส์ผู้เลอโฉม (1)”
ผลจากกรณี ฮวน กอนซาเลซ Smoke On The Water….Live In Concert…!!
ทำให้ฮวน โดนคำสั่งย้ายด่วน ให้ไปช่วยราชการที่ห้องอื่น
เตียงของเธอจึงว่างลง
แต่เพียงชั่วข้ามคืนผ่านไป สมาชิกใหม่ก็เข้ามาแทนที่
บ่ายวันหนึ่ง
ผมกับแพท ก็ตั้งวงสนทนากันตามปกติที่ฐานเตียงบัญชาการผม
และแล้ว...เมื่อประตูห้องด้านล่างเปิดออกมา
เห็น จนท.DO เดินมาพร้อมกับชายชุดน้ำเงิน สะพายถุงที่ไหล่ขวา
เสียงสมาชิกในห้องกระทืบเท้า เป่าปาก โห่ต้อนรับกันอย่างสมเกียรติ
แต่..เอ๊ะ..นั่นผู้ชายหรือผู้หญิงวะ รูปร่างเพรียวบาง ผิวขาว ผมดำขลับยาวถึงต้นคอ
สีหน้าดูเครียดๆ ท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ดูสำรวมกิริยามารยาท เปรียบประหนึ่งผู้ดีจากเทือกเขาอัลไต
“เฮ้ย...คนไทยว่ะ แพท“ ผมเอ่ยขึ้น จากสายตาที่ได้สัมผัส
“จริงเหรอพี่?“ แพทดูไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็รู้ว่าต้องเป็นคนเอเชียแน่ ๆ
“อืม..จะว่าไปก็ไม่รู้หรอก พี่แน่ใจอย่างเดียวว่า เราน่าจะใช้สรรพนาม “She” กับเธอว่ะ!!“
แล้วเธอก็เดินขึ้นมาชั้น 2 ตรงมาที่ฐานบัญชาการเตียงเรา
ชัดเจนแล้วว่า เธอมาประจำที่เตียงเก่าของฮวน
ผม แพท และเพื่อนอีก 4-5 คนที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น เข้าไปทักทายต้อนรับ
ทั้งก็ช่วยปูที่นอน เก็บของเข้าล็อคเกอร์ปลายเตียง แนะนำอะไรต่างๆ เบื้องต้น
“คุณมาจากไหนล่ะ” ผมเอ่ยถามขึ้น
“ฟิลิปปินส์“ เธอตอบอายๆ ด้วยเสียงที่บีบรัด ดัดจริตออกจากลำคอ
ผมนึกในใจว่า เห็นมั๊ย !! กูเดาผิดแค่ประเทศ แต่สเตตัส “She” ของเธอ กูเดาถูกเต็ม ๆ
“What’s your name?“ มีใครไม่รู้ ถามแทนผม
“Bert“ ชีตอบเสียงแหลมๆ เช่นเคย
“ชื่อไม่เข้ากับหน้าเลย อีห่า !!“ ประโยคนี้คือภาษาไทยล้วนๆ ที่แพทหันมาพูดกับผม
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กลัวมันจะฟังภาษาไทยออก
“มันควรชื่อไรเหรอ?“ ผมหันมาถามแพทเล่น ๆ
“ผิน..ไง...อีผิน...ชื่อนี้เหมาะกับมันที่สุดแล้ว“ แพทตอบ
“เอามาจากไหนอ่ะ..ผินเนี่ย“ ผมงง ๆ
“ไม่รู้สิ มันนึกขึ้นได้ แบบอัตโนมัติน่ะ“
ผมกับแพท จึงรู้จักนัง Bert ในนาม อีผิน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
อีผินเป็นคนที่ผิวขาวเนียนมาก ตามแบบฉบับชาวเอเชียทั่วๆ ไป
ส่วนหนึ่ง ก็น่าจะมาจากการดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณ รักสวยรักงามของหล่อนเองด้วย
แต่สิ่งที่ดูจะขัดแย้งอยู่บ้าง ก็คือ
เวลาหล่อนยิ้ม พื้นที่เหงือกของหล่อน ทำไมมันมากมายเกินความจำเป็นขนาดนั้น !!
