[CR] เมื่อหมอกควันผ่านไป เชียงใหม่ก็กลับมาสวยเหมือนเดิม...by x-file

ตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน คนเชียงใหม่ต่างต้องตกอยู่ในสภาวะ ขออากาศดีๆหายใจกันบ้าง 
จากสภาวะหมอกควันจากการเผาป่า เผาไร่ กลางวันเหมือนกลางคืน พระอาทิตย์ไม่สามารถฝ่าหมอกควัน
ส่องแสงลงมาถึงพื้นดิน ประชาชนต่างเกาะเครื่องฟอกอากาศอยู่ในบ้าน นักท่องเที่ยวหายไปเที่ยวที่อื่น
แม้แต่คนเชียงใหม่เองยังต้องอยู่ในสภาวะ อพยพไปหาอากาศดีไให้ปอดกันหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าอิฉันซึ่ง
เป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด หวังกลับบ้านเกิดเพื่อใช้ชีวิตในยามก่อนเกษียณ ที่คิดว่าจะมีความสุขกลับ
ต้องมาเจอสภาพที่เราจะไม่มีแม้แต่อากาศดีหายใจกันแล้วหรือนี่

แต่ถึงจะยังไงเราได้ตัดสินใจกลับมาแล้วเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว หลังจากไปใช้ชีวิตอยู่เมืองกรุงมา 30 ปี 
และเราก็คงจะต้องอยู่ที่นี่อีกตลอดไป เชียงใหม่จะผ่านสิ่งดีหรือร้าย แต่เชียงใหม่ก็ยังเป็นจุดหมาย
ของการมาเยือนของใครอีกหลายๆคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
และคนไทยที่เคยออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศมาแล้ว จะรู้ว่าประเทศไทยของเราน่าอยู่ ข้าวปลา
อุดมสมบูรณ์ อร่อยและราคาถูกมากๆ อยากกินกะเพราไข่ดาวก็มีอยู่ทุกหัวมุมถนน แต่ถ้าใครเคยไป
ต่างประเทศแล้วอยากกินข้าวกะเพราไข่ดาวเราต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 300 บาท เมืองไทยของเรา
จึงเป็นสวรรค์ของนักกิน และยังมีภูเขา ทะเล ครบ โดยไม่ต้องไปต่างประเทศเลย 

ช่วงนี้เริ่มฤดูฝน เชียงใหม่อากาศเริ่มคลายร้อน มองไปทางไหนก็เขียวชะอุ่มสดชื่น อีกทั้งช่วงนี้มีละคร
ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเชียงใหม่ อิฉันเลยอยากจะชวนเพื่อนๆมาเดินเที่ยวในเขตเมืองเก่าที่มีประตูเมือง
และวัดสวยๆสำหรับสาย ชิลล์ และสายบุญ ทั้งหมดนี้มีเวลา 2 วันก็สามารถเที่ยวได้ ปั่นจักรยาน จะนั่งรถเมล์
หรือเดินไปเรื่อยๆก็ได้ ถ้าจะให้ไดบรรยากาศก็แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าพื้นเมือง เดิน ถ่ายรูปไป เป็นการเพิ่มมูลค่า
ของการท่องเที่ยวที่ไม่ธรรมดา อิฉันก็จะขอแนะนำรายการทัวร์ ประตูเมือง วัดสวยๆ พระอารามหลวง
ตลาดวโรรส หรือกาดหลวง ทีมีชุดพื้นเมือง เครื่องประดับราคาถูก แต่เราสามารถนำชุดพื้นเมืองใส่ไป
งานแต่งงาน งานกลางคืนได้ ในราคาไม่ถึงพันบาท

พร้อมแล้วไปกันเลยค่ะ เริ่มจากประตูช้างเผือก ประตูที่เทียนคำเพิ่งเดินผ่านเข้ามาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วนี้เอง

ประตูช้างเผือก เดิมมีชื่อว่า ประตูหัวเวียง เป็นประตูชั้นในด้านทิศเหนือ สมัยก่อนเป็นประตูเอกของเมือง ในพระราชพิธีบรมราชาพิเษก กษัตริย์จะเสด็จเข้าเมืองยังประตูนี้ ประตูนี้เปลี่ยนชื่อในรัชสมัยของพระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 1 เนื่องจากได้โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์รูปช้างเผือกขึ้น
ที่ประตูแห่งนี้


