เตรียมพร้อมกับ เพลิง Endgame & ต้อนรับ กลิ่น Assemble

มันเป๋นดีไค่หุยเจ้า ปี้น้องหมู่เฮาจาวเหนือ ที่ละครสองเรื่องที่มีกลิ่นอายเหนือๆ จะทำออกมาได้ สนุก มันส์ ตื่นเต้น เร้าใจ บีบคั้น เดินเรื่องฉับไว (สับขาฉับๆแบบซ้องปีบเอาแกงหอยมาหาเรื่อง ประมาณนั้นเลย) และก็ไม่ลืมขอบคุณพี่น้องภาคอื่นที่เปิดใจดูทั้งสองเรื่อง ไม่เหม็นเบื่อกันไปเสียก่อน เพราะถ้าใครได้ดูทั้งสองเรื่อง จะรู้เลยว่า ฟีลลิ่ง มันคนละฟีลกันเลย ดีงามทั้งคู่ ไม่ผิดหวังแน่นอนจ้าาาา

นี่เรากำลังพูดถึง เพลิงพรางเทียน กับกลิ่นกาสะลอง ที่สัปดาห์นี้ ศุกร์นี้ เพลิงฯ นั้นก็จะเข้าสู่ช่วง Endgame ที่เข้มข้น มีคำถามมากมายที่คนดูรอการเฉลย 
อะไรที่ดลใจแม่คำป้อให้หมายชีวิตลูกสาวเทียนคำ เบนจะฟื้นกลับมายังไง ลินจะปิดเกมเราสามคนนี้ได้จริงหรือไม่ และที่ขาดไม่ได้บทสรุปของติ๊และแพม
ส่วน กลิ่นฯ ก็เริ่ม Assemble เรื่องราวเข้มข้น ขนหัวลุกส์ เมื่อตอนต้นสัปดาห์กับสองตอนแรก ทำไมกาสะลองถึงพบจุดจบที่น่าเศร้าอย่างนั้น จะได้ดูวีรกรรมที่โหดร้ายอะไรอีกของซ้องปีบกับพ่อ พริมพี่ที่ถูกกักไว้เป็นตัวประกันความแค้นจะมีชะตากรรมอย่างไร
โว่ว เปรียบเป็น  the Avengers series เลยนั่น ๕๕๕ 

ความเหมือนกันอย่างหนึ่งของสองเรื่องนี้ คือ ฉากหลังที่เป็นต้นเรื่องทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นที่เชียงใหม่ในอดีต แต่ก็จะแตกต่างในช่วงเวลาและสถานที่ซึ่งมีผลทำให้วิถีชีวิตของคนในอดีตในเรื่องทั้งสองนี้ต่างกัน เพลิงฯ จะย้อนยุคไปไกลกว่า และเกิดในคุ้มเจ้าคุ้มนายทำให้มีเรื่องความเลื่อมล้ำของชนชั้นมาเกี่ยวข้อง ส่วนกลิ่นฯ (ออกตัวก่อนว่าเขียนจากการดูสองตอนแรกเท่านัน) จะมีความเป็นชาวบ้านมากกว่าและเน้นเรื่องความรุนแรงในครอบครัว
นี่แค่ยกตัวอย่างที่เหมือนกันมาหนึ่งอย่าง ก็จะเห็นว่าในรายละเอียดมีข้อแตกต่างเยอะ เพราะฉนั้น ได้อรรถรสต่างกันแน่นอน (ปล แม้ว่าฉากบ้านนางเอกคืออันเดียวกัน แต่มุมกล้องช่วยได้ ๕๕)

ความต่างนี้สิที่น่าสนใจสำหรับเรา สิ่งที่เรามองต่าง ไม่ใช่แค่ เพลิงฯ พูดกลาง กลิ่นฯ อู้กำเมือง (มันไม่ใช่สาระสำคัญ)
แต่เรามองว่า เพลิงพรางเทียน เป็น ละครร่วมสมัย  ส่วนกลิ่นกาสะลอง เป็นละครคลาสสิก

ขออธิบายกลิ่นฯ ก่อนว่าเป็นละครคลาสสิกยังไง เพราะเท่าที่ดูมาสองตอน มันเห็นชัดเจนเรื่อง good vs evil อย่างที่เขาว่า คนดีก็ดีใจหาย คนร้ายก็ร้ายเหลือทน  ละครแบบนี้มักจะเล่นกับอารมณ์คนดูให้รู้สึกสะเทือนใจและคอยเอาใจช่วยคนดี บทพูดการเล่าเรื่องต้องบีบคั้นอารมณ์ได้เป็นอย่างดี เรานี่น้ำไหลพรากๆตอนแม่มาปกป้องกาสะลอง  แม้ว่าพล็อตจะเดาได้แต่การเล่าเรื่องทำได้น่าติดตามและเล่นกับอารมณ์คนดูได้ดีทีเดียว 

ส่วน เพลิงพรางเทียน ที่ว่าเป็นละครร่วมสมัย ใช้คำถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ คือเป็นละครที่คนสมัยนี้นิยมดูมากขึ้นเพราะตัวละครมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ไม่มีใครดีไม่มีใครเลว มีแต่เรื่องกรรมเป็นผลของการกระทำเท่านั้น และคนสมัยนี้ก็มักจะกระทำก่อนตามความพอใจแล้วค่อยคิดถึงผล ดังที่กลินท์พูดกับหลุยส์ประมาณว่า "คนในยุคฉัน พวกเราห่างศาสนามากขึ้น ทำให้เราไม่รู้ผิดรู้ถูก อย่างเช่นฉันเป็นต้น"  ซึ่งเราชอบบทมาก ที่เขียนให้ตัวละครเรียนรู้ถูกผิดจากการกระทำของตัวเอง เป็นละครที่คุณดูแล้ว คุณพูดไม่ได้เต็มปากว่าเห็นด้วยกับคนนี้ เอาใจช่วยคนนี้ ตรรกะนางเอกที่บางครั้งคนดูยังต้องส่ายหัว ส่วนนางร้ายเป็นผู้ถูกกระทำก่อนดีๆนี่เอง แต่เอาคืนแรงไปหน่อย แถมเขาจบแล้วไม่ยอมจบ สุดท้ายเราก็ได้แค่พูดว่า เออ พวกคุณทำตัวกันเองก็รับกรรมไปซะ ๕๕๕ 

สนุกสมใจกับสองเรื่องสองรสนี้มาก ใจหายที่จะได้ดูตอนจบเพลิง แต่ก็ยังดี ที่ยังมี กลิ่นกาสะลองที่มาต่อยอดความสนุกเข้มข้นได้อีกแน่ๆ
ส่วนกลางสัปดาห์ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยเนอะ น่าเบื่อ เข้านอนละกัน ไม่ว่ากันนะ 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่