ประมาณพื้นที่ของมหาสมุทร คิดเป็น 3 ใน 4 ของพื้นที่โลกนั่นแหละ
เวลายิ้มหรือหัวเราะ ผมจึงเห็นมันก้มหน้าบ้าง เอามือปิดปากบ้าง
เพื่อไม่อยากให้ผู้คนเห็นเหงือกอันโดดเด่นเกินหน้าเกินตาฟันในปากของมัน !!
เหมือน Fate หรือโชคชะตาเล่นตลก หรือจะความบังเอิญก็ตามแต่
น้องฮวนออกไป อีผินก็เข้ามาแทนที่
ช่างหาคนทดแทนได้เหมาะเหม็งเจ๋งโคตรอะไรปานนั้น!!
จะว่าไปแล้ว ผมไม่เคยรังเกียจในเพศสภาพของใครเลย
จะเพศที่ 3 ที่ 4 ผมก็มองทุกคนเป็นมนุษย์เท่ากันหมด
แล้วคนพวกนี้ เขาก็มักมีความพิเศษในตัวของแต่ละคน
มีความสามารถด้านนั้น เก่งด้านนี้ หรือชอบมีมุขตลกให้ได้ฮากันอยู่เสมอ
และตั้งแต่เราได้อีผินมาเป็นสมาชิกใหม่ในฐานบัญชาการ
เรื่องสนทนาแบบ เก้ง กวาง บ่าง ชะนี เรตอาร์ เรตเอ็กซ์ จึงมีมากขึ้น
Bert หรือ Norbert หรืออีผิน มาอยู่ที่อเมริกาครั้งแรกในวีซ่านักเรียน
ซึ่งเป็นลักษณะเรียนภาษาเป็นคอร์ส พอจบคอร์สหนึ่ง ก็ลงต่ออีกคอร์สหนึ่งไปเรื่อย ๆ
แต่พอถึงจุดๆ หนึ่ง ที่เขาไม่อนุญาตให้ต่อวีซ่าแล้ว
อีผินก็ต้องกลายเป็นอยู่เกินกำหนด ตามกฎหมายคนเข้าเมืองสหรัฐอเมริกา
อีผินอยู่ที่เมือง ซีราคิวส์ (Syracuse) เมืองใหญ่เมืองหนึ่งของรัฐ New York
มันเล่าว่า วันที่ จนท.ICE มาจ๊ะเอ๋ เซย์ฮัลโหลกับมันนั้น
มันกำลังจะไปทำธุระที่ต่างเมือง จึงใช้บริการรถ Greyhound หรือรถโดยสารสาธารณะของรัฐ ที่วิ่งระหว่างเมืองต่างๆในอเมริกา
มันใช้บัตรเครดิตซื้อตั๋วโดยสาร แล้วก็นั่งรอรถอยู่ที่สถานี
ระหว่างที่นั่งเพลิดเพลินจำเริญใจอยู่นั้น
ก็มีบุรุษนิรนามมาสะกิดที่ไหล่
“คุณคือ Norbert ใช่มั๊ย?“
“ใช่ มีอะไรหรือ?“
หลังจากนั้น หนุ่มนิรนามก็แสดงบัตรประจำตัว จนท.ICE
นังผินใจหายวาบ คิดในใจว่า มันจบแล้วครับนาย !!