กำแพงเมืองเชียงใหม่ หรือ กำแพงเวียงเชียงใหม่ ปัจจุบันหมายถึงกำแพงเมืองชั้นในของเวียงเชียงใหม่ 
(ในขณะที่กำแพงเมืองชั้นนอกคือแนวกำแพงดิน) สร้างขึ้นพร้อมกับการสถาปนาอาณาจักรล้านนา ในรัชสมัยพญามังราย 
เพื่อเป็นเมืองหลวงของล้านนา โดยขั้นแรกได้ขุดคูเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความยาวด้านละประมาณ 1.63 กิโลเมตร
และนำดินที่ได้จากการขุดคูเมืองนั้นขึ้นไปถมเป็นแนวกำแพงเมือง โดยเริ่มขุดที่มุมตะวันออกเฉียงเหนือคือแจ่งศรีภูมิอัน
เป็นทิศมงคลก่อน แล้วก่ออิฐขนาบสองข้างกันดินพังทลาย ข้างบนกำแพงปูอิฐตลอดแนวทำเสมาไว้บนกำแพงทั้งสี่ด้าน
และประตูเมืองอีกทั้งสี่แห่ง เดิมประตูเมืองทั้งชั้นนอกชั้นในหนึ่งประตูก็ทำเป็นสองชั้น บานประตูวางเยื้องกัน เพื่อป้องกัน
ข้าศึกเอาปืนใหญ่ยิงกรอกประตูเมือง ปัจจุบันถูกรื้อหมดแล้ว

กำแพงด้านทิศเหนือ มีความยาวมากที่สุด วัดได้ประมาณ 1.67 กิโลเมตร รองลงมาเป็นกำแพงด้านทิศใต้ วัดได้ 1.63 กิโลเมตร
ส่วนกำแพงด้านทิศตะวันออกมีความยาวเท่ากับทิศตะวันตก คือ 1.62 กิโลเมตร
หลังจากที่เชียงใหม่ได้รับอิสรภาพจากพม่า เจ้ากาวิละได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่องค์แรก ก็โปรดให้บูรณะกำแพง
เมืองเป็นครั้งใหญ่ เป็นกำแพงอิฐที่มีความมั่นคงทนทาน และบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ. 2361 ในรัชสมัยเจ้าหลวงธรรมลังกา
เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 2

ประตูสวนดอก เป็นประตูชั้นในด้านทิศตะวันตก ที่มาของชื่อเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นเป็นที่ตั้งของพระราชอุทยานของพญามังราย

หลังจากที่เชียงใหม่ได้รับอิสรภาพจากพม่า เจ้ากาวิละได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าหลวงเชียงใหม่องค์แรก ก็โปรดให้บูรณะกำแพงเมือง
เป็นครั้งใหญ่ เป็นกำแพงอิฐที่มีความมั่นคงทนทาน และบูรณะอีกครั้งในปี พ.ศ. 2361 ในรัชสมัยเจ้าหลวงธรรมลังกา เจ้าผู้ครองนคร
เชียงใหม่องค์ที่ 2 ในสมัยมณฑลลาวเฉียง กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเคยถวายความเห็นในการรื้อกำแพงเมืองเชียงใหม่ต่อล้น
เกล้าฯรัชกาลที่ห้าไว้ว่า "...เห็นว่าที่จะเอาตัวอย่างที่รื้อกำแพงพระนครกรุงเทพฯ ไปรื้อกำแพงเมืองเชียงใหม่นั้นไม่ควร
กรุงเทพฯเพราะบ้านเมืองเบียดเสียดเยียดยัด ต้องรื้อกำแพงขยายเป็นถนนหนทาง แลจัดบ้านเมืองให้เรียบร้อย
เหตุเช่นนี้ไม่มีในเมืองเชียงใหม่ เปนแต่จะรื้อเสียโดยเห็นว่าเปนของเก่ารุงรังเปลืองแรง ไม่คุ้มค่าที่ได้อิฐหักๆ มาใช้สอย
เห็นว่าเอาไว้ดูเล่นเปนของโบราณดีกว่า..."