โลกสีม่วงอันหฤหรรษ์ ก็พลันกลายเป็นสีเทาหม่นในกาลต่อมา
“โห...เหมือนในหนังเลยนะ ไปใช้บัตรเครดิตที่ไหน เขารู้ได้ทันทีน่ะ และก็มาเร็วจัง ไม่น่าเลย“ ผมพูดด้วยความทึ่ง ปนเห็นใจน้องผิน
“แสดงว่า เจ้าหน้าที่เขาติดตามเธอตลอดสิเนี่ย พอรู้ว่าอยู่ไหน ก็มาหาด้วยความรวดเร็ว“ แพทกล่าวเสริมขึ้น
“ฮื่อ..ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ไม่งั้น เขาคงไม่มาตามฉันที่สถานีขนส่งอย่างนี้หรอก“
นังผินพูดอย่างเศร้าสร้อย แล้วก็ส่ายหน้าไปมา อย่างไม่เชื่อในโชคชะตาตัวเอง ว่าทำไมต้องมาอยู่ที่นี่
แล้วก็สาธยายไปต่างๆ นานาว่า ฉันมีเรื่องต้องจัดการอย่างนั้น อย่างนี้เยอะแยะ
ไหนจะเจ้านายมันที่ยังไม่รู้เรื่องนี้
แล้วก็คงจะงงเป็นไก่โดนตบหน้า ถ้าวันจันทร์เปิดออฟฟิศมา แล้วไม่เห็นมัน
แถมยังไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะลา หรือจะหยุด
ไหนจะห้องเช่าที่อพาร์ตเม้นท์ของมัน
เจ้าของเขาจะว่าอย่างไร เมื่อไม่เห็นมัน
และเมื่อถึงเวลาจ่ายค่าเช่า จะทำยังไง และอีกสารพัด
“เอาน่า..ไหนๆ เธอก็ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว เธอคงจะย้อนเวลาไปหาสถานีขนส่งนั่นไม่ได้หรอก เธอต้องอยู่กับสถานที่แห่งนี้
และมีความสุขไปกับมัน ไม่งั้นเธอจะแย่เอานะ“ ผมตัดบท และก็สอนนังผินไปด้วยในตัว มันพยักหน้าเหมือนท่าทางจะเข้าใจ แต่ก็ไม่วายบ่นต่อ
“When can I get out of here ?“ แล้วฉันจะได้ออกจากที่นี่เมื่อไหร่ล่ะ?
“I don’t know.“ นั่นคือประโยคที่ผมพูดออกไป
แต่ในใจ...อ้าว..!! กูจะไปรู้เรอะ..อีห่า...แม้แต่ตัวกูเอง กูยังไม่รู้เลย
มันมีขั้นตอน มีระเบียบอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งเราต้องยอมรับและปฏิบัติตาม
เพราะเราอยู่ในฐานะทำผิดกฎหมายคนเข้าเมืองบ้านเขา
แต่เขาก็ให้สิทธิ์เราเต็มที่ ในการที่จะร้องขอ ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมได้
จ้างทนายความมาปรึกษา และว่าความให้ได้
“Be calm, be happy.“
“Don’t worry about it.“
นั่นคือหลายๆประโยค ที่วงสนทนาช่วยให้นังผินดูผ่อนคลายขึ้น
โดยเฉพาะผมกับแพท ที่มันรู้ว่ามาจากไทยแลนด์ ภูมิภาคอาเซียนเหมือนกัน ทำให้มันสบายใจที่จะคุยด้วย
แพทก็ดูสนุกสนานที่จะคุยกับมัน เนื่องจากมีรสนิยมหลายๆ อย่างคล้ายกัน
แต่กระนั้น ก็มีความหมั่นไส้มันเป็นระยะๆ แล้วก็มาเล่าให้ผมฟังบ่อย ๆ
“โอ๊ย...นังผินมันลามกจะตายพี่ ตั้งแต่มันเริ่มปรับตัวได้นี่ ตุ่มแรดมันออกดอกเต็มตัวเลย“ แพทสาธยาย
“เหรอ..ก็ดีสิ..มันจะได้หายซึมเศร้าหน่อย สงสารมัน แรกๆ มันมาน่ะ ก็รู้นี่ มันไม่ค่อยคุยกับใคร วันๆ นั่งจับเจ่าอยู่บนเตียง
เหมือนนกจะงอยขอนไม้ ทำหน้าเศร้า รอผัวกลับรัง อะไรประมาณนั้น“
“อืม..เปรียบเปรยได้ใกล้เคียงดีแท้“ แพทพูดพร้อมหัวเราะ
นังผินใช้ภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี แม้จะติดสำเนียงจีนผสมแขกไปหน่อยก็ตาม
ซึ่งไม่เกี่ยวดองอะไรกับความเป็นฟิลิปปินส์ของมันเลย
“
I need to talk to a lawyer“ มันพูดว่า
“ไอ นีด ทู
ต๊อก ทู อะ ลอเยอร์”
มัน “ต๊อก” ได้เต็มปากเต็มคำมาก
ผมเห็นคนอินเดีย หรือคนจีนก็พูดแบบนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
และเมื่อปรับตัวได้ ความมั่นใจมา นังผินก็กลายเป็นคนที่ป๊อบปูล่าได้ไม่ยากนัก
มันเป็นผู้นำผองชน และชวนเล่นเกมต่างๆ อยู่เป็นประจำ
ทั้งเล่นไพ่ หมากรุก หมากฮอส โดมิโน
โดยเฉพาะเกมเศรษฐี ที่ต้องมีการทอยลูกเต๋า 2 ลูก แล้วเดินตามคะแนนที่ทอยได้
มีการซื้อบ้าน จำนองที่ดิน มีเงินจำลองให้ใช้ในแต่ละบุคคล
นังผินจะเป็นโต้โผใหญ่ อธิบายให้แต่ละคนฟังว่า จะเล่นยังไง กติกาเป็นแบบไหน
ก็เห็นคนสนใจอยู่พอสมควร และก็เล่นกันเป็นที่สนุกสนาน
ความสดใสวัยหวานของมัน ไปเข้าตาของหนุ่มใหญ่รายหนึ่ง ชื่อ Benny
Benny เป็นหนุ่มร่างใหญ่จาก เบนิน (Benin) ประเทศเล็กๆ แถบแอฟริกาตะวันตก
ท่าทางนิสัยดี ดูเป็นมิตร
ผมเรียกแกว่า พี่ยักษ์ เพราะสูงราว 190 ซม. หนักประมาณสัก 120 กก. ได้
ผมกับพี่ยักษ์ เวลาเดินผ่านกัน ก็ยิ้มให้กันทุกครั้ง แต่ยังไม่ได้เคยพูดคุยกัน
มาวันนี้ สิ่งที่ทำให้เราได้มีหัวข้อคุยกัน คือ เรื่องนังผินนั่นเอง
“เฮ้..เพื่อน..คนที่อยู่แถวๆ เตียงคุณน่ะ เขามาจากไหนหรือ?“ พี่ยักษ์เอ่ยถามผม เมื่อผมเดินผ่านแก จะไปเข้าห้องน้ำ
“ใคร..เหรอ?“ ผมถามด้วยความงง
“ก็คนสวยๆ นั่นไง“ พี่ยักษ์พูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย ผมเลยถึงบางอ้อทันที
“อ๋อ...เธอมาจากฟิลิปปินส์น่ะ ทำไมเหรอ?“
“Is he halfman halfwoman ?” พี่ยักษ์พูดอย่างนี้กับผมจริง ๆ
“Probably“ ผมทำทีตอบแบบไม่แน่ใจไปงั้นแหละ
“Does he has a chest ?” เขามีหน้าอกแล้วหรือยัง?
พี่ยักษ์ถามรุกต่อ ยังกะผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวนังผิน
“Oh...I don’t know…I’ll ask him later.“ โอ๊ว..ไม่รู้สิ ฉันจะถามให้วันหลังก็แล้วกันนะ
ผมพูดจบ พี่ยักษ์ก็หัวเราะ แล้วยกมือขวาขึ้นมาขอตีมือกับผม
พร้อมกับทำหน้าหื่น ปนทะเล้น และก็ดูทีวีต่อไป
ผมนึกเล่นๆ ในใจแบบแปลกๆ ว่า
ทำไมคนมาอยู่เตียงนี้ มันมีเสน่ห์ดึงดูดดีนักวะ
นังฮวน ก็คนนึงละ
คราวนี้ ก็นังผินอีก
มันเป็นเตียงที่ต้องคำสาปของเทพเจ้าองค์ใดหรือเปล่าวะเนี่ย
ช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร !!
ผมไม่ได้กลัวพี่ยักษ์ หรือนังผินโดนจับย้ายห้องหรอก
ถ้าหากมันคิดพิเรนทร์ ต้องตาต้องใจกัน และคิดจะฟีตเจอริ่งกันขึ้นมาจริง ๆ
แต่ด้วยความใหญ่ บิ๊กไซส์ บานาน่า ขนาดนั้น
ผมกลัวว่า..นังผินมันจะหาทางกลับบ้านที่ฟิลิปปินส์ไม่เจอ เท่านั้นเอง !!
&&&&&&&&&&&&&&&&&
โปรดติดตามตอนต่อไป ; อีผิน...ฟิลิปินส์ผู้เลอโฉม (2)
เรื่องสั้นชุด "ชีวิตต่างแดน" ตอน "อีผิน..ฟิลิปปินส์ผู้เลอโฉม (1)" โดย..."ตุ๊กดุ๋ย เลิฟลี่"
“อีผิน...ฟิลิปปินส์ผู้เลอโฉม (1)”
ผลจากกรณี ฮวน กอนซาเลซ Smoke On The Water….Live In Concert…!!