ในปี พ.ศ. 2491 เนื่องจากกำแพงเมืองเชียงใหม่มีสภาพทรุดโทรมลงอย่างมาก และบางแห่งก็พังเป็นซากปรักหักพัง
ทั้งยังมีวัชพืชขึ้นเป็นการรกอย่างมาก อีกทั้งยังบดบังทัศนียภาพของคนที่อยู่นอกกำแพงเมือง ทางเทศบาลนครเชียงใหม่
จึงได้เริ่มรื้อกำแพงออก เพื่อสร้างถนนและเส้นทางคมนาคมในตัวเมืองเชียงใหม่ ส่วนอิฐจากกำแพงเมืองที่ถูกรื้อนั้นได้
ถูกนำไปสร้างรั้วของค่ายกาวิละ กำแพงและคูเมืองเชียงใหม่ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในปี พ.ศ. 2478

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย

ประตูแสนปุง หรือ ประตูสวนปรุง เป็นประตูที่เจาะกำแพงชั้นในด้านใต้สร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัย พญาสามฝั่งแกน เนื่องจาก
ในรัชสมัยของพระองค์ได้สร้างเจดีย์ราชกุฏคารขึ้น ดังนั้น เพื่อความสะดวกแก่พระราชชนนีที่โปรดประทับอยู่ที่ตำหนักนอก
กำแพงเมืองด้านทิศใต้จะได้ทรงสะดวกในการเสด็จมาสักการะพระเจดีย์ จึงโปรดให้เจาะกำแพงเมืองด้านนั้น และตั้งชื่อว่า 
ประตูสวนแร ส่วนชื่อ แสนปุง เพราะเป็นทางออกไปสู่บริเวณที่มีเตาปุง (เตาไฟ) มากมาย เพราะด้านนอกประตูเป็นที่อยู่ของ
กลุ่มช่างหลอมโลหะจึงมีเตาปุงไว้หลอมโลหะจำนวนมากเปรียบนับแสน ปัจจุบันยังมีบ้านช่างหล่อพระพุทธรูปอาศัยอยู่
และถนนเลียบคูเมืองด้านนี้ชื่อถนนช่างหล่อจากความเชื่อเรื่องทิศและพื้นที่ถือเป็นเขตกาลกิณีจึงกำหนดให้ประตูแสนปุงเป็น
ทางออกไปสุสาน เชียงใหม่มีประเพณีที่ว่าหากมีการเสียชีวิตภายในเขตกำแพงเมืองเชียงใหม่ จะต้องนำศพออกจากตัวเมือง
ผ่านทางประตูนี้เท่านั้น ซึ่งก็ยังยึดถือประเพณีนี้อยู่จนถึงปัจจุบัน


ประตูเชียงใหม่
ตั้งอยู่ทางด้านใต้ ในอดีตเป็นเส้นทางสำคัญระหว่างเชียงใหม่ไปเวียงกุมกามและลำพูน ในสมัยราชวงศ์มังราย (พ.ศ.1804 – 2101)
ทั้งเชียงใหม่ กุมกามและลำพูนตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำปิงเช่นเดียวกัน การเดินทางจึงไม่ต้องข้ามแม่น้ำปิง ปัจจุบันเป็นจุด
ส่วนรวมนักท่องเที่ยว และเป็นศูนย์รวมขายอาหารตอนกลางคืน และมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ได้แก่ ตลาดประตูเชียงใหม่,
วัดเจดีย์หลวง, วัดเจ็ดลิน, วัดช่างแต้ม, ถนนคนเดินวัวลาย (ทุกวันเสาร์)

 
ประตูท่าแพ เดิมมีชื่อว่า ประตูเชียงเรือก เป็นประตูชั้นในด้านทิศตะวันออก ที่มาของชื่อเนื่องจากประตูด้านนี้ มีบ้านเชียงเรือก
ตั้งอยู่บริเวณนอกกำแพงเมือง เดิมบ้านเชียงเรือกเป็นชุมชนค้าขายเพราะเป็นที่ตั้งของตลาดเชียงเรือก ตลาดเก่าแก่แห่งหนึ่ง
ของเชียงใหม่ คาดว่ามีประชากรหนาแน่น ซึ่งมีหลักฐานกล่าวถึงสมัยพญาแก้วเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเชียงเรือกมีคนจมน้ำตาย
เป็นจำนวนมาก ในสมัยพระเจ้าอินทวิชายานนท์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 7 (พ.ศ. 2416 – 2440) ชื่อประตูเชียงเรือก เปลี่ยน
มาเป็นประตูท่าแพชั้นในเพื่อให้คู่กับประตูท่าแพชั้นนอก เป็นประตูที่จะไปยังท่าน้ำของแม่น้ำปิง ซึ่งมีแพจำนวนมากอยู่


ชื่อสินค้า:   เชียงใหม่
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่