ทำให้ฮวน โดนคำสั่งย้ายด่วน ให้ไปช่วยราชการที่ห้องอื่น
เตียงของเธอจึงว่างลง
แต่เพียงชั่วข้ามคืนผ่านไป สมาชิกใหม่ก็เข้ามาแทนที่
บ่ายวันหนึ่ง
ผมกับแพท ก็ตั้งวงสนทนากันตามปกติที่ฐานเตียงบัญชาการผม
และแล้ว...เมื่อประตูห้องด้านล่างเปิดออกมา
เห็น จนท.DO เดินมาพร้อมกับชายชุดน้ำเงิน สะพายถุงที่ไหล่ขวา
เสียงสมาชิกในห้องกระทืบเท้า เป่าปาก โห่ต้อนรับกันอย่างสมเกียรติ
แต่..เอ๊ะ..นั่นผู้ชายหรือผู้หญิงวะ รูปร่างเพรียวบาง ผิวขาว ผมดำขลับยาวถึงต้นคอ
สีหน้าดูเครียดๆ ท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ดูสำรวมกิริยามารยาท เปรียบประหนึ่งผู้ดีจากเทือกเขาอัลไต
“เฮ้ย...คนไทยว่ะ แพท“ ผมเอ่ยขึ้น จากสายตาที่ได้สัมผัส
“จริงเหรอพี่?“ แพทดูไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็รู้ว่าต้องเป็นคนเอเชียแน่ ๆ
“อืม..จะว่าไปก็ไม่รู้หรอก พี่แน่ใจอย่างเดียวว่า เราน่าจะใช้สรรพนาม “She” กับเธอว่ะ!!“
แล้วเธอก็เดินขึ้นมาชั้น 2 ตรงมาที่ฐานบัญชาการเตียงเรา
ชัดเจนแล้วว่า เธอมาประจำที่เตียงเก่าของฮวน
ผม แพท และเพื่อนอีก 4-5 คนที่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้น เข้าไปทักทายต้อนรับ
ทั้งก็ช่วยปูที่นอน เก็บของเข้าล็อคเกอร์ปลายเตียง แนะนำอะไรต่างๆ เบื้องต้น
“คุณมาจากไหนล่ะ” ผมเอ่ยถามขึ้น
“ฟิลิปปินส์“ เธอตอบอายๆ ด้วยเสียงที่บีบรัด ดัดจริตออกจากลำคอ
ผมนึกในใจว่า เห็นมั๊ย !! กูเดาผิดแค่ประเทศ แต่สเตตัส “She” ของเธอ กูเดาถูกเต็ม ๆ
“What’s your name?“ มีใครไม่รู้ ถามแทนผม
“Bert“ ชีตอบเสียงแหลมๆ เช่นเคย
“ชื่อไม่เข้ากับหน้าเลย อีห่า !!“ ประโยคนี้คือภาษาไทยล้วนๆ ที่แพทหันมาพูดกับผม
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ กลัวมันจะฟังภาษาไทยออก
“มันควรชื่อไรเหรอ?“ ผมหันมาถามแพทเล่น ๆ
“ผิน..ไง...อีผิน...ชื่อนี้เหมาะกับมันที่สุดแล้ว“ แพทตอบ
“เอามาจากไหนอ่ะ..ผินเนี่ย“ ผมงง ๆ
“ไม่รู้สิ มันนึกขึ้นได้ แบบอัตโนมัติน่ะ“
ผมกับแพท จึงรู้จักนัง Bert ในนาม อีผิน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
อีผินเป็นคนที่ผิวขาวเนียนมาก ตามแบบฉบับชาวเอเชียทั่วๆ ไป
ส่วนหนึ่ง ก็น่าจะมาจากการดูแลเอาใจใส่ผิวพรรณ รักสวยรักงามของหล่อนเองด้วย
แต่สิ่งที่ดูจะขัดแย้งอยู่บ้าง ก็คือ
เวลาหล่อนยิ้ม พื้นที่เหงือกของหล่อน ทำไมมันมากมายเกินความจำเป็นขนาดนั้น !!
ประมาณพื้นที่ของมหาสมุทร คิดเป็น 3 ใน 4 ของพื้นที่โลกนั่นแหละ
เวลายิ้มหรือหัวเราะ ผมจึงเห็นมันก้มหน้าบ้าง เอามือปิดปากบ้าง
เพื่อไม่อยากให้ผู้คนเห็นเหงือกอันโดดเด่นเกินหน้าเกินตาฟันในปากของมัน !!
เหมือน Fate หรือโชคชะตาเล่นตลก หรือจะความบังเอิญก็ตามแต่
น้องฮวนออกไป อีผินก็เข้ามาแทนที่
ช่างหาคนทดแทนได้เหมาะเหม็งเจ๋งโคตรอะไรปานนั้น!!
จะว่าไปแล้ว ผมไม่เคยรังเกียจในเพศสภาพของใครเลย
จะเพศที่ 3 ที่ 4 ผมก็มองทุกคนเป็นมนุษย์เท่ากันหมด
แล้วคนพวกนี้ เขาก็มักมีความพิเศษในตัวของแต่ละคน
มีความสามารถด้านนั้น เก่งด้านนี้ หรือชอบมีมุขตลกให้ได้ฮากันอยู่เสมอ
และตั้งแต่เราได้อีผินมาเป็นสมาชิกใหม่ในฐานบัญชาการ
เรื่องสนทนาแบบ เก้ง กวาง บ่าง ชะนี เรตอาร์ เรตเอ็กซ์ จึงมีมากขึ้น
Bert หรือ Norbert หรืออีผิน มาอยู่ที่อเมริกาครั้งแรกในวีซ่านักเรียน
ซึ่งเป็นลักษณะเรียนภาษาเป็นคอร์ส พอจบคอร์สหนึ่ง ก็ลงต่ออีกคอร์สหนึ่งไปเรื่อย ๆ
แต่พอถึงจุดๆ หนึ่ง ที่เขาไม่อนุญาตให้ต่อวีซ่าแล้ว
อีผินก็ต้องกลายเป็นอยู่เกินกำหนด ตามกฎหมายคนเข้าเมืองสหรัฐอเมริกา
อีผินอยู่ที่เมือง ซีราคิวส์ (Syracuse) เมืองใหญ่เมืองหนึ่งของรัฐ New York
มันเล่าว่า วันที่ จนท.ICE มาจ๊ะเอ๋ เซย์ฮัลโหลกับมันนั้น
มันกำลังจะไปทำธุระที่ต่างเมือง จึงใช้บริการรถ Greyhound หรือรถโดยสารสาธารณะของรัฐ ที่วิ่งระหว่างเมืองต่างๆในอเมริกา
มันใช้บัตรเครดิตซื้อตั๋วโดยสาร แล้วก็นั่งรอรถอยู่ที่สถานี
ระหว่างที่นั่งเพลิดเพลินจำเริญใจอยู่นั้น
ก็มีบุรุษนิรนามมาสะกิดที่ไหล่
“คุณคือ Norbert ใช่มั๊ย?“
“ใช่ มีอะไรหรือ?“
หลังจากนั้น หนุ่มนิรนามก็แสดงบัตรประจำตัว จนท.ICE
นังผินใจหายวาบ คิดในใจว่า มันจบแล้วครับนาย !!
โลกสีม่วงอันหฤหรรษ์ ก็พลันกลายเป็นสีเทาหม่นในกาลต่อมา
“โห...เหมือนในหนังเลยนะ ไปใช้บัตรเครดิตที่ไหน เขารู้ได้ทันทีน่ะ และก็มาเร็วจัง ไม่น่าเลย“ ผมพูดด้วยความทึ่ง ปนเห็นใจน้องผิน
“แสดงว่า เจ้าหน้าที่เขาติดตามเธอตลอดสิเนี่ย พอรู้ว่าอยู่ไหน ก็มาหาด้วยความรวดเร็ว“ แพทกล่าวเสริมขึ้น
“ฮื่อ..ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ ไม่งั้น เขาคงไม่มาตามฉันที่สถานีขนส่งอย่างนี้หรอก“
นังผินพูดอย่างเศร้าสร้อย แล้วก็ส่ายหน้าไปมา อย่างไม่เชื่อในโชคชะตาตัวเอง ว่าทำไมต้องมาอยู่ที่นี่
แล้วก็สาธยายไปต่างๆ นานาว่า ฉันมีเรื่องต้องจัดการอย่างนั้น อย่างนี้เยอะแยะ
ไหนจะเจ้านายมันที่ยังไม่รู้เรื่องนี้
แล้วก็คงจะงงเป็นไก่โดนตบหน้า ถ้าวันจันทร์เปิดออฟฟิศมา แล้วไม่เห็นมัน
แถมยังไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะลา หรือจะหยุด
ไหนจะห้องเช่าที่อพาร์ตเม้นท์ของมัน
เจ้าของเขาจะว่าอย่างไร เมื่อไม่เห็นมัน
และเมื่อถึงเวลาจ่ายค่าเช่า จะทำยังไง และอีกสารพัด
“เอาน่า..ไหนๆ เธอก็ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว เธอคงจะย้อนเวลาไปหาสถานีขนส่งนั่นไม่ได้หรอก เธอต้องอยู่กับสถานที่แห่งนี้
และมีความสุขไปกับมัน ไม่งั้นเธอจะแย่เอานะ“ ผมตัดบท และก็สอนนังผินไปด้วยในตัว มันพยักหน้าเหมือนท่าทางจะเข้าใจ แต่ก็ไม่วายบ่นต่อ
“When can I get out of here ?“ แล้วฉันจะได้ออกจากที่นี่เมื่อไหร่ล่ะ?
“I don’t know.“ นั่นคือประโยคที่ผมพูดออกไป
แต่ในใจ...อ้าว..!! กูจะไปรู้เรอะ..อีห่า...แม้แต่ตัวกูเอง กูยังไม่รู้เลย
มันมีขั้นตอน มีระเบียบอะไรหลายๆ อย่าง ซึ่งเราต้องยอมรับและปฏิบัติตาม
เพราะเราอยู่ในฐานะทำผิดกฎหมายคนเข้าเมืองบ้านเขา
แต่เขาก็ให้สิทธิ์เราเต็มที่ ในการที่จะร้องขอ ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมได้
จ้างทนายความมาปรึกษา และว่าความให้ได้
“Be calm, be happy.“
“Don’t worry about it.“
นั่นคือหลายๆประโยค ที่วงสนทนาช่วยให้นังผินดูผ่อนคลายขึ้น
โดยเฉพาะผมกับแพท ที่มันรู้ว่ามาจากไทยแลนด์ ภูมิภาคอาเซียนเหมือนกัน ทำให้มันสบายใจที่จะคุยด้วย
แพทก็ดูสนุกสนานที่จะคุยกับมัน เนื่องจากมีรสนิยมหลายๆ อย่างคล้ายกัน
แต่กระนั้น ก็มีความหมั่นไส้มันเป็นระยะๆ แล้วก็มาเล่าให้ผมฟังบ่อย ๆ
“โอ๊ย...นังผินมันลามกจะตายพี่ ตั้งแต่มันเริ่มปรับตัวได้นี่ ตุ่มแรดมันออกดอกเต็มตัวเลย“ แพทสาธยาย
“เหรอ..ก็ดีสิ..มันจะได้หายซึมเศร้าหน่อย สงสารมัน แรกๆ มันมาน่ะ ก็รู้นี่ มันไม่ค่อยคุยกับใคร วันๆ นั่งจับเจ่าอยู่บนเตียง
เหมือนนกจะงอยขอนไม้ ทำหน้าเศร้า รอผัวกลับรัง อะไรประมาณนั้น“
“อืม..เปรียบเปรยได้ใกล้เคียงดีแท้“ แพทพูดพร้อมหัวเราะ
นังผินใช้ภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดี แม้จะติดสำเนียงจีนผสมแขกไปหน่อยก็ตาม
ซึ่งไม่เกี่ยวดองอะไรกับความเป็นฟิลิปปินส์ของมันเลย
“I need to talk to a lawyer“ มันพูดว่า
“ไอ นีด ทู ต๊อก ทู อะ ลอเยอร์”
มัน “ต๊อก” ได้เต็มปากเต็มคำมาก
ผมเห็นคนอินเดีย หรือคนจีนก็พูดแบบนี้
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
และเมื่อปรับตัวได้ ความมั่นใจมา นังผินก็กลายเป็นคนที่ป๊อบปูล่าได้ไม่ยากนัก
มันเป็นผู้นำผองชน และชวนเล่นเกมต่างๆ อยู่เป็นประจำ
ทั้งเล่นไพ่ หมากรุก หมากฮอส โดมิโน
โดยเฉพาะเกมเศรษฐี ที่ต้องมีการทอยลูกเต๋า 2 ลูก แล้วเดินตามคะแนนที่ทอยได้
มีการซื้อบ้าน จำนองที่ดิน มีเงินจำลองให้ใช้ในแต่ละบุคคล
นังผินจะเป็นโต้โผใหญ่ อธิบายให้แต่ละคนฟังว่า จะเล่นยังไง กติกาเป็นแบบไหน
ก็เห็นคนสนใจอยู่พอสมควร และก็เล่นกันเป็นที่สนุกสนาน
ความสดใสวัยหวานของมัน ไปเข้าตาของหนุ่มใหญ่รายหนึ่ง ชื่อ Benny
Benny เป็นหนุ่มร่างใหญ่จาก เบนิน (Benin) ประเทศเล็กๆ แถบแอฟริกาตะวันตก
ท่าทางนิสัยดี ดูเป็นมิตร
ผมเรียกแกว่า พี่ยักษ์ เพราะสูงราว 190 ซม. หนักประมาณสัก 120 กก. ได้
ผมกับพี่ยักษ์ เวลาเดินผ่านกัน ก็ยิ้มให้กันทุกครั้ง แต่ยังไม่ได้เคยพูดคุยกัน
มาวันนี้ สิ่งที่ทำให้เราได้มีหัวข้อคุยกัน คือ เรื่องนังผินนั่นเอง
“เฮ้..เพื่อน..คนที่อยู่แถวๆ เตียงคุณน่ะ เขามาจากไหนหรือ?“ พี่ยักษ์เอ่ยถามผม เมื่อผมเดินผ่านแก จะไปเข้าห้องน้ำ
“ใคร..เหรอ?“ ผมถามด้วยความงง
“ก็คนสวยๆ นั่นไง“ พี่ยักษ์พูดพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย ผมเลยถึงบางอ้อทันที
“อ๋อ...เธอมาจากฟิลิปปินส์น่ะ ทำไมเหรอ?“
“Is he halfman halfwoman ?” พี่ยักษ์พูดอย่างนี้กับผมจริง ๆ
“Probably“ ผมทำทีตอบแบบไม่แน่ใจไปงั้นแหละ
“Does he has a chest ?” เขามีหน้าอกแล้วหรือยัง?
พี่ยักษ์ถามรุกต่อ ยังกะผมเป็นผู้จัดการส่วนตัวนังผิน
“Oh...I don’t know…I’ll ask him later.“ โอ๊ว..ไม่รู้สิ ฉันจะถามให้วันหลังก็แล้วกันนะ
ผมพูดจบ พี่ยักษ์ก็หัวเราะ แล้วยกมือขวาขึ้นมาขอตีมือกับผม
พร้อมกับทำหน้าหื่น ปนทะเล้น และก็ดูทีวีต่อไป
ผมนึกเล่นๆ ในใจแบบแปลกๆ ว่า
ทำไมคนมาอยู่เตียงนี้ มันมีเสน่ห์ดึงดูดดีนักวะ
นังฮวน ก็คนนึงละ
คราวนี้ ก็นังผินอีก
มันเป็นเตียงที่ต้องคำสาปของเทพเจ้าองค์ใดหรือเปล่าวะเนี่ย
ช่างน่ากลัวเสียนี่กระไร !!
ผมไม่ได้กลัวพี่ยักษ์ หรือนังผินโดนจับย้ายห้องหรอก
ถ้าหากมันคิดพิเรนทร์ ต้องตาต้องใจกัน และคิดจะฟีตเจอริ่งกันขึ้นมาจริง ๆ
แต่ด้วยความใหญ่ บิ๊กไซส์ บานาน่า ขนาดนั้น
ผมกลัวว่า..นังผินมันจะหาทางกลับบ้านที่ฟิลิปปินส์ไม่เจอ เท่านั้นเอง !!
&&&&&&&&&&&&&&&&&
โปรดติดตามตอนต่อไป ; อีผิน...ฟิลิปินส์ผู้เลอโฉม (